ในรถกระบะ ซึ่งปรับแต่งเป็รถโดยสารรับส่งคน โดยใส่หลังคาทรงสูงและมีเบาะยาวสำหรับนั่ง ทั้งสามคนพากันนั่งเงียบ แต่ภายในใจไม่ได้สงบอย่างที่แสดงออกนัก สองสามีภรรยาลอบสบตากันก่อนหันมามองลูกสาวด้วยแววตาเป็ห่วง ส่วนอนงค์กานต์สายตาเธอกำลังมองออกไปภายนอกรถด้วยแววตาหวาดหวั่นเช่นเดียวกัน
ใช่แล้ว หลังจากความตื่นเต้นดีใจผ่านพ้นไป เธอก็เผชิญกับความจริงที่ว่า ในอีกเกือบสองปีข้างหน้า พ่อกับแม่ของเธอจะจากเธอไป มันเป็สถานการณ์ที่เ็ป และเธอไม่อยากเผชิญกับมันอีกรอบ
เธอเป็ลูกคนเดียวของพ่อและแม่ พ่อกานต์รับราชการเป็ครูประชาบาลของโรงเรียนประถมในหมู่บ้านห้วยกก ในจังหวัดหนึ่งที่อยู่ทางภาคเหนือ ส่วนแม่อนงค์ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านห้วยกกั้แ่เกิด เมื่อได้คบหาและตกลงใช้ชีวิตร่วมกัน ก็ได้ตั้งรกรากอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอด
กานต์ไม่ได้เป็คนพื้นเพที่นี่ เขาเกิดและเติบโตในตัวเมือง เป็ลูกนอกสมรสของปู่ซึ่งเป็นายตำรวจใหญ่ เผลอไปมีสัมพันธ์กับลูกจ้างในหน่วยงานเดียวกันและเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา แต่ปู่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว จึงตกลงรับผิดชอบแค่จดรับรองเป็บุตรและส่งเสียให้เล่าเรียนจนจบเท่านั้น
แต่ต่อมาหลังคลอด ผู้เป็แม่ (ย่า) กลับหนีหาย ทิ้งกานต์ไว้ให้กับปู่ ปู่จึงจำต้องรับกานต์มาเลี้ยงดูที่บ้าน ท่ามกลางความไม่พอใจของภรรยาและลูก ๆ
ถึงแม้จะให้อาศัยอยู่ในบ้าน แต่ความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกนั้นไม่มีแม้แต่น้อย เมื่อส่งเสียกานต์จนเรียนจบวุฒิ ป.กศ.ครู และสามารถสอบบรรจุเข้าทำงานได้แล้ว ปู่ก็ถือว่าหมดหน้าที่ตามที่เคยรับปากไว้ ให้กานต์ออกไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเองั้แ่ตอนนั้น
ส่วนอนงค์ เกิดและเติบโตมาในหมู่บ้านห้วยกก เธอใช้ชีวิตอยู่กับยายมาั้แ่เกิด แม่ของอนงค์ทำงานรับจ้างอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วจู่ ๆ ก็อุ้มท้องกลับมาบ้านโดยไม่ยอมบอกว่าใครเป็พ่อเด็ก ในวันคลอด แม่ก็ได้จากอนงค์ไปอย่างไม่มีวันกลับเนื่องจากเสียเืมากตอนคลอด ยายจึงเป็คนเลี้ยงดูอนงค์มาั้แ่ตอนนั้น
ยายเป็แม่ค้าขายผักในตลาดประจำหมู่บ้าน ฐานะทางบ้านไม่ดีนัก อนงค์จึงเรียนจบแค่ ป.4 และออกช่วยยายขายของในตลาด ด้วยความที่เป็คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เอื้อเฟื้อ และขยันขันแข็ง ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านจึงเอ็นดูมาก หากมีงานรับจ้างที่ไหนมักจะเรียกอนงค์ไปช่วยงานด้วยเสมอ ด้วยความที่เป็คนหน้าตาดีและมีบุคลิกนิสัยเช่นนี้ กานต์จึงประทับใจในตัวอนงค์ั้แ่แรกพบ
กานต์และอนงค์ได้ตกลงใช้ชีวิตคู่ร่วมกันหลังจากคบหาดูใจกันได้หนึ่งปี และ มีอนงค์กานต์หลังจากแต่งงานได้สองปี แต่น่าเสียดายที่อนงค์กานต์ไม่มีโอกาสได้เจอคุณยายทวด เพราะท่านได้เสียชีวิตจากไปด้วยโรคไข้ป่าก่อนที่อนงค์กานต์จะเกิด
ชีวิตของอนงค์กานต์ั้แ่เล็กนั้นเรียบง่ายมาก มีพ่อและแม่ที่รักเธอ มีบ้านหลังเล็ก ๆ ให้อาศัยอยู่ ถึงครอบครัวจะไม่ร่ำรวยแต่ก็ไม่ถึงกับมีหนี้สินล้นพ้นตัว พ่อของเธอรับราชการเป็ครู เงินเดือนตอนนี้สี่พันกว่าบาท ส่วนแม่ของเธอเป็แม่ค้า ขายขนมจีน-ก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ตลาดประจำอำเภอ แม้รายได้ต่อวันจะไม่มากนัก แต่ก็พอใช้เป็ค่ากินอยู่ประจำวันของครอบครัวได้
