อวิ๋นซียิ้มบางๆ “นางจะเป็คนดีหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับข้า ข้ารู้แค่ว่า ตอนนี้ข้าชอบเ้า จึงยินดีที่จะให้เ้าได้กินของที่ข้าทำขึ้น แต่หากเ้าไม่กินเสียที่นี่ ข้าก็จะให้ญาติผู้พี่ของเ้ากินแทน”
อวิ๋นซีคิดในใจ อย่างไรเสีย บุรุษผู้นั้นจะมากน้อยสักแค่ไหนก็สามารถกินหมด ท้องของเขาราวกับถังขยะก็ไม่ปาน
ถึงกระนั้นนางก็ลืมไปว่า ยามที่นางเข้าครัวด้วยตนเองเท่านั้นที่บุรุษผู้นั้นถึงจะกลายร่างเป็ถังขยะ แต่หากเป็ของที่ผู้อื่นทำ จวินเหยียนก็จะกินแค่พออิ่มเพียงห้าส่วน
เชี่ยนเอ๋อร์ที่กำลังกังวลใจเื่ที่อวิ๋นซีไม่ยอมให้นางยกของกินเหล่านี้ไปให้คนอื่นกิน เพียงได้ยินแค่ครึ่งประโยคหลัง นางก็ไม่รีรอรีบนั่งลง หยิบตะเกียบขึ้นมากินทันที “ข้าไม่นำไปให้คนอื่นกินแล้วเ้าค่ะ พี่สะใภ้รองเองก็จะให้พี่รองกินมากเพียงนั้นไม่ได้นะเ้าคะ จะอย่างไรท่านก็เป็พระชายาของเขา สามารถเข้าครัวทำอาหารให้เขากินบ่อยๆ ได้ แต่ข้านี่สิ อีกไม่กี่วันก็ต้องรีบกลับไปแล้ว ไม่แน่ว่าจะได้กินอีกทีก็อาจเป็ปีหน้ากระมัง”
อวิ๋นซียิ้ม ก่อนจะเรียกเตี๋ยอีให้ยกของกินเหล่านี้ไปที่ห้องให้จวินเหยียนกับหวานหว่าน จากนั้นจึงยกบะหมี่มาถ้วยหนึ่งแล้วลงมือกินไปพร้อมๆ กับคนตรงหน้า ทว่ากินบะหมี่ไปได้คำหนึ่ง นางก็มองไปยังเชี่ยนเอ๋อร์ “เมืองหลวงอยู่ห่างจากเมืองเฟิงไม่ไกล เ้าสามารถมาที่เมืองหลวงบ่อยๆ ได้”
เชี่ยนเอ๋อร์เบ้ปาก “ข้าถูกหมั้นหมายแล้ว ปีหน้าก็จะแต่งงานแล้ว ท่านแม่บอกว่า ก่อนจะแต่งงาน ข้าอยู่ได้แค่ที่เมืองเฟิงเท่านั้น” เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็เสียใจมาก แท้จริงแล้วตัวนางยังไม่อยากแต่งงานเลยสักนิด
เมื่อได้ยินสิ่งที่เชี่ยนเอ๋อร์พูด อวิ๋นซีก็วางตะเกียบลง “เ้าหมั้นหมายแล้วหรือ? เป็คุณชายจากตระกูลใดกัน? ”
“บุตรชายคนโตของตระกูลลู่ในเมืองหลวง พี่หญิงของเขาก็คือพี่สะใภ้ชายารัชทายาทผู้นั้น” เชี่ยนเอ๋อร์เบะปาก ในสายตามีความชอกช้ำอยู่หลายส่วน “แต่ว่า พี่สะใภ้รอง ข้าไม่ชอบคุณชายใหญ่ตระกูลลู่ผู้นั้นเลย ข้าเคยเจอเขาอยู่ครั้งหนึ่ง และรับรู้ได้ว่าคนผู้นี้มืดมนจนน่ากลัว แม้แต่ยามสังหารคนก็ยังไม่กะพริบตาเลยสักนิด ถ้าข้าต้องไปอยู่กับคนเช่นนี้ชั่วชีวิต ข้าก็รู้สึกว่า น่าหวาดกลัวเกินไปแล้วจริงๆ ”
