ก้าวย่างหยาบโลนและรอยยิ้มต่ำช้าของบุรุษเบื้องหน้า ฉุดดึงให้ ฉินเซียนหรู หวนคิดถึงาแเก่าที่ฝังลึกในอดีต
“ฉินเซียนหรู… เ้าช่างอ่อนหัดนัก”นางตำหนิตัวเองในใจ ความใจอ่อนและความอ่อนโยนที่เคยยึดมั่น นั่นเองที่ทำให้นางเคยถูกพี่สาวต่างมารดาหักหลัง ลอบวางยาพิษ หวังเหยียบย่ำเกียรติด้วยการผลักนางไปอยู่ในเงื้อมมือบ่าวรับใช้ต่ำต้อยแววตาของเซียนหรูสั่นวาบ “เพื่อความสงบสุข… ข้าคงเสแสร้งเป็เด็กสาวไร้เดียงสามานานเกินไปแล้ว”
ทันใดนั้น แววตาที่เคยอบอุ่นพลันดับวูบ ถูกแทนที่ด้วยความเ็าสิ้นเชิง บรรยากาศรอบกายคล้ายถูกคลุมด้วยหมอกหนาวเหน็บจนเส้นเืผู้เคราะห์ร้ายแข็งค้าง ชายเบื้องหน้าซึ่งกำลังย่างก้าวเข้ามาด้วยท่าทางลามกหยุดชะงักลงราวถูกตรึง สองเท้าหนักอึ้ง หัวใจเต้นระรัวไม่เป็จังหวะ ความเย็นะเืซึมลึกเข้ากระดูกจนร่างกายสั่นสะท้าน
“นี่มัน… เกิดอันใดกันแน่?” เขาตะลึงพรึงเพริด
เมื่อสายตาสกปรกสบเข้ากับดวงตาของเซียนหรู เขากลับเห็นเพียงความว่างเปล่าลึกไร้ก้นบึ้ง ดุจเหวลึกมืดมิดที่พร้อมกลืนกินทุกสรรพสิ่งไร้ซึ่งเมตตา ไร้ซึ่งอ่อนโยนที่ใคร ๆ เคยรู้จัก
ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านไปกว่านี้ เพียงพริบตาเดียว ร่างของเซียนหรูปรากฏขึ้นเบื้องหน้าแล้ว เข็มเงินที่ครั้งหนึ่งเคยใช้รักษาผู้คน เวลานี้กลับกลายเป็อาวุธสังหาร แทงทะลุร่างเขานับครั้งไม่ถ้วน เส้นเอ็นแขนและขาถูกตัดสะกัดจนไม่อาจขยับได้อีก
มือเรียวของนางกุมลำคอหนาทึบของเขาไว้มั่นราวกับเพียงสัตว์เล็ก ๆ ที่อยู่ในกำมือ ทั้งที่ร่างกายชายผู้นี้สูงใหญ่กว่าหลายเท่า กลับไม่อาจดิ้นหลุดจากแรงบีบของนางได้เลย มือสังหารพยายามะเิลมปราณต่อต้าน ทว่าไร้ผลสิ้น แววตาหยาบช้าที่เต็มไปด้วยกระหายต่ำช้าก่อนหน้า กลับแปรเปลี่ยนเป็หวาดกลัวอย่างรวดเร็ว
“แม่นาง… โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว!” เสียงเขาสั่นเครือ
สายตาของเซียนหรูยังคงเ็า หากมือกลับบีบแน่นยิ่งกว่าเดิม
“ได้โปรด! หากปล่อยชีวิต ข้าจะบอกว่าผู้ใดส่งข้ามาเป็ท่านหมอซ่งเจิ้งหยุน! เขาริษยาในตัวท่าน เขาสั่งให้ข้ากำจัดท่านให้พ้นทาง!”
คำสารภาพพรั่งพรู ทว่าทุกถ้อยคำก็ไร้ความหมายสำหรับนาง ราวเสียงร้องขอจากซากเน่าไร้ค่า สิ้นคำ เสียง “กร๊อบ!” ของกระดูกดังลั่นสะท้อนกลางรัตติกาล สัญญาณแห่งชีวิตพลันดับสิ้น ร่างสูงใหญ่ทรุดฮวบลงอย่างไร้เรี่ยวแรงเหลือเพียงเงียบงัน และแววตาเย็นเยียบของ ฉินเซียนหรู ที่ไม่ไหวเอนแม้แต่น้อย
ร่างสูงที่สิ้นลมหายใจ ถูกนางโยนทิ้งลงกับพื้นอย่างไร้ค่าประหนึ่งเศษขยะที่ไม่ต่างอะไรจากซากสัตว์เน่า ั์ตาของนางไร้แววสะท้อน ไม่แม้แต่จะเหลือบแลชายผู้นั้นเป็ครั้งสุดท้าย
เพียงชั่วอึดใจ นางหยิบขวดหยกเล็กออกมา หยดของเหลวใสลงบนร่างไร้ิญญา กลิ่นคาวคลุ้งผสานกับไอเย็นอันประหลาด ลำเนื้อและกระดูกถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว ร่างกายค่อย ๆ สูญสลายหายไปต่อหน้าต่อตา จนเหลือเพียงผงธุลีปลิวไปกับสายลมรัตติกาลราวกับชายผู้นั้นไม่เคยมีตัวตนบนโลกนี้มาก่อน
บรรยากาศโดยรอบเงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของนาง… หากแต่จังหวะนั้นกลับสงบเสงี่ยมและสม่ำเสมอ ไร้ความสั่นไหวใด ๆ ราวกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็เพียงเื่เล็กน้อยไม่ต่างจากการถอนหญ้าข้างทาง ริมฝีปากนางขยับแ่เบา เสียงเย็นเรียบไร้อารมณ์ลอดออกมา“อะไรกันนี่… ข้าเผลอฆ่าคนไปแล้วจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
เป็คำพูดที่เหมือนถามผู้อื่น แต่แท้จริงแล้วถามเพื่อตนเอง ทว่าแม้จะเป็การฆ่าคนครั้งแรก ั์ตาของนางกลับไม่สั่นคลอน ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ในชาติก่อน นางคือหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ เป็บุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ เติบโตท่ามกลางเกียรติยศและความคาดหวัง ผู้คนกล่าวขวัญถึงพร์และความงดงามของนางทว่านั่นก็มากพอที่จะทำให้นางไม่เคยจำเป็ต้องเปื้อนเื ไม่เคยก้าวเข้าสู่สมรภูมิแห่งความเป็ความตายด้วยมือตนเอง
แต่บัดนี้… สิ่งที่ถูกห้าม สิ่งที่ไม่เคยัั ได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงโดยมือของนางเองลมค่ำพัดพลิ้ว เส้นผมยาวปลิวสะบัดรอบใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากาก ดวงตาของ ฉินเซียนหรู ยังคงว่างเปล่าทว่าในห้วงลึกนั้น… แสงเย็นวาบที่เพิ่งก่อกำเนิด บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีวันหวนกลับอีกต่อไป
มื้อค่ำภายในจวนตระกูลฉิน สมควรเป็่เวลาแห่งความพร้อมหน้า เสียงช้อนตะเกียบกระทบจานชามคลอเคล้าเสียงหัวเราะเจือการสนทนาอันคึกคัก บุตรหลานมากหน้าหลายตานั่งเรียงรายเต็มโต๊ะยาวที่โอ่อ่า แต่ถึงกระนั้น… กลับยังคงว่างเปล่าไปหนึ่งตำแหน่ง
ตำแหน่งนั้นอยู่ ณ ปลายสุดของโต๊ะที่ซึ่งแต่เดิมควรเป็ที่นั่งของ ฉินเซียนหรู ทว่าในยามนี้กลับเว้นว่างเงียบงัน ไม่มีเงาของนางปรากฏให้เห็นสายตาคมกร้าวของ แม่ทัพฉินเทียนหง กวาดผ่านเหล่าบุตรธิดาทีละคน ก่อนจะเผลอหยุดลง ณ ที่ว่างตรงนั้นโดยไม่รู้ตัว ความคิดพลันผุดขึ้นภายในใจ“นางเด็กนั่น… นางไปที่ใดกัน?”
เขาเองก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า แม้ตลอดแปดปีมานี้ เขามักทำราวกับ ฉินเซียนหรู ไม่เคยมีตัวตน เ็า ดั่งนางคือเพียงอากาศที่ไร้ค่า ทว่าลึกลงไปในใจ ทุกครั้งที่เหลียวมองตำแหน่งนั้น ความทรงจำเก่า ๆ ก็มักย้อนหวนมาเสียดแทง
ครั้งหนึ่ง เด็กหญิงคนนั้นเคยเป็ดวงใจของเขา เป็บุตรสาวที่ทำให้เขาภูมิใจที่สุด เขาเคยยกนางไว้เหนือบุตรทั้งหลาย เฝ้าทะนุถนอมประหนึ่งอัญมณีล้ำค่า ยามที่รอยยิ้มของนางปรากฏ ก็ทำให้แม่ทัพผู้ผ่านศึกานับครั้งไม่ถ้วนรู้สึกอบอุ่นได้อย่างประหลาด
ทว่า… วันที่ผลการตรวจวัดพร์ของนางเปิดเผยออกมา ความคาดหวังทั้งหมดพลันสลายกลายเป็เพียงเถ้าธุลี เขาเองที่เป็ผู้หันหลังให้กับนาง ตัดสายใยความรักในชั่วขณะ แปรเปลี่ยนเป็ความเ็าและผิดหวังที่ไม่เคยคิดย้อนคืน
เวลานี้ เมื่อสายตาของเขาเหลือบมองเก้าอี้ว่างเปล่านั้น ห้วงใจกลับสะท้อนความรู้สึกว่างเวิ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกประหนึ่งว่า การไม่มีนางอยู่ ณ ที่ตรงนั้น กลับทำให้มื้ออาหารอันครึกครื้นขาดอะไรไปบางอย่างที่ยากจะเอื้อนเอ่ย
บรรยากาศในห้องโถงอาหารที่ครึกครื้นค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็เงียบงัน เมื่อตะเกียบของ แม่ทัพฉินเทียนหง วางลงอย่างแ่เบา เสียงกระทบของมันกับขอบจานกลับดังชัดเจนราวกับปลุกความสงสัยของทุกคน เขาทานอาหารได้เพียงไม่กี่คำก็หยุดลง ใบหน้าคมเข้มที่เคยสงบนิ่งเสมือนภูผา ขณะนี้กลับฉายแววเคร่งขรึม ดวงตาคมวาวหันไปยังสตรีผู้หนึ่ง
“หลิวเยว่เหมย… บุตรสาวของเ้าไปไหน”
คำถามนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงสุขุม หนักแน่นสมเป็แม่ทัพที่ผ่านศึกนับครั้งไม่ถ้วน ทว่า สำหรับผู้ที่อยู่ในห้องนี้ ล้วนรู้ดีว่านี่มิใช่คำถามปกติเลย เพราะตลอดแปดปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยเหลียวแลเอ่ยถามถึงบุตรีน้อยผู้นั้นแม้แต่ครั้งเดียว
หลิวเยว่เหมย ถึงกับชะงัก ั์ตาไหววูบด้วยความประหลาดใจและตื่นตะลึง นางไม่คิดเลยว่าวันนี้แม่ทัพจะเอ่ยถามถึงบุตรสาวของนางที่ถูกทอดทิ้งมานาน น้ำเสียงนั้นที่แฝงความจริงจัง กลับกลายเป็ประกายความหวังเล็ก ๆ ในใจ ริมฝีปากของนางคลี่ยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้ายินดีจนแววตาเจือความปลื้มปีติ นางตอบด้วยถ้อยคำจริงแท้ แต่กลับเจือความสุขยิ่งนัก “ไม่ทราบเ้าค่ะ… เพราะปกติพวกเราสองแม่ลูกไม่ค่อยได้พูดคุยกันนัก”
นางพูดไปตามความจริง ด้วยเหตุที่แม่ทัพไม่เหลียวแลบุตรสาวนาง นางเองก็พลอยเฉยชาตามไปด้วย เด็กคนนั้นแม้เป็เืเนื้อเชื้อไข หากเมื่อขาดความรักและการปกป้อง นางก็หาได้คิดยึดติดเหมือนบุตรคนอื่น ๆ ที่ตนมี
แม่ทัพฉินเทียนหงนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนเปล่งเสียงหนักแน่น ก้องสะท้อนในโถงอาหาร“ต่อไป เ้าจงกำชับนาง เมื่อถึงเวลามื้ออาหาร ทุกคนในตระกูลต้องอยู่พร้อมหน้า นางจะมาทำตัวแปลกแยกจากผู้อื่นเช่นนี้มิได้”
ทุกถ้อยคำของเขาเสมือนดาบกดทับลงกลางบรรยากาศรอบโต๊ะ บุตรหลานที่เหลือมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่มีผู้ใดกล้าสอดคำ เสียงหัวใจของหลิวเยว่เหมยเองก็เต้นแรง นางรู้ดีว่ามันไม่ใช่เพียงการกำชับ แต่เป็สัญญาณบางอย่าง…