แต่เมื่ออนงค์กานต์อายุสิบสามปี เธอจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี จู่ ๆ แม่อนงค์ก็ปวดท้องอย่างหนัก พ่อจึงพาไปตรวจที่โรงพยาบาลในตัวอำเภอ และถูกส่งต่อไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดในที่สุด และเมื่อผลตรวจออกมาพบว่าแม่อนงค์เป็มะเร็งในมดลูกระยะที่สอง โอกาสหายขาดยาก หากตรวจพบก่อนหน้านั้นสัก 1-2 ปี จะมีโอกาสหายจากโรคสูงกว่า และที่สำคัญค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคในระยะที่สองนี้สูงมาก ซึ่งครอบครัวไม่มีเงินเก็บมากมายขนาดนั้น แม้ว่าจะสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามสิทธิ์ของครอบครัวข้าราชการ แต่ก็สามารถเบิกได้เพียงบางส่วน ยาในการรักษาหลายตัวต้องจ่ายเอง ด้วยเหตุนี้ อนงค์จึงได้ตัดสินใจไม่รับการรักษาท่ามกลางความรู้สึกเ็ปของทั้งครอบครัว
และเมื่อเกิดความหวาดหวั่นและจิตใจที่ท้อถอยลงเรื่อย ๆ อนงค์จึงมีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว และเสียชีวิตหลังจากตรวจพบโรคแค่สองเดือนเท่านั้น การจากไปอย่างกะทันหันของแม่ทำให้อนงค์กานต์รู้สึกเหมือนกับโลกทั้งใบได้แตกละเอียดอยู่ตรงหน้า
แต่แล้วโลกทั้งใบที่แตกละเอียดของเธอก็ถูกบดขยี้ซ้ำอีกครั้ง ในงานศพของแม่วันที่สอง พ่อของเธอประสบอุบัติเหตุโดนรถชนเสียชีวิตขณะขี่รถกลับจากไปส่งเพื่อนที่มาร่วมงานศพ
มันเป็ความเ็ปที่ยากจะทานทนสำหรับเด็กหญิงที่เกิดมาได้แค่สิบกว่าปี จากคนที่เคยมีครอบครัวอยู่พร้อมหน้า แต่แล้วกลับสูญเสียคนที่รักทั้งหมดไปอย่างไม่มีวันกลับ หันไปทางไหนก็เจอแต่ความมืดมิด
เธอจำได้เพียงแต่ว่าเธอนั่งร้องไห้ตลอดเวลา่งานศพของพ่อและแม่ ใครบอกกล่าวอะไรหรือให้เธอทำอะไร่นั้นเธอไม่สามารถรับรู้ หรือดึงสติมารับรู้ได้เลย มารับรู้อีกทีคือเมื่อเสร็จสิ้นงานศพ เธอต้องย้ายไปอยู่กับครอบครัวของปู่ในตัวเมือง ปู่ผู้ที่มักจะมองเธอเหมือนคนแปลกหน้าเสมอ และจะเป็ผู้ปกครองตามกฎหมายแทนพ่อแม่ของเธอ
ทันใดนั้น แววตาของอนงค์กานต์ก็สว่างวาบขึ้นมา หมอเคยบอกว่าถ้าตรวจเจอโรคก่อนหน้านั้น 1-2 ปี จะสามารถรักษาให้หายขาดได้
"แม่ นิดกลัว พอถึงโรงพยาบาล แม่ไปตรวจร่างกายเป็เพื่อนนิดนะ" อนงค์กานต์ขยับตัวเข้ากอดแขนมารดาพลางเอ่ยเสียงอ้อน
"กลัวอะไร พ่อกับแม่ก็จะอยู่ด้วยตลอดตอนตรวจ อีกอย่างแม่ก็ไม่ได้เป็อะไร จะตรวจทำไมให้เปลือง" อนงค์แย้งขึ้นมาทันที
"ไม่เอา ทำคนเดียวนิดกลัว ถ้าแม่ไม่ตรวจด้วย นิดก็จะไม่ตรวจ" อนงค์กานต์แสร้งทำหน้าบูด นี่เป็ไม้ตายของเธอ ด้วยความที่เป็ลูกคนเดียว บุคลิกจึงค่อนข้างเอาแต่ใจ และถ้าเื่ใดไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก ทั้งพ่อและแม่มักจะตามใจเสมอ
"ก็ดีนะนง ไหน ๆ ก็มาแล้ว จะได้ไม่เสียเที่ยว นาน ๆ จะได้เข้าเมืองมาที" กานต์รีบขยิบตาให้อนงค์
"ก็ได้จ้ะ" เมื่อได้รับสัญญาณจากสามี อนงค์ก็ตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจนักโดยมีอนงค์กานต์ฉีกยิ้มดีใจอยู่ข้าง ๆ
"เอางี้ เพื่อความเท่าเทียม เรา 3 คนตรวจพร้อมกันเลยดีกว่านะคะพ่อ ตรวจร่างกายเบิกได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?" ไหน ๆ โอกาสก็มาแล้ว อนงค์กานต์ก็เสนอให้ผู้เป็พ่อเข้าตรวจด้วยเลย เผื่อเจออะไรจะได้รักษาทัน
เมื่อไม่มีทางเลี่ยง ผู้เป็พ่อจึงต้องจำใจตกลงไปด้วยท่ามกลางรอยยิ้มกว้างของอนงค์กานต์
ไม่ว่าใครหรืออะไรก็ตามที่ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาในอดีตได้ เธอก็หวังว่าเขาจะให้โอกาสอีกครั้งในการเปลี่ยนชีวิตของเธอและพ่อกับแม่นับแต่บัดนี้