ไม่ว่าในใจนางจะคิดเช่นไร มารดาหาได้สนใจก็ตอบตกลงรับการหมั้นครั้งนี้ไปแล้ว ยิ่งกว่านั้น ั้แ่ที่นางหมั้นหมายให้ชายผู้นั้น ทุกครั้งยามหลับฝันในตอนกลางคืน นางก็มักจะรู้สึกเหงื่อซึมชื้นไปทั้งร่าง คนเช่นนั้นน่ากลัวเกินไปจริงๆ
อวิ๋นซีไม่อยากจะเชื่อ ราวกับเพิ่งได้ยินสิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุด “มารดาเ้าตอบรับการหมั้นหมายครั้งนี้ของเ้าไปแล้วหรือ? ”
หรือว่า แม่นางน้อยผู้น่ารักที่ทำให้คนชอบใจเพียงนี้จะต้องแต่งให้คนตระกูลลู่ ์ก็ช่างเล่นตลกเกินไปแล้ว อย่างไรเสีย คุณชายใหญ่ตระกูลลู่นั่น ตัวนางเองก็คุ้นเคยเสียยิ่งกว่าคุ้น เขาเคยแต่งงานไปแล้วเมื่อสองปีก่อน เพียงแต่ภรรยาที่แต่งเข้ามาได้ไม่ถึงครึ่งปีก็มาตายจากไปเสียก่อน ถึงกระนั้นองค์หญิงสามกลับจะให้พระธิดาเพียงพระองค์เดียวของตนแต่งไปเป็จี้ซื่อ [1] ให้ผู้อื่น ด้วยเื่นี้ ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ล้วนไม่ชอบมาพากล
เชี่ยนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเป็ทุกข์ “เป็ท่านแม่ข้าและฮูหยินลู่ที่ตกลงกัน กว่าข้าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว ยิ่งกว่านั้น เสด็จลุงฮ่องเต้เองก็เคยว่าท่านแม่ข้าว่า จวิ้นจู่เยี่ยงข้านี้จะหาจวิ้นหม่าอย่างไรบ้างจะหาไม่ได้ เหตุใดจึงต้องไปเป็จี้ซื่อให้ผู้อื่นด้วย ทว่า ท่านแม่ข้ายังคงยืนกรานจะให้การแต่งงานนี้เกิดขึ้นให้ได้ แม้เสด็จลุงฮ่องเต้จะช่วยโน้มน้าวให้ก็ยังไม่มีประโยชน์อันใด พี่สะใภ้รอง ข้าไม่อยากแต่งให้คุณชายใหญ่ตระกูลลู่จริงๆ ”
พูดไปพูดมา เชี่ยนเอ๋อร์ก็เหมือนจะร้องไห้แล้ว
อวิ๋นซีมองท่าทางนางเช่นนี้ ในใจก็ถอนใจเบาๆ ดีที่ตัวเชี่ยนเอ๋อร์เองไม่ชอบ เมื่อเป็เช่นนี้ เื่ราวก็ยังพอมีทางออก ส่วนองค์หญิงสามท่านนั้นค่อยว่ากันทีหลัง อย่างไรเสียก็ยังมีเวลาอีกหนึ่งปี นางย่อมต้องหาทางแก้ได้
“เื่นี้ยังเร็วไปนัก เ้าน่ะ ทำใจให้สบาย กินให้อิ่ม นอนให้หลับ อย่างไรเสีย ทหารมาเอาแม่ทัพขวาง น้ำมาเอาดินขวาง ไม่แน่ว่าวันหน้าเื่ราวอาจมีจุดพลิกผันก็เป็ได้” อวิ๋นซีคีบเนื้อให้นางชิ้นหนึ่ง ยิ้มแย้มกล่าวขึ้น
หนึ่งปีให้หลัง ไม่แน่ว่าตระกูลลู่ก็อาจไม่มีหลงเหลืออยู่แล้วก็เป็ได้ เมื่อถึงตอนนั้น งานแต่งงานนี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นแล้ว
เชี่ยนเอ๋อร์กินมื้อดึกเสียจนหนังท้องกลมป่องแล้วถึงได้จากไป อวิ๋นซีมองเงาหลังของเชี่ยนเอ๋อร์ มุมปากโค้งขึ้น ขณะเดียวกันนั้นจวินเหยียนก็เข้ามาเห็นท่าทางเช่นนี้ของภรรยาพอดี เขาถาม “เ้าชอบเด็กน้อยคนนั้นมากหรือ? ”
“นางเป็เด็กที่ไร้เดียงสาและจิตใจดี ใครบ้างจะไม่ชอบ” เห็นพวกเสแสร้งมาก็มาก จู่ๆ ได้เจอแม่นางน้อยอย่างเชี่ยนเอ๋อร์ผู้นี้ที่แค่มองก็ให้สดชื่น นางก็รู้สึกชมชอบจากใจจริง
ชายหนุ่มจูงมือภรรยาเดินออกไปด้านนอก “เื่ในห้องครัวให้สาวใช้มาเก็บกวาดก็พอ ตอนนี้สามีกินอิ่มเกินไปแล้ว พวกเราออกไปเดินเล่นย่อยอาหารกันสักหน่อยเถิด” จริงๆ แล้วตัวเขากำลังกินน้ำส้มสายชูอยู่เล็กน้อย เื่ที่แม่นางน้อยคนหนึ่งที่เพิ่งได้เจอกันเป็ครั้งแรกมากินอาหารที่ภรรยาเขาทำก็ช่างเถอะ แต่คนยังจะมายึดเวลาของภรรยาเขาไปอีกนี่สิ
อวิ๋นซีเห็นสามีมีท่าทางเช่นนี้ก็อดหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้ “ที่จริงแล้วการไปเดินเล่นย่อยอาหารนี้คงเป็แค่ข้ออ้างกระมัง”
จวินเหยียนกุมมือนางแน่น ไม่ได้พูดอะไรต่อ จากนั้นคนทั้งสองก็พากันเดินไปยังริมลำธารสายเล็กๆ ที่มีสายน้ำไหลเอื่อย และอาศัยแสงจันทร์ช่วยสาดส่องนำทาง ก่อนที่คนทั้งสองจะหาหินก้อนใหญ่ให้ได้พักพิงกาย พวกเขานั่งลง และเป็จวินเหยียนที่โอบนางไว้ในอ้อมแขน พูดเสียงเบา “เสด็จอาหญิงสามเป็พระธิดาแท้ๆ ของตี๋ฮองเฮา [2] ได้ความรักใคร่นับพันนับหมื่นอยู่เพียงผู้เดียวมาแต่เล็กแต่น้อย และมักจะแต่งกายเป็ชายออกไปเที่ยวเล่นนอกวังอยู่บ่อยๆ ตอนหลังได้รู้จักกับลู่เหวินจง ทั้งยังผูกใจถึงขนาดคิดว่าต่อไปจะแต่งให้เขา เดิมทีนางตั้งใจว่า เมื่อปักปิ่นแล้วก็จะขอให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนช่วยพระราชทานสมรสให้ มิคาดจะเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นเสียก่อน พระมารดาของนางประชวรหนักและสิ้นพระชนม์ไป นางจึงต้องไว้ทุกข์อยู่สามปี และในปีที่สองนั้น ลู่เหวินจงก็ได้หมั้นหมายกับบุตรสาวสายตรงของจวนเฉินโหว หรือก็คือฮูหยินลู่คนปัจจุบัน”
อวิ๋นซีอึ้งไป ที่แท้ยังมีเื่ราวมากมายเช่นนี้อยู่ด้วย ตอนนั้นตระกูลลู่คงยังเป็แค่ตระกูลธรรมดาๆ ตระกูลหนึ่งในเมืองหลวงกระมัง ต่อให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะรักใคร่พระธิดาของตนมากเพียงใดก็ไม่มีทางยินยอมให้คนไปแต่งเข้าตระกูลเช่นนั้นแน่
