มื้อกลางวันไม่มีกับข้าวเหลือ ในบ้านก็ไม่มีผักดอง ในหม้อเหลือเพียงโจ๊กเปล่าสองชาม
เซวียเสี่ยวหรั่นยังใคร่ครวญอยู่ว่าจะทำกับข้าวอย่างอื่นให้เด็กคนนี้ดีหรือไม่ สือโถวถือถ้วยโจ๊กเปล่าน้ำลายสอราวกับพยัคฆ์หิวกระหาย
เขาไม่ใช้ตะเกียบ แต่ยกขึ้นซดทั้งชาม
"สือโถว กินช้าๆ หน่อย ในหม้อยังมีอยู่ ไม่ต้องรีบร้อน" เซวียเสี่ยวหรั่นกลัวว่าเขาจะสำลัก
"ต้าเหนียงจื่อ ท่านไม่ต้องสนใจเขาหรอก แต่ไรมาเขาก็เป็อย่างนี้ล่ะ" อูหลันฮวายกมือโบก
"อ้าว ทำไมล่ะ กินเร็วขนาดนี้ ท้องไส้จะลำบากเอานะ" เซวียเสี่ยวหรั่นหัวคิ้วขมวด การเป็โรคกระเพาะทรมานแค่ไหน เธอย่อมรู้ดีที่สุด มิเช่นนั้นไหนเลยจะเตรียมยาแก้โรคกระเพาะติดกระเป๋าไว้เสมอ
"ทรมานตรงไหน ไม่มีอะไรทรมานไปว่าความหิวโหยอีกแล้ว" อูหลันฮวาไม่คิดเช่นนั้น "เขาอดอยากมาั้แ่เล็ก ไม่ง่ายเลยที่จะได้กินอิ่มสักมื้อ"
เซวียเสี่ยวหรั่นตะลึงพรึงเพริด ดึงอูหลันฮวาเข้าไปในครัวถามเกี่ยวกับเด็กคนนี้
"เขาน่ะ เป็เด็กอาภัพ ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในป่ามาหลายปีแล้ว" อูหลันฮวาทอดถอนใจ ชะตาชีวิตของนางเองก็ไม่ได้ดีเท่าไร แต่ชีวิตของสือโถวกลับน่าเวทนายิ่งกว่า
"เขาไม่มีครอบครัว?" เด็กอายุสิบขวบคนหนึ่งต้องเร่ร่อนอยู่ในป่าเพียงลำพังตลอดเวลาหลายปี? เซวียเสี่ยวหรั่นตะลึงงัน
อูหลันฮวาส่ายหน้า
ลือกันว่าสือโถวเป็เด็กเกิดวันที่สิบสี่เดือนเจ็ด ดวงแข็ง พิฆาตบุพการี ดังนั้นจึงถูกทอดทิ้งั้แ่เด็ก แต่เพราะเป็ผู้ชาย มีมือมีเท้าครบถ้วน หน้าตาไม่เลว เคยมีผู้รับเขาไปอุปถัมภ์หลายครอบครัว แต่พอได้ยินข่าวลือเื่ดวงพิฆาตบุพการี ต่างก็ทอดทิ้งเขาไปหมด
ด้วยเหตุนี้ ชีวิตของเขาจึงตกระกำลำบากจนอายุได้ห้าขวบก็ถูกคนทอดทิ้งอีกครั้ง ขณะที่ใกล้จะอดตาย ก็ถูกผู้เฒ่าที่อยู่ตัวคนเดียวผู้หนึ่งในหมู่บ้านเก็บกลับมา
ผู้เฒ่าเป็คนสกุลอู ไร้บุตรชายหญิง เดิมทีคิดจะเลี้ยงดูสือโถวภายใต้ชื่อของตนเอง แต่คนในตระกูลไม่เห็นด้วย บอกว่าเด็กคนนี้ชะตาเกิดไม่ดี ไม่อาจให้เขามามีผลกระทบต่อโชคชะตาของคนสกุลอู ถึงขั้นไม่อนุญาตให้ผู้เฒ่าอูเลี้ยงเด็กไว้ในบ้าน
ผู้เฒ่าอูจนปัญญา แต่ไม่อาจตัดใจทอดทิ้งเขา จึงหาถ้ำเร้นลับแห่งหนึ่งหลังเขาให้เด็กคนนี้ไปอยู่อาศัย ทุกวันจะส่งอาหารส่วนหนึ่งไปