เขาลอบสังเกตคนทั้งสาม แม้ในใจจะนึกคลางแคลงสงสัย ทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้า น้ำเสียงแม้ไม่ถึงกับกระตือรือร้น แต่ก็ไม่แข็งกร้าว ทำให้พวกิเป่าจูรู้สึกผ่อนคลายเป็อย่างยิ่ง
“พี่หญิง ท่านจะทำอันใด” ิเป่าอวี้บีบมือของนางแน่นด้วยความไม่สบายใจ
“นี่ยังดูไม่ออกอีกหรือ พี่สาวเ้ากลัวเ้าจะคิดมาก วางแผนจะตัดชุดใหม่ให้สองสามชุดน่ะสิ” หลี่ไหวฺอวี้ไม่รอให้ิเป่าจูอธิบาย ชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อน
ปากไวอีกแล้ว!
“อย่าคิดมาก ดูเสื้อผ้าของเ้าสิ สั้นเต่อหมดแล้ว หากสวมต่อไปก็ไม่เหมาะสม ควรเปลี่ยนใหม่เสียที” ิเป่าจูไม่สนใจหลี่ไหวฺอวี้ มองน้องชายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“เถ้าแก่ รบกวนท่านแนะนำผ้าเนื้อหนาและคงทนต่อการเสียดสีให้หน่อย” นางหันไปคุยกับเ้าของร้านแพรพรรณ
แม้อาภรณ์ของแม่หนูคนนี้จะขาด แต่กลับสะอาดสะอ้าน การพูดจาสุภาพมีมารยาท ท่าทีของเถ้าแก่ยิ่งจริงจังมากขึ้นหลายส่วน
“เกรงใจไปแล้ว ท่านดูผืนนี้ ผ้าเนื้อนุ่มเบาสบาย มาจากทางอวี่โจว ขึ้นชื่อเื่สวมใส่คงทน”
ผ้าแบบนี้ส่วนใหญ่พวกชาวไร่ชาวนามักเลือกซื้อกัน เอาไปตัดเสื้อผ้าสวมใส่ทำงานนอกบ้าน ทำไร่ไถนา สวมใส่ได้หลายปีโดยไม่มีปัญหาใดๆ ที่สำคัญราคาก็ถูกอีกด้วย
“เช่นนั้นเอาผืนนี้ ข้าอยากจะตัดชุดให้เขาสองชุด ชุดหนึ่งหนาหน่อย อีกชุดบางหน่อย ท่านดูตามความเหมาะสมเถอะ”
ิเป่าจูลองลูบดูหนึ่งที เนื้อผ้านุ่ม เส้นไหมละเอียดแต่มีความแข็งแรงทนทาน กำลังจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง สวมใส่ได้พอดี จึงตกลงตามนี้
“ได้เลย ข้าจะวัดตัวให้ก่อน”
เขาหยิบไม้บรรทัดใกล้มือขึ้นมาแล้วเดินไปด้านหน้าิเป่าอวี้ วัดขนาด่ไหล่่เอวอย่างคล่องแคล่ว
ระหว่างนั้นหลี่ไหวฺอวี้ก็เดินมาข้างกายิเป่าจูอย่างเงียบเชียบ พลางเอ่ยขึ้นบ้าง “เสื้อผ้าของข้าก็ควรเปลี่ยนเหมือนกัน”
“ควักเงินเองสิ” ิเป่าจูยอกย้อนอย่างไม่เกรงใจ
การรับเขาเข้ามาอยู่ในบ้าน ชีวิตที่แสนลำเค็ญของนางก็ยิ่งเป็มะเขือต้องน้ำค้างแข็ง [1] แม้ว่าตอนนี้นางจะหาเงินได้ แต่นี่ก็คือน้ำพักน้ำแรงของตนเองทั้งนั้น
แล้วเหตุใดต้องมาควักเงินจ่ายค่าตัดเสื้อผ้าให้กับคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง และไม่รู้สถานะที่แน่ชัดด้วยเล่า
“นึกไม่ถึงว่าเ้าจะเป็คนได้ใหม่ลืมเก่าเยี่ยงนี้ นึกถึงตอนแรกที่ครอบครัวไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ ข้ายังออกไปขายตัวเพื่อแลกข้าวสารกลับมา ตอนนี้ใช้จนหมดประโยชน์แล้ว ก็ทิ้งขว้างไม่สนใจไยดี”
เสียงของหลี่ไหวฺอวี้ไม่เบา ดึงดูดสายตาของเถ้าแก่ให้ลอบชำเลืองมา แต่เมื่อพบว่าิเป่าจูกำลังจ้องเขาอยู่ ก็รีบเบือนสายตาไป
แย่แล้ว เขามาได้ยินอะไรเข้านี่
พายุพลันโหมกระหน่ำในใจของเถ้าแก่ร้านอย่างรุนแรง
“ท่าน... หุบปากเสีย พูดพล่ามส่งเดชอะไร”
