หลังทานข้าวเย็นมื้อเรียบง่ายหมดลงโดยไม่มีคำพูดจากันอีก สีของท้องฟ้าก็มืดสนิท
หลี่ซื่อเก็บถ้วยชามและโต๊ะทำความสะอาดอย่างคล่องแคล่ว และยังถือน้ำร้อนครึ่งกะละมังจากห้องครัวมาวางไว้บนโต๊ะ บิดผ้าให้แห้งแล้วส่งให้เจินจู เธอรับมาเงียบๆ เช็ดใบหน้าและลำคอโดยเลี่ยงาแ ที่จริงแล้วในใจเธอรู้สึกอึดอัดทำตัวไม่ค่อยถูก อย่างไรเสียก็ยังปรับตัวให้ชินกับสถานะเด็กสาวตัวน้อยไม่ได้เสียทีเดียว สภาพจิตใจที่ได้รับการดูแลจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง รู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์เล็กน้อย
หลี่ซื่อยกกะละมังขึ้นเอาน้ำไปเททิ้งนอกห้อง แล้วถือยาออกมาจากห้องครัวอีกครั้ง เจินจูมองถ้วยยาสีดำสนิท ในปากก็เกิดความขมขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่มีใจอยากจะดื่ม แต่หลี่ซื่อมองอย่างคาดหวังอยู่ ทำได้เพียงประคองถ้วยขึ้นมาและดื่มลงไปให้หมดในลมหายใจเดียว
“แหวะ…ขมจะตายชัก…” เจินจูย่นคิ้วแล้วรับน้ำที่หลี่ซื่อส่งมาให้รีบดื่มสองอึก แม้ว่ากลิ่นยายังคลุ้งอยู่ทั่วปาก แต่อย่างไรก็เจือจางรสขมลงไปได้ไม่น้อยทีเดียว
ผิงอันเกาะอยู่ที่ขอบเตียงมือสองข้างเท้าแก้มยิ้มและกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านโตกว่าข้ายังกลัวความขม ข้าดื่มยาไม่กลัวความขมเลยสักนิดเดียว”
“…”
เจินจูมองไปยังใบหน้าเล็กๆ ของเขาที่ปรากฏความขบขันเล็กน้อย คิดในใจหากว่าเป็ยุคสมัยปัจจุบัน ให้เขาไปฉีดยาที่โรงพยาบาล ไม่รู้ว่าจะร้องไห้จนสภาพเป็อย่างไร คิดได้เช่นนั้นก็ไม่โต้เถียงกับเด็กน้อย
“ท่านพี่ ท่านเช็ดตัวเสร็จแล้วก็รีบนอนเถิด ข้าเอาตะเกียงไฟไปด้วย อีกเดี๋ยวท่านแม่จะเย็บพื้นรองเท้าให้ท่านพ่อ” ผิงอันยกตะเกียงขึ้นกล่าวกับเธอ
“เอ่อ…อืม…ได้สิ พี่เองก็จะนอนแล้ว”
เดิมทีรู้สึกแปลกใจนักว่าเหตุใดจึงต้องเอาตะเกียงไปด้วย พอคิดอีกทีจึงนึกขึ้นได้ว่าเพื่อประหยัดน้ำมันในบ้านจึงใช้ตะเกียงน้ำมันใบเล็ก ปกติแล้วจะวางไว้ในห้องหลัก กิจวัตรจำพวกล้างหน้าบ้วนปากจะจัดการให้เรียบร้อยก่อนฟ้ามืด พอมืดก็ถึงเวลานอนแล้ว
เจินจูหมดคำพูดไปพักหนึ่ง มิน่าเล่าที่คนสมัยโบราณตื่นั้แ่ไก่โห่ ลองคิดดูว่า ปกติตอนท้องฟ้ามืดเพิ่งจะหกโมงหนึ่งทุ่ม หลับถึงหกเจ็ดโมงเช้า ก็นอนไปสิบสองชั่วโมงแล้ว จะไม่ให้ตื่นเช้าได้อย่างไร เจินจูวิจารณ์อยู่ในใจ
แน่นอนว่า ครอบครัวที่มีเหตุให้จุดตะเกียงน้ำมันก็จะเข้านอนช้าเช่นกัน แต่ก็ไม่ดึกเกินไปเท่าไหร่หรอก อย่างไรเสียก็ไม่มีกิจกรรมสนุกอะไร ผู้คนก็คงชินกับชีวิต “พระอาทิตย์ขึ้นตื่นมาทำงาน พระอาทิตย์ตกพักผ่อนนอนหลับ”
เจินจูพึมพำในใจ อดทนความเจ็บค่อยๆ เคลื่อนร่างกายนอนลงช้าๆ
หลี่ซื่อจัดการดึงผ้าห่มให้เจินจูเสร็จเรียบร้อย มองหน้าผากที่บวมเป่งของเธอด้วยความสงสาร เพราะทายาเป็พื้นที่กว้างเขียวๆ แดงๆ ช่างดูรันทดเสียจริง นางจึงจัดผมของเธอให้ไม่ระเกะระกะแล้วตบผิงอันเบาๆ บอกใบ้ให้เขากลับไปห้องหลักกับนาง
ผิงอันยกตะเกียงออกนอกประตูตามหลี่ซื่อไป หลี่ซื่อหมุนกายกลับมาปิดประตูให้เรียบร้อย ในห้องจึงตกอยู่ในความมืดทันที
เจินจูเพิ่งทานข้าวอิ่ม จะมีความง่วงได้อย่างไร แต่จะทำอะไรในห้องที่มืดสนิทได้เล่า
เธอใช้มือขวาที่ไม่ได้รับาเ็ลูบหนังท้องด้วยความเบื่อหน่าย นี่คือความเคยชินของหูเจินจูในชาติก่อน ที่มีเวลาก่อนนอนก็จะนวดท้อง เล่ากันว่าสามารถลดขนาดพุงให้เล็กลงได้
ทันทีที่มือััโดนท้องก็สะดุดเข้ากับสิ่งของบางอย่าง เธอคลำต่ำลงไป มีบางอย่างอยู่จริงๆ ด้วย จึงยื่นมือไปล้วง ดูเหมือนว่าจะเป็แหวน ตรงกลางกลวงเป็วงกลม เจินจูขยับมือทั้งสองข้างออกจากผ้าห่มลูบคลำดู แสงอ่อนๆ จากนอกหน้าต่างลอดทะลุเข้ามา พอจะมองออกว่าเป็แหวนจริงๆ
“อา…” เจินจูคิดขึ้นมาได้ทันที ไม่ใช่แหวนนี่หรอกหรือ
ที่พบอยู่ในรังนั่นตอนเก็บไข่ไก่ป่า ตอนนั้นเห็นว่าแหวนวงนี้มีรูปร่างเก่าแก่ มิใช่ทั้งเงินและทองแดง หูเจินจูจึงเก็บเอาแหวนมาไว้ในอ้อมอกอย่างระมัดระวังด้วยความดีใจอย่างมาก ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นไม่ทันได้ระวังก็กลิ้งตกเขาลงไปเสียแล้ว ชีวิตน้อยๆ จึงกลิ้งหลุดหายไป คิดถึงตรงนี้เธอก็ถอนหายใจเบาๆ
เจินจูถือแหวนไว้ในมืออย่างใจลอย แหวนวงนี้ค่อนข้างใหญ่ เธอลองสวมนิ้วชี้นิ้วกลางนิ้วนางทีละนิ้ว ไม่มีนิ้วไหนที่เหมาะสมเลย สุดท้ายเลยเอามันสวมเข้าที่นิ้วหัวแม่มือจึงฝืนสวมได้มั่นคง ใจคิดว่าคงจะดีหากมันเป็โลหะเงินและวงใหญ่กว่านี้อีกนิด เพราะน่าจะได้ราคาสูง
ขณะที่กำลังคิด “โอ๊ะ…” ทันใดนั้นง่ามระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งมือซ้าย ก็เกิดความเ็ปขึ้น รู้สึกเหมือนเข็มทิ่มแทงเริ่มลุกลาม เธอยื่นมือขวามาลูบตรงที่เจ็บ ััได้ถึงความชื้น จึงยกขึ้นมาจ่อที่ปลายจมูก มีกลิ่นคาวเืตีขึ้นมาฉับพลัน
“โอย... พระเ้า ทำไมเืไหลอีกแล้วเล่า”
เดิมทีตรงง่ามระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเป็แค่ผิวถลอก แค่เืออกจางๆ เท่านั้น ไม่ได้หนักหนาอะไร ดังนั้นาแจึงไม่ได้จัดการเป็เื่เป็ราว แต่ตอนนี้รู้สึกว่าาแจะปริออกและมีแนวโน้มว่าจะนองเื ทั้งปวดทั้งชา
เจินจูรีบยื่นมือออกมาหยิบผ้าบนหัวเตียง ใช้ผ้าซับหวังว่าเืจะหยุดไหล ทว่าผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็รู้สึกเวียนศีรษะหน้ามืด ทั้งตัวคล้ายกับถูกดูดเข้าไปในหลุมดำปานโลกหมุน
ไม่นานเธอก็เป็ลมไป...
รอจนเจินจูฟื้นขึ้นมา ประคองศีรษะมึนๆ หนักหน่วง พบว่าตนเองนอนหงายอยู่บนทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง ท้องฟ้ามีหมอกปกคลุมประหลาดมาก
เธอกะพริบตา ััได้ถึงความนุ่มนวล เมื่อลุกขึ้นนั่งไม่คาดคิดเลยว่าจะพบกับหญ้าที่เป็สีม่วง มีความเหนียวทนทาน ใบหญ้าบางๆ อ่อนๆ เอื้อมมือออกไปััก็รู้สึกนุ่มมาก
ในอากาศยังส่งกลิ่นชนิดหนึ่งที่หอมจางๆ ขณะดมก็สุดแสนจะสุขกายสบายใจ หายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกช้าๆ รู้สึกราวกับว่าได้ปลดเปลื้องความทุกข์ของจิตใจให้สงบ
เจินจูนอนเอกเขนกอาลัยอาวรณ์อยู่พักหนึ่ง จึงคิดขึ้นมาได้ว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียง เหตุใดจึงวิ่งมาอยู่บนพื้นหญ้าได้เล่า? มองเสื้อผ้าบนกาย ยังคงเป็เสื้อผ้าชุดเก่าที่มีรอยปะ รองเท้าก็ไม่ได้สวม เท้าสองข้างว่างเปล่า าแบนกายก็ยังเจ็บบ้าง ที่ชัดเจนยังคงเป็เด็กสาวตัวซีดเหลืองไร้เดียงสาหูเจินจูที่อายุสิบปีคนนั้น
นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้มือซ้ายเ็ปมีเืไหล เธอรีบสำรวจดู กลับพบว่าแหวนที่นิ้วหัวแม่มือไร้ร่องรอย มีเพียงลายรางเลือนวงหนึ่งที่ล้อมรอบนิ้วโป้งไว้ ส่วนาแที่ง่ามระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งกลับไม่ค่อยชัด และไม่รู้ว่าเมื่อครู่เหตุใดถึงแสบร้อนเพียงนี้
เธอรู้สึกสับสนเล็กน้อย จึงยืนขึ้นอย่างระมัดระวังเพื่อสังเกตสถานการณ์โดยรอบ นี่คือลานเล็กๆ ด้านหน้ามีกระท่อมที่มุงด้วยหญ้าชนิดหนึ่ง ด้านข้างมีสระน้ำเล็กๆ เล็กมาก แต่ก็ใหญ่กว่าอ่างอาบน้ำขึ้นมาหน่อย ตรงกลางเป็ที่นาสีเข้มผืนหนึ่ง ไม่กว้างมากนัก ประมาณ 30 ตารางเมตร และยังไม่ได้ปลูกอะไรทั้งสิ้น
แล้วยังมีผืนหญ้าสีม่วงที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ถัดไปอีกก็คล้ายว่ามีฉากกำบังชั้นหนึ่ง เป็หมอกสลัวๆ เจินจูงุนงงเล็กน้อย อดเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างแล้วลูบไม่ได้ เป็ฉากกำบังจริงๆ ราวกับเป็กำแพงไร้รูปที่มองไม่เห็น ทำอย่างไรก็ทะลุไปไม่ได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจินจูคล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง นี่... น่าจะเป็อะไรที่เรียกว่ามิติล่ะมั้ง มองไปยังรอยบนนิ้วหัวแม่มือ เธอน่าจะอยู่ในมิติช่องว่างของแหวนวงนี้ แต่แหวนกลับซ่อนเข้ามาในร่างกายของเธอเหลือไว้เพียงลายจางๆ
เจินจูคิดอย่างตื่นเต้น แต่เธอกลับรู้สึกแปลกประหลาดเล็กๆ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง สถานที่แห่งหนึ่งที่เล็กขนาดนี้เนี่ยนะเรียกว่ามิติช่องว่าง? พื้นที่ทั้งหมดรวมกันโดยประมาณยังไม่เท่าห้องใหญ่ 80 ตารางเมตรห้องหนึ่งเลย
เจินจูจ้องเขม็งอีกสองสามครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ลากขาของเธอไปที่หน้ากระท่อมมุงด้วยหญ้าชนิดหนึ่ง
ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนตัดสินใจเคาะประตู
เมื่อก่อนวิธีการพูดเช่นนี้เห็นได้บนอินเทอร์เน็ต เคาะประตูก่อนเข้าห้องที่ไม่คุ้นเคย เพื่อทักทายสิ่งมีชีวิตแปลกหน้าด้านใน แน่นอนว่าเธอในเมื่อก่อนรู้สึกว่าคำพูดนี้เป็คำพูดงมงาย แต่สภาพตอนนี้รอบคอบไว้ก่อนน่าจะดีกว่า เธอมาอยู่ในร่างเด็กสาวคนนี้แล้ว จะมีอะไรที่เป็ไปไม่ได้อีก หากว่ามีสิ่งมีชีวิตแปลกๆ ที่อาศัยอยู่ในช่องว่างมิตินี่เล่า?
“อมิตาพุทธ” ลูบๆ หัวใจดวงน้อยที่เต้นแรง ก่อนเอื้อมมือออกไปเคาะประตู
“สวัสดี มีคนอยู่ไหม?” ถามด้วยเสียงกล้าหาญ แล้วเงี่ยหูฟังว่าจะมีคนตอบกลับมาหรือไม่
ผ่านไปสักพัก เจินจูเคาะอีกรอบ ใช้เสียงะโให้ดังขึ้น
“มีคนอยู่ไหม?”
“…”
เอาเถอะ ดูแล้วน่าจะไม่มีคน เธอแลบลิ้นด้วยความเขินอาย ดีที่ตรงนี้ไม่มีคนเห็น ในใจเธอยิ้มแหยๆ อยู่สักพัก
ผลักประตูเปิดเข้าไปแล้วมองแวบหนึ่ง สถานที่เล็กมาก ทอดสายตามองเข้าไปเห็นได้ชัดว่า มีหมอนไม้อยู่หนึ่งอัน ตรงกลางก็วางโต๊ะกับเก้าอี้อย่างละตัว ขวามือเป็ตู้ติดกับผนังทั้งบาน บนตู้มีลิ้นชักจัดวางเรียงแถวอย่างเป็ระเบียบ ดูแล้วเหมือนตู้ที่เก็บวัตถุดิบในร้านขายยาจีนเลย
เจินจูมองซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง สถานที่ไม่มีอะไรน่าสงสัยจึงก้าวเข้าไปในห้องได้
เธอมองตู้ที่กินพื้นที่ครึ่งห้องอย่างอยากรู้อยากเห็นและตื่นเต้น ในใจมีความคิดพรั่งพรูออกมานับไม่ถ้วน ข้างในนี้จะมีสิ่งของจำพวกหนังสือศิลปะการต่อสู้ล้ำค่า ยาวิเศษอายุวัฒนะอะไรทำนองนั้นหรือไม่ ด้วยความตื่นเต้นในการตามหาของแปลก เธอดึงลิ้นชักอันหนึ่งในนั้นออกมาด้วยความระมัดระวัง แล้วชะโงกมองดู
“เอ่อ…” ว่างเปล่า
ลิ้นชักขนาดใหญ่ งานฝีมือประณีต ด้านนอกยังแกะสลักเครื่องหมายตัวอักษรอย่างงดงาม แต่มันว่างเปล่า เจินจูนึกผิดหวังเล็กน้อย สายตาเธอมองต่อไปยังลิ้นชักด้านข้าง ยังคงดึงออกมาด้วยความระมัดระวัง แต่ก็ว่างเปล่า
“… ยังไม่เชื่อหรอก” เธอขมวดคิ้ว
เริ่มทำการดึงลิ้นชักเหล่านี้ออกมา หนึ่งช่อง สองช่อง สามช่อง…
เมื่อเธอเปิดลิ้นชักมาได้ครึ่งหนึ่ง ก็รู้สึกหอบฮืดๆ แล้ว “ไม่ได้ พักก่อนสักเดี๋ยว ฮู่ว…ฮู่ว…”
เธอนั่งลงบนเก้าอี้ เดิมทีร่างกายที่ได้รับาเ็ รู้สึกเจ็บมากยิ่งขึ้นจากการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ไม่รู้ว่าเป็เพราะอยู่ในมิติช่องว่างหรือไม่ ความเ็ปไม่รุนแรงเหมือนตอนแรก มีเพียงความเ็ปที่คลุมเครือ รู้สึกยังอยู่ในขอบเขตที่ทนได้
เธอนั่งจ้องลิ้นชัก พูดพึมพำ
“คงไม่ได้ว่างเปล่าทั้งหมดมั้ง ลิ้นชักเยอะเพียงนี้เอามาใช้ทำอะไรกัน? ขอนับดูทีว่ามีกี่ช่อง หนึ่ง สอง สาม…
“…เจ็ดสิบเก้า แปดสิบ แปดสิบเอ็ด นึกไม่ถึงเลยว่าแปดสิบเอ็ดช่อง ในลิ้นชักนี้มีความหมายอะไรกัน?”
เธอเค้นสมองแล้วเค้นสมองอีก “ช่างเถอะ ไม่สนแล้ว เอา้าสุดมาดูก่อนแล้วกัน”
เจินจูใช้วิธีที่ใช้บ่อยสุดในชาติก่อน คิดไม่ได้ก็ไม่คิด ทรมานสมองน้อยลงหน่อย แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่ใช่คนที่จะต้องรู้ต้นสายปลายเหตุให้ถึงที่สุดแบบนั้น
เพราะลิ้นชัก้าค่อนข้างสูง เธอลากเอาเก้าอี้มาใกล้ๆ ตู้ ยืนเทียบขึ้นไป ค่อยๆ เปิดลิ้นชักออก ดูด้านใน แล้วอดแสยะยิ้มไม่ได้ ในที่สุดก็เจอสิ่งของ แม้จะมีสิ่งของชิ้นเล็กเพียงชิ้นเดียว แต่ก็ปลอบประโลมใจที่กระสับกระส่ายของเธอได้
เธอหยิบของมาไว้บนมือและพลิกกลับไปกลับมา นี่น่าจะเป็ชิ้นหยกล่ะมั้ง สีเขียวอ่อน สี่เหลี่ยมจัตุรัส ไม่ใหญ่เท่าครึ่งฝ่ามือ กุมอยู่ในมือก็เย็นลื่นเกลี้ยงเกลา
เจินจูลงจากเก้าอี้แล้วนั่งลง หลังจากนั้นลองหวนคิดถึงในอดีต ว่าก่อนหน้าโน้นเคยเห็นในนิยายหรือในละครมีของอะไรจำพวกนี้หรือไม่