การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ทุกคนใ
หากไม่มีคนกลายร่างไปก่อนหน้านั้น แล้วพวกเขาทั้งหมดได้กลายร่างในเวลาเดียวกันโดยไม่ได้เตรียมตัวรับมือ พวกเขาคงไม่รู้ว่ามีคนถูกปลูกเมล็ดพันธุ์ไปกี่คน
หลายคนเริ่มระแวงและหวาดกลัว
“มีทางแก้ไขให้คนที่กลายร่างกลับมาเป็มนุษย์อีกครั้งได้หรือไม่” หลัวเลี่ยรู้สึกหนักใจเล็กน้อย เพราะพวกเขามีนักเวทเพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้น และในจำนวนนี้กลายร่างไปแล้วเจ็ดคน ซึ่งหากพวกเขากลายร่างมากกว่านี้ หลัวเลี่ยคงลำบากใจที่จะสังหารพวกเขา เพราะอย่างไรก็ตามพวกเขาก็เคยเป็มนุษย์ที่บริสุทธิ์มาก่อน
แต่คำตอบของผีเสื้อแห่งรักนั้นโหดร้ายมาก “ทำได้แค่ฆ่า!”
หลัวเลี่ยถอนหายใจ จากนั้นเขาก็สะบัดมือหนึ่งครั้ง “ฆ่า”
จั่วซุนและผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลังคนอื่นๆ รีบลงมือฆ่าทันที
นักเวทที่กลายร่างเจ็ดคนนั้นถูกคนจำนวนกว่าหนึ่งร้อยคนปิดล้อม จากนั้นพวกเขาก็ถูกกำจัดให้สิ้นซากภายในพริบตา
เมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว นักเวทที่เหลือจึงเริ่มร่ายคาถาชำระล้างจิตใจให้กับคนอื่นต่อ
ผู้คนค่อยๆ เริ่มกลายร่างไปทีละคน
เมื่อใดก็ตามที่มีคนกลายร่าง พวกเขาก็จะถูกสังหารโดยคนที่อยู่ใกล้เคียง
นักรบปีศาจที่มาจากการกลายร่างของมนุษย์มีความแตกต่างจากนักรบปีศาจที่มาจากบุปผางามอาบพิษ คือเมื่อพวกเขาตาย พวกเขาจะไม่มีไอพลังออกมาจากร่างกาย
พวกเขาใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามในการกำจัดคนที่กลายร่างซึ่งมีมากถึงหนึ่งพันคน หลัวเลี่ยขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามีคนกลายร่างจำนวนไม่น้อย
เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามีคนที่เข้ามาในประตูแห่งโลกเื้ัเท่าไร ดังนั้นเกรงว่าแม้ในอนาคตพวกเขาจะสามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้ แต่ด้วยจำนวนผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตไปในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็การสูญเสียครั้งใหญ่
เมื่อเห็นว่าชีวิตมนุษย์ช่างสูญสิ้นไปอย่างง่ายดาย หลัวเลี่ยก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความหมายของสำนวนที่ว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
“ไปกันเถอะ”
ผีเสื้อแห่งรักกอดแขนของหลัวเลี่ย และเอ่ยด้วยเสียงต่ำ
นางเองก็ไม่สบายใจกับเื่นี้เช่นกัน
หากเป็ขุนพลปีศาจธรรมดานางย่อมไม่เกรงกลัว แต่หากเป็ขุนพลอสูรนั้นนางย่อมรู้สึกหวั่นเกรง
เพราะมีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่รู้เื่อีกมากมายเกี่ยวกับขุนพลอสูร
แต่นางจะพูดออกไปทั้งหมดไม่ได้ เพราะกลัวว่าจะเป็การทำลายขวัญและกำลังใจของทุกคน
พวกเขาเร่งความเร็วในการเดินทางขึ้น
ระหว่างทางมีผู้คนจำนวนมากกว่าสามหมื่นคนมาเข้าร่วมกลุ่มด้วย และก่อนที่ทุกคนจะเข้าร่วมกลุ่มก็จะถูกร่ายเวทชำระล้างจิตใจก่อน แน่นอนว่าต้องมีคนกลายร่างอีก ซึ่งพวกเขาก็พบว่าคนกลายร่างนั้นมีจำนวนสี่ถึงห้าพันคน