ิเป่าจูได้ยินหลี่ไหวฺอวี้พูดเรื่อยเปื่อย ก็โมโหกระทืบเท้า มองไปทางเถ้าแก่อย่างร้อนใจ ก็เห็นอีกฝ่ายสีหน้าตื่นกลัว สายตาที่มองนางก็ผิดปกติ
“แค่ก ล้อเล่นน่ะ ล้อเล่นน่ะ” ยามนี้ หลี่ไหวฺอวี้ถึงทำสีหน้าเก้อเขิน หันไปอธิบายกับเถ้าแก่
เถ้าแก่พยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน แล้ววัดตัวให้ิเป่าอวี้ต่อ
หลังวัดตัวเสร็จเรียบร้อย ิเป่าจูก็เอ่ยปากด้วยความกระดากใจ ขอให้เถ้าแก่ช่วยวัดตัวให้หลี่ไหวฺอวี้
“ผ้าเอาเหมือนกัน ตัดชุดหนาๆ ให้เขาตัวเดียวก็พอ”
“ข้าไม่คุ้นชินกับผ้าฝ้ายเนื้อหยาบเช่นนี้ ถ้าแบบนั้นก็ยังพอว่า” หลี่ไหวฺอวี้ชี้ไปที่แพรพรรณหรูหราชิ้นหนึ่งบนตู้
“คิดอะไรอยู่ ผืนนี้แหละ จะเอาหรือไม่เอา”
ผ้าผืนนั้นรู้ได้แต่แวบแรกที่เห็นว่าราคาต้องแพงระยับ ลวดลายมีความประณีตซับซ้อน แม้จะดูอยู่ไกลๆ ก็มองออกได้ไม่ยากว่าล้ำค่าแค่ไหน เนื้อละเอียดเป็เงางาม แต่ไม่ใช่ผ้าที่นางจะซื้อได้
เงินในมือล้วนมีจุดหมายปลายทางที่วางแผนไว้หมดแล้ว จะมาใช้กับของหรูหราฟุ่มเฟือยเหล่านี้ได้อย่างไรกัน
เถ้าแก่เองก็ยังอึ้ง ไม่นึกว่าชายหนุ่มที่ดูอายุยังไม่มาก แต่สายตากลับร้ายกาจ มองปราดเดียวก็เลือกผ้าที่แพงที่สุดในร้านออกมาได้แล้ว
แต่สิ่งที่ทั้งสองไม่รู้ก็คือ นี่คือตัวเลือกที่หลี่ไหวฺอวี้ลดเงื่อนไขของตนลงมาระดับหนึ่งแล้ว
“เฮ่อ วันนั้นเ้าน่าจะปล่อยให้ข้าตายบนูเาให้รู้แล้วรู้รอด ช่วยคนแล้วไม่รับผิดชอบจะต่างอะไรกับได้แล้วทิ้ง อีกอย่าง คนผิวบอบบางอย่างข้า หากสวมใส่ผ้าอย่างอื่นต้องทั้งคันและแดงเป็แน่ เ้าทำใจได้หรือ”
เขาพูดพลางถอนหายใจไม่หยุด น้ำเสียงเจือแววตัดพ้อ เหมือนสตรีที่กำลังจะถูกสามีทอดทิ้งทั้งที่เป็บุรุษชัดๆ ิเป่าจูตัวสั่นอย่างนึกแสยงขึ้นมาระลอกหนึ่ง
ทว่าหลักการจะสั่นคลอนไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะเมื่อมีการล้ำเส้นเกิดขึ้น ด้วยอุปนิสัยได้คืบจะเอาศอกของเขา ยังไม่แน่ว่าจะเรียกร้องอะไรอีกบ้าง
ิเป่าจูใช้สายตาบอกเขาว่าอย่าคิดเพ้อฝันไปหน่อยเลย แต่หลี่ไหวฺอวี้ก็จดจ้องนางเขม็งไม่วางตาเช่นเดียวกัน
ขณะที่ทั้งสองกำลังสู้กันด้วยสายตาอยู่อย่างลับๆ ก็ได้ยินเสียงิเป่าอวี้ร้องขึ้นมาด้วยความใ
“เถ้าแก่ ท่านเป็อะไรไป พี่หญิง!”
เถ้าแก่ร้านหลับตาปี๋ สีหน้าเผยแววเ็ปทรมาน เขาพยายามคว้าแขนของิเป่าอวี้ แต่ก็เลื่อนไหล สุดท้ายก็ล้มลงไปในที่สุด
เสียงของิเป่าอวี้ดังพอสมควร คนบนถนนไม่น้อยต่างได้ยินกันหมด จึงกรูกันเข้ามาล้อมหน้าร้านผ้าซ่างจิ่นอย่างแ่า แม้แต่น้ำยังไหลออกไปไม่ได้
“ไอ้หยา เกิดเื่แล้ว รีบไปตามท่านหมอเร็วเข้า”
มีคนร้องอุทานขึ้นมา หลังจากนั้นก็เห็นคนวิ่งออกไป คาดว่าน่าจะไปโรงหมอ
“รีบให้เขานอนราบกับพื้น” ิเป่าจูกล่าวอย่างรวดเร็ว
น้ำเสียงเป็การออกคำสั่ง ิเป่าอวี้ใอย่างเห็นได้ชัด ทำอะไรไม่ถูก ยังคงเป็หลี่ไหวฺอวี้ที่ช่วยประคองเถ้าแก่ให้นอนลงกับพื้น
สีหน้าขาวซีดไร้สีเื ชีพจรอ่อนลงไปเรื่อยๆ จังหวะการเต้นของหัวใจ... ไม่มีจังหวะการเต้นของหัวใจ!