“หรือนางจะคิดว่า ตนไม่อาจแต่งให้ลู่เหวินจงได้ ก็ตั้งใจจะให้ลูกสาวของตนแต่งให้ลูกชายของลู่เหวินจงแทน แม้คนจะต้องแต่งไปแล้วถูกเรียกว่าเป็จี้ซื่อ? ” หากเป็ดังที่นางคิดไว้จริงๆ องค์หญิงสามผู้นี้ก็เห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว คนผลักไสบุตรสาวไปสู่กึ่งกลางของน้ำลึกไฟร้อนเพียงเพื่อความปรารถนาส่วนตัวของตน
จวินเหยียนอืมไปเสียงหนึ่ง “เสด็จอาหญิงสามคิดเช่นนั้นจริงๆ อย่างน้อยๆ นางก็มีเหตุผลให้ไปพบเจอกับลู่เหวินจงได้อย่างเปิดเผย ยามที่ไปเยี่ยมบุตรสาวก็จะได้มีโอกาสเข้าไปพักในจวนตระกูลลู่” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ตบมือของภรรยาเบาๆ พูดว่า “วางใจเถอะ หวานหว่านของเราไม่มีทางต้องมาพบกับความอยุติธรรมเช่นนี้แน่”
อวิ๋นซีพยักหน้า “ลูกสาวข้าต้องได้แต่งให้คนที่นางชอบ และชอบนาง คนคนนั้นต้องเป็ชายที่รักนาง และสามารถปกป้องนางได้ เพราะข้าจะไม่ขายบุตรสาวของตนเพื่อเหตุผลบางอย่างเป็เด็ดขาด”
หากเป็เมื่อก่อนคนเยี่ยงนางไม่มีทางเชื่อในความรัก แต่เมื่อมองตนและจวินเหยียนในยามนี้ มองอวี๋อ๋อง มองบิดาอวิ๋น นางก็ยินยอมที่จะเชื่อจริงๆ ว่า บนโลกใบนี้ยังมีความรักที่แท้จริงอยู่ ดังนั้น ในวันหน้าหวานหว่านของนางก็จักต้องได้แต่งงานกับคนที่รัก
ส่วนการกระทำขององค์หญิงสามนั้น ทำให้คนไม่อยากจะเสวนาถึงจริงๆ แต่เช่นนี้แล้วจะอย่างไร ตัวนางก็เป็แค่คนนอกคนหนึ่งที่เคียดแค้นตระกูลลู่เป็อย่างมาก ด้วยเื่นี้ หากถูกองค์หญิงสามรู้เข้าว่านางนี่แหละที่จะเป็คนทำลายตระกูลลู่ให้สิ้น คนจักต้องเห็นนางและจวินเหยียนที่เป็หลานชายแท้ๆ เป็ศัตรูอย่างไม่ลังเลอย่างแน่นอน
“เื่ของเชี่ยนเอ๋อร์ก็พักไว้ก่อนเถิด อย่างไรเสียก็ยังมีเวลา” จวินเหยียนไม่อยากเห็นภรรยาเป็กังวล เพราะคนที่ไม่เกี่ยวข้อง คนที่ไม่สลักสำคัญ จึงเอ่ยปากโน้มน้าว “ตอนนี้เ้าควรจะให้เวลาและความสนใจทั้งหมดของตนแก่สามีและลูกของเ้า"
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] จี้ซื่อ(继室)คำเรียกของภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่หลังจากที่ภรรยาคนแรกตายไป
[2] ตี๋ฮองเฮา(嫡皇后)หมายถึง ภรรยาผูกผมของฮ่องเต้หรือก็คือฮองเฮาพระองค์แรกของฮ่องเต้