แต่ระหว่างทางพวกเขากลับไม่พบบุปผางามอาบพิษเลย
ผีเสื้อแห่งรักบอกว่าบุปผางามอาบพิษมีจำนวนจำกัด แต่หากมันยังคงมีจำนวนมากและยังมีคนตายไปเรื่อยๆ เช่นนี้อยู่ คงจะทำให้ขุนพลอสูรปรากฏกายเร็วขึ้นแน่
สองวันต่อมา พวกเขามาถึงทุ่งเพลิงกัลป์
ตอนนี้กลุ่มของพวกเขามีจำนวนมากถึงเจ็ดหมื่นคน และเมื่อมารวมกับกลุ่มคนที่เดินทางมาถึงทุ่งเพลิงกัลป์ก่อนแล้ว จะมีคนทั้งสิ้นสองแสนคน
และก่อนที่จะเข้าร่วมกันเป็กลุ่มใหญ่ พวกเขาก็ได้ให้นักเวทร่ายคาถาชำระล้างจิตใจอีกครั้ง
ผลลัพธ์เป็ไปตามที่คาดเดาเอาไว้
ครั้งนี้มีผู้คนนับหมื่นกลายร่างและถูกกำจัดทิ้งในทันที
สุดท้ายแล้วหลัวเลี่ยที่มาจากโลกอื่นก็เริ่มรู้สึกอึดอัด แม้ว่าโลกที่เขาจากมาจะมีด้านมืดมากมาย แต่การสังหารหมู่ผู้คนเกือบสองหมื่นคนในเวลาไม่กี่วันนี้ก็ทำให้เขาอึดอัดมาก
ซึ่งตรงข้ามกับมู่เจี้ยนเฟย จั่วซุน และคนอื่นๆ ที่ไม่ได้สนใจเื่นี้เลย
มีเพียงผีเสื้อแห่งรักเท่านั้นที่ไม่สนใจโลกภายนอก เพราะหัวใจที่หนักอึ้งของนาง นางทำเพียงแค่พิงหลัวเลี่ยและครุ่นคิดบางอย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นผู้คนหลายหมื่นถูกสังหารพร้อมกัน คนส่วนใหญ่ก็ะเืใจ แม้แต่มู่เจี้ยนเฟยที่เป็คนควบคุมการสังหารก็ตกอยู่ในความเงียบ การฆ่าอาจง่าย แต่การเอาชีวิตรอดนั้นยากและไม่ง่ายจริงๆ
การปรากฏตัวของขุนพลอสูรทำให้ทุกคนรู้สึกกดดัน และรู้สึกถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา
ในทุ่งเพลิงกัลป์ซึ่งมีผู้คนมากกว่าสองแสนคนรวมตัวกันอยู่นี้ ล้วนตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครพูดออกมา หรือแม้แต่พูดคุยกันด้วยเสียงเบาๆ ทุกคนได้ยินเพียงเสียงหายใจเท่านั้น
จากนั้นผู้คนจากที่อื่นก็เริ่มมาถึงทุ่งเพลิงกัลป์นี้เรื่อยๆ และความตายจากการกลายร่างก็ยังคงดำเนินต่อไป
เมื่อถึงวันนัดหมายจำนวนคนก็เพิ่มขึ้นเป็เจ็ดแสนคน
พวกเขาร่ายคาถาเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง และเมื่อพบคนที่กลายร่างก็สังหารทันที
ในที่สุดหลัวเลี่ยก็ได้พบกับอัจฉริยะทั้งสองคนที่เป็ผู้เรียกรวมพล ณ ทุ่งเพลิงกัลป์แห่งนี้
คนแรกคือเติ้งจื่อเฉิน เขาเป็ศิษย์ที่มีอายุน้อยที่สุดของราชครูเหวินจงแห่งอาณาจักรชาง และยังถือว่าเป็อัจฉริยะรุ่นเยาว์คนหนึ่งของดินแดนเหยียนหวง ตอนนี้เขาอายุสิบหกปี มีพลังอยู่ที่ระดับสิบของระดับผู้ฝึกตน นอกจากนี้เคล็ดวิชาที่เขาใช้ฝึกฝนยังเป็เคล็ดวิชาที่มีชื่อเสียงเป็สิบลำดับแรกรองจากเคล็ดวิชาั์อีกด้วย พลังของเขานั้นถือได้ว่าไม่ธรรมดาเลย
อีกคนหนึ่งคือซูฟั่งจู๋ เขาเป็ศิษย์ที่มีอายุน้อยที่สุดของแม่ทัพเจียงจื่อหยาแห่งอาณาจักรโจว ซึ่งเมื่อเทียบกับสถานะของเติ้งจื่อเฉินแล้ว ซูฟั่งจู๋นั้นนับเป็ศิษย์สายตรงของเจียงจื่อหยาที่มีความสามารถมากที่สุดในรอบพันปีที่ผ่านมา เพราะตอนที่เขาเกิดมานั้นเขาแข็งแกร่งมาก จนมีปรมาจารย์หลายคน้ารับเขาเป็ศิษย์ สุดท้ายเขาก็ลาจากพ่อแม่ของตนและเข้ามาเป็ศิษย์ของเจียงจื่อหยา ซึ่งพลังของเขาอยู่ในระดับสิบของระดับผู้ฝึกตนเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็เหวินจงหรือเจียงจื่อหยา พวกเขาล้วนเป็คนแก่ในวัยเจ็ดสิบและแปดสิบปีแล้ว ในบรรดาศิษย์และลูกหลานของพวกเขา ทุกคนล้วนเป็บุคคลที่มีชื่อเสียงและมีพลังที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นการที่เติ้งจื่อเฉินและซูฟั่งจู๋สามารถเป็ศิษย์ของพวกเขาได้ ใครๆ ก็คาดเดาได้ว่าศักยภาพโดยกำเนิดและพลังของทั้งสองต้องน่าทึ่งเป็แน่
หลังจากที่พวกเขาได้ยินเื่ของขุนพลอสูร พวกเขาก็ใเช่นกัน
แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่รู้เื่ของขุนพลอสูรมากนัก แต่พวกเขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับเื่นี้มาบ้าง แม้ว่าจะไม่ได้รู้ลึกเท่าผีเสื้อแห่งรัก แต่พวกเขาก็รู้ว่าควรใช้คาถาชำระล้างจิตใจเพื่อค้นหาคนที่จะกลายร่างในอนาคต
เมื่อการตรวจสอบทั้งหมดเสร็จสิ้นลงแล้ว จำนวนมนุษย์ก็ลดลงเหลือเพียงหกแสนคน
มีคนที่ถูกกำจัดไปถึงหนึ่งแสนคน
ด้วยจำนวนคนที่ลดลงมากเช่นนี้ ยิ่งกระตุ้นให้หลัวเลี่ยมุ่งมั่นที่จะกำจัดขุนพลอสูรมากขึ้น
นี่ถือเป็ครั้งแรกที่หลัวเลี่ยมีเจตนาที่จะสังหารใครสักคนอย่างแน่วแน่
ในทางกลับกัน เติ้งจื่อเฉิน ซูฟั่งจู๋ และมู่เจี้ยนเฟยกลับมองไปที่หลัวเลี่ยด้วยความประหลาดใจ พวกเขาไม่ได้สนใจจำนวนคนที่ลดลงไปนี้มากนัก อย่างมากพวกเขาก็แค่แสดงความเสียใจออกมาชั่วครู่
ทั้งสี่คนรวมตัวกัน ส่วนผีเสื้อแห่งรักกลับปลีกตัวออกมาอยู่อย่างเงียบๆ และไม่ได้เข้าร่วมด้วย
“พวกเ้าทั้งสามคนมีวิธีจะแก้ไขสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้านี้หรือไม่” หลัวเลี่ยรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย และไม่อยากพูดอ้อมค้อมไปมากกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงตรงเข้าประเด็นโดยทันที
เมื่อเห็นว่าเติ้งจื่อเฉินและมู่เจี้ยนเฟยไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรออกมา ซูฟั่งจู๋ก็พึมพำว่า “ไม่ว่าจะเป็ขุนพลอสูรหรือขุนพลปีศาจ แม่นางผีเสื้อแห่งรักก็บอกแล้วว่าทางออกคือต้องกำจัดบุปผางามอาบพิษทั้งหมด ตอนนี้ทางพวกข้าได้กำจัดบุปผางามอาบพิษไปแล้วทั้งสิ้นสิบห้าดอก พวกข้าเดินทางไปเสาะหาเกือบทั่วทั้งโลกเื้ันี้แล้ว แต่สถานการณ์นี้ก็ยังไม่คลี่คลายลงแม้แต่น้อย ซึ่งหมายความว่ายังมีบุปผางามอาบพิษหลงเหลืออยู่ และบุปผางามอาบพิษที่เหลืออยู่นี้ต้องไม่ธรรมดาเป็แน่”
เมื่อเติ้งจื่อเฉินได้ยินประโยคนั้นก็พูดสำทับขึ้นว่า “พี่ซูพูดแบบนี้ก็เหมือนไม่ได้พูดอะไรที่แตกต่างออกมาเลย”
“แน่นอนว่ามีความแตกต่าง” เสียงของซูฟั่งจู๋ดังขึ้นมาก “ตอนที่ข้าได้รับข่าวว่าประตูแห่งโลกเื้ัถูกเปิดออก และเมื่อข้าเข้าสู่ภพจิตั ท่านอาจารย์ก็ได้ส่งกระดาษที่ภายในเขียนตัวเลขจำนวนหนึ่งมาให้ข้า ตอนนั้นข้าไม่ได้สนใจมันมากนัก และไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะหมายถึงจำนวนของบุปผางามอาบพิษ”
ในตอนนั้นเอง หลายคนก็แสดงความใออกมา
หลัวเลี่ยถามขึ้นทันทีว่า “มีจำนวนเท่าไร?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้