นี่เป็ภาวะใจสั่น หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
ิเป่าจูไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น กำหมัดแล้วทุบลงไปบริเวณหน้าอกหลายครั้งติดกัน แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
“แม่หนูอย่าทำอะไรส่งเดช หากเกิดเื่ขึ้นมา เ้าจะรับผิดชอบไม่ไหวนะ รอก่อนอีกหน่อย มีคนไปตามท่านหมอแล้ว อีกสักครู่ก็มาถึง” ลูกค้าท่านหนึ่งที่เข้ามาดูผ้าในร้านพร้อมกับพวกเขาเอ่ยปากเกลี้ยกล่อม
แม้อีกฝ่ายจะหวังดี แต่ิเป่าจูก็ไม่สนใจ สถานการณ์เร่งด่วนมิอาจล่าช้า กว่าจะรอท่านหมอมาถึง เกรงว่าคนอาจสิ้นลมหายใจไปนานแล้ว
สองมือเปลี่ยนจากกำหมัดมาเป็วางประสานทับกันบนหน้าอกของเถ้าแก่แล้วกดลงไป
“รอไม่ได้แล้ว” ิเป่าจูพูดไปก็เคลื่อนไหวไปด้วย
การกระทำเช่นนี้ สร้างความสับสนให้กับคนที่เห็น
พวกเขาคิดว่าิเป่าจูกล่าวเช่นนั้นเพราะรู้วิชาแพทย์ สามารถช่วยชีวิตคนได้
ทว่าแต่ไรมาพวกเขาไม่เคยเห็นวิธีการรักษาแปลกใหม่ที่เหมือนการทุบตีคนเช่นนี้มาก่อน แต่ด้วยท่าทีจริงจังของิเป่าจู พวกเขาจึงไม่กล้ารบกวน
ิเป่าจูคอยนับอยู่เงียบๆ ในใจ
สี่นาทีคือ่เวลาทองคำของการช่วยชีวิตผู้มีภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน หากไม่มีการตอบสนองใน่เวลานี้ โอกาสเสียชีวิตก็จะยิ่งสูงขึ้น
หากปราศจากอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่ทันสมัย ก็ต้องใช้มาตรการขั้นพื้นฐานและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการช่วยเหลือ
เคราะห์ดีที่ิเป่าจูมีความเพียรพยายามอย่างต่อเนื่องไม่ขาด่ ในที่สุดเถ้าแก่ก็ฟื้นคืนสติ ซึ่งถือเป็โชคดีอย่างใหญ่หลวง
ทุกคนเห็นเถ้าแก่ที่สลบไสลไม่ได้สติจู่ๆ ก็ไอแค่กออกมา หลังจากนั้นก็สูดหายใจลึก เปลือกตาขยับเล็กน้อยแล้วลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ มองไปรอบด้านด้วยสายตางุนงง แต่แล้วก็หลับไปอีกครั้ง
“พี่หญิง เขาสลบไปอีกแล้ว” หัวใจของิเป่าอวี้ลอยคว้างขึ้นมาถึงลำคอ ละล้าละลังอย่างยิ่ง หัวใจแทบจะหยุดเต้นตามไปด้วย
“เขาไม่เป็ไรแล้ว แค่้าเวลาในการพักฟื้น” ิเป่าจูถอนหายใจอย่างโล่งอก
ถึงแม้จะหมดสติไปอีกครั้ง แต่ก็เพราะหัวใจหยุดเต้นนานเกินไป ร่างกายยังไม่ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด จึงไร้กำลังวังชาเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วไม่มีอะไรร้ายแรง
เวลานี้ มีคนพาท่านหมอเข้ามา แต่เมื่อเห็นคนไม่เป็ไรแล้ว ก็คิดจะกลับโรงหมอ แต่ถูกิเป่าจูรั้งไว้ แจ้งชื่อสมุนไพรให้เขาจำนวนหนึ่ง ให้เขาช่วยจัดยารักษาให้
“แม่หนูน้อย เ้ารู้วิชาแพทย์ด้วยรึ” ท่านหมอถามด้วยความประหลาดใจ
เชิงอรรถ
[1] มะเขือต้องน้ำค้างแข็ง เป็การเปรียบเปรย หมายถึงห่อเหี่ยว ไร้ชีวิตชีวา หรือย่ำแย่ลง ใน่ปลายฤดูใบไม้ร่วงของจีน ตอนกลางคืนอุณหภูมิจะลดลงทำให้เกิดน้ำค้างแข็งใน่เช้ามืด มะเขือที่ยังไม่ได้เก็บจึงถูกน้ำค้างแข็งเกาะ ทำให้ผิวน่วมและเหี่ยวเฉา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้