องค์หญิงหลานซินประหลาดใจอยู่บ้าง “แทะเมล็ดแตงหรือ นี่นับเป็การลงโทษสถานใดกัน”
นางกำนัล “แทะเมล็ดแตงเดิมทีก็ไม่มีอะไรเพคะ แต่คนสามคนต้องคุกเข่าแทะเมล็ดแตงหนึ่งร้อยจิน นั่นเป็การลงโทษอย่างใหญ่หลวงเพคะ”
“เมล็ดแตงหนึ่งร้อยจินหรือ มีแต่ฮองเฮาที่คิดออกมาได้เท่านั้น!” องค์หญิงหลานซินพูดแล้วก็แค่นหัวเราะเสียงเย็นออกมา “ดูแล้ววันนี้ผู้ที่ถูกเห็นเป็เื่น่าขันมิได้มีเพียงเปิ่นกงคนเดียว! ศัตรูของศัตรูก็คือสหาย ระหว่างพวกเรามีอะไรให้ได้พูดคุยกันจริงๆ ไป ไปเชิญฉีเหม่ยเหรินเข้ามา”
ในขณะที่องค์หญิงหลานซินและฉีเหม่ยเหรินผลัดกันปรับทุกข์ในใจ เซวียนหยวนเช่อที่อยู่ในห้องทรงพระอักษรก็ได้รับรายงานเื่นี้เช่นกัน เขาขมวดคิ้วแน่นทั่วร่างแผ่ออกมาเพียงไอเย็นะเื
“ฮองเฮาคนนี้ ไม่ว่าจะไปถึงที่ใด ล้วนก่อเื่ถึงที่นั่น”
ลั่วหยิ่งที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งกลับพูดขึ้นว่า “ฝ่าา ครั้งนี้โทษฮองเฮาไม่ได้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ความจริงคือซุนเต๋อลี่ข่มเหงรังแกคนมากเกินไป! หากมิใช่เป็เพราะฮองเฮาไปถึงทันเวลา บรรดานางกำนัลในตำหนักเว่ยยางคงต้องถูกล่วงเกินจนตายแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ั์ตาดำขลับนั้นไปหยุดนิ่ง ณ จุดหนึ่ง เซวียนหยวนเช่อไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมาได้ พลันหัวเราะเสียงต่ำขึ้นมา
“ลงโทษคนให้แทะเมล็ดแตงหนึ่งร้อยจิน มีเพียงนางเท่านั้นแหละที่จะคิดออกมาได้...”
ฝ่าาถึงกับหัวเราะออกมา อีกทั้งหัวเราะได้ประหลาดนัก ลั่วหยิ่งมีสีหน้าท่าทางราวกับเห็นผี
นาทีถัดมา ฝ่าาเก็บงำรอยยิ้มและกลับมามีสีหน้าเ็าราวกับหิมะเช่นในยามปกติ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ส่งคนไปสองสามคน จับตาดูฮองเฮา หากนางมีการเคลื่อนไหวใดๆ ให้มารายงานเจิ้นให้หมด”
“พ่ะย่ะค่ะ” ลั่วหยิ่งก้มหน้ารับบัญชา ทว่าในใจกลับคาดเดาว่า ฝ่าาทรงกังวลว่าองค์หญิงหลานซินและฉีเหม่ยเหรินจะแก้แค้นฮองเฮาจึงได้ส่งคนไปคุ้มครอง แต่กลับพูดเป็ว่าให้ไปจับตาดูฮองเฮา ช่างทำให้คนสับสนยิ่งนัก!
“ถูกต้องแล้ว ระยะนี้เย่เอ๋อร์เป็อย่างไรบ้าง” เซวียนหยวนเช่อถามขึ้นกะทันหัน
ลั่วหยิ่งก้มหน้าตอบว่า “ได้ยินเฟิงหยิ่งพูดว่า วันนี้ไท่จื่อน้อยร่ำเรียนวิชาศิลปะการเดินหมากล้อมกับหานไท่ฟู่ ถูกหานไท่ฟู่อบรมสั่งสอนไปหลายประโยค หลังจากกลับมาแล้วก็ขังตัวเองไว้ในห้อง ไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมพบใครทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
เซวียนหยวนเช่อเลิกคิ้ว “ข้าวก็ไม่ยอมกินหรือ ดูแล้วน่าจะตำหนิหนักไปหน่อย!”
ลั่วหยิ่งกลั้นยิ้ม คนในวังต่างรู้ดีว่าไท่จื่อน้อยขึ้นชื่อว่าเป็จะกละตัวน้อย สามารถกินอาหารหมดทั้งโต๊ะเพียงคนเดียวได้ ฝ่าาให้ความสำคัญกับพลานามัยของไท่จื่อน้อย จึงคอยให้คนจับตาดูอยู่เสมอ ทว่าไท่จื่อน้อยกินอย่างไรก็กินไม่อิ่ม มักจะไปแอบกินข้าวปั้นในห้องเครื่องเพียงลำพังเสมอ ตอนนี้กระทั่งข้าวก็ยังไม่ยอมกิน แสดงให้เห็นว่าน่าจะเป็เื่ใหญ่จริงๆ
“ไป ไปดูสักหน่อย!” เซวียนหยวนเช่อลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทรงพระอักษร
ภายในตำหนักเว่ยยาง เฟิ่งเฉี่ยนอาบน้ำชำระกายอย่างง่ายๆ แล้วได้ยินเื่ราวของบุตรชายจากปากของชิงเหอกูกู ในใจนางคิดถึงบุตรชาย จึงผลัดเปลี่ยนอาภรณ์สะอาดสะอ้านแล้วไปหาโอรสที่ตำหนักบูรพา
เพิ่งจะก้าวเข้าไปในตำหนักบูรพาก็ได้ยินเสียงเข้มงวดของเซวียนหยวนเช่อที่กำลังตำหนิติเตียน “รู้หรือไม่ว่าอะไรเรียกว่าบุรุษอ่อนแอ ทำความผิดแล้ว ไม่กล้าเผชิญหน้า ซ้ำยังเอาแต่คอยหลบลี้หนีหน้า นี่เรียกว่าบุรุษอ่อนแอ! เ้าเป็โอรสของเจิ้น เดิมทีต้องไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน ตอนนี้กลับกลายเป็บุรุษอ่อนแอคนหนึ่ง! เ้าช่างทำให้เจิ้นผิดหวังเหลือเกิน!”
เฟิ่งเฉี่ยนเดินเข้าไปใกล้ เห็นเซวียนเหยวนเช่อยืนอยู่ด้านนอกประตูตำหนักบรรทม กำลังอบรมสั่งสอนประตูตำหนักบรรทมที่ปิดสนิทบานนั้น เมื่อสิ้นเสียงของเขา ภายในห้องก็มีเสียงร้องไห้จ้าของเด็กน้อยดังขึ้น
เซวียนหยวนเช่อได้ยินเช่นนั้นจึงยิ่งเกิดโทสะ เขาตวาดเสียงเด็ดขาดใส่ข้างใน “ห้ามร้องไห้! เ้าเป็ไท่จื่อ ควรจะกล้าหาญและเข้มแข็งยิ่งกว่าผู้อื่น! ได้ยินหรือไม่ ...ตอนนี้เจิ้นจะนับถึงสาม เ้าจะต้องเดินออกมาจากห้องทันที หาไม่ละก็...”
“หาไม่ละก็ ท่านจะทำอย่างไร” เฟิ่งเฉี่ยนก้าวเข้ามาขัดคำพูดของเขา “เซวียนหยวนเช่อ มีใครเขาสอนลูกเช่นท่านกัน เย่เอ๋อร์เป็เพียงเด็กคนหนึ่ง เหตุใดท่านจึงต้องเข้มงวดกวดขันกับเขาเช่นนี้”
เซวียนหยวนเช่อตวัดสายตาคมปลาบมาทางนางปราดหนึ่ง ในแววตานั้นเฉียบคมราวกับกระบี่ “ตอนนี้เ้ากำลังสอนเจิ้นว่าควรจะสั่งสอนโอรสอย่างไรหรือ”
“ข้ารู้เพียงว่า ลูก้ากำลังใจ มิใช่คำตำหนิติเตียน! ท่านทำเช่นนี้ มีแต่จะทำให้ลูกหวาดกลัวการเรียนรู้ ยิ่งทำให้เขาดูถูกตัวเองและขาดความกล้าหาญ!” เฟิ่งเฉี่ยนมองเขาตรงๆ อย่างไร้ความกลัวเกรง แววตาของนางยืนกรานและเปล่งประกาย “เขาไม่ได้เป็บุรุษอ่อนแอ และไม่เคยคิดจะเป็บุรุษอ่อนแอมาก่อน ทว่านับั้แ่นาทีที่ท่านกำหนดคำว่าบุรุษอ่อนแอขึ้นมา คำๆ นี้จะสลักลึกลงในใจของเขา ท่านรู้ผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้หรือไม่”
เซวียนหยวนเช่อเดือดดาล “หรือเ้าไม่เคยได้ยินประโยคที่ว่า มารดาที่เมตตาเกินไปทำให้บุตรชายเป็ผู้พ่ายแพ้”
เฟิ่งเฉี่ยนเลิกคิ้วขึ้นสูง “จะเป็ไปได้อย่างไรกัน เย่เอ๋อร์เป็บุตรชายของข้า ในตัวของเขามีเืของข้าไหลเวียนอยู่ ข้าโดดเด่นถึงเพียงนี้ เขาจะกลายเป็เชื้อพันธุ์ที่ไม่ดีได้อย่างไร”
เซวียนหยวนเช่อแค่นเสียงฮึ “เ้าช่างรู้จักให้หน้าตัวเองยิ่งนัก!”
เฟิ่งเฉี่ยนเบ้ปาก “เย่เอ๋อร์เป็บุตรชายของท่านเช่นกัน ในตัวของเขาก็มีเืของท่านไหลเวียนอยู่ หากท่านคิดว่าเขาเป็บุรุษอ่อนแอ เป็เชื้อพันธุ์ที่ไม่ดี เช่นนั้นคงอธิบายได้เพียงว่าเืในส่วนของท่านเท่านั้นแหละที่มีปัญหา!”
“พูดเอาแต่ได้ เจิ้นคร้านจะไร้สาระกับเ้า!” เซวียนหยวนเช่อหันกลับไปะโใส่ตำหนักบรรทมอีกครั้ง “เจิ้นจะเริ่มนับแล้วนะ หนึ่ง สอง...”
เฟิ่งเฉี่ยนพลันโถมกายเข้ามาใช้มืออุดปากของเขาเอาไว้ แล้วะโเข้าไปในตำหนักบรรทม “เย่เอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว เสด็จแม่จะปกป้องเ้าเอง!”
ทันใดนั้น ข้อมือของนางถูกคนใช้แรงบิด นางเงยหน้าขึ้นประสานสายตาที่แทบจะมีเปลวไฟแลบออกมาได้ของเซวียนหยวนเช่อ เขากำลังถลึงตาใส่นางอย่างโกรธแค้น
“เ้าคิดจะหาที่ตายหรือไร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาทีละคำ
ยังไม่เคยมีใครกล้าอุดปากเขาเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่เคยมีใครกล้าโต้แย้งกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า สตรีนางนี้แทบจะเรียกได้ว่ากินดีเสือดาวมาอย่างไรอย่างนั้น!
ความกดดันมหาศาลราวกับูเาไท่ซานที่กดทับลงมา เฟิ่งเฉี่ยนแหงนเงยศีรษะออกไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว นางรู้ว่าตัวเองได้แตะต้องขีดความอดทนของเขาเข้าแล้ว นางทำให้เขาเดือดดาลอีกแล้ว
แต่เพื่อบุตรชายแล้ว นางยังคงเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความยากลำบาก นางพูดอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจว่า “ข้าไม่อยากหาที่ตาย! ข้าเพียงแต่อยากสนทนากับท่าน!”
เห็นแววตาราวกับมีเปลวไฟแลบเลียของเขามิได้มีวี่แววจะดับมอดลงแต่อย่างใด นางจึงพูดเสียงอ่อนลง เพื่อเปลี่ยนกลยุทธ์ “ท่านลองเปลี่ยนมุมมองคิดดู เื่นี้ล้วนยังไม่ชัดเจน เหตุใดท่านจึงตัดสินใจว่าเป็ความผิดของเย่เอ๋อร์ หากพวกเราเข้าใจเย่เอ๋อร์ผิดเล่า จะทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ในวัยเด็กของเขามีเงามืดในใจ นั่นมิใช่เป็เื่ที่ย่ำแย่มากหรอกหรือ”
เปลวไฟในดวงตาของเซวียนหยวนเช่อค่อยๆ ดับมอดลง เขาปล่อยมือของนางและพูดเสียงเย็น “พูดต่อไป!”
เฟิ่งเฉี่ยนเห็นว่าได้ผล จึงพูดต่อว่า “ท่านดูสิ นับแต่โบราณมา สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนเกิดและพัฒนาไปตามกฎของหยินและหยาง การอบรมสั่งสอนลูกก็เหมือนกัน จะเอาแต่เข้มงวดอย่างเดียวไม่ได้ และไม่อาจมีเพียงความรักเมตตาอย่างเดียวเช่นกัน นี่เป็สาเหตุว่าทำไมจึงให้บิดาและมารดามีบทบาทที่แตกต่างกัน บิดาเป็ตัวแทนของการกระตุ้นและผลักดัน แต่มารดานั้นเป็ตัวแทนของความอ่อนโยนและสบายใจ ั้แ่เล็กจนโตเย่เอ๋อร์ได้รับเพียงความรักจากบิดา ขาดความรักจากมารดา ดังนั้นเมื่อเขาพบกับความล้มเหลว พ่ายแพ้ เขาก็จะเลือกใช้วิธีการสุดโต่งที่จะระบาย เพื่อปกป้องตัวเอง แต่หลายครั้งที่เื่บางเื่้าเพียงแค่พูดออกมาก็เพียงพอแล้ว ขอเพียงได้พูดความรู้สึกไม่สบายใจออกมาจากปาก ปัญหาก็ถูกคลี่คลายลงได้ และนี่ก็เป็ความหมายของการต้องมีมารดา!”
“ดังนั้น?” เซวียนหยวนเช่อเลิกคิ้วถลึงตาใส่นาง
เฟิ่งเฉี่ยนยิ้ม “ดังนั้น ข้าคิดว่าสิ่งที่เย่เอ๋อร์้าที่สุดในตอนนี้ก็คือ คนๆ หนึ่งที่จะรับฟังเขา ให้เขาได้ระบายความในใจทั้งหมดออกมา จากนั้นพวกเราค่อยมาปรึกษาหารือกันว่าควรจะแก้ปัญหาอย่างไร ส่วนข้า ก็คือบุคคลที่เหมาะสมที่สุด!”
นางตบอกตัวเองด้วยความมั่นใจ
เซวียนหยวนเช่อเงียบขรึมมองนางแน่วนิ่งเนิ่นนาน กระทั่งนางเกือบจะรอไม่ไหวแล้วเขาจึงพูดว่า “เ้าคิดจะทำอย่างไร”
เฟิ่งเฉี่ยนยิ้มจนตาโค้งลงด้วยรอยยิ้มเ้าเล่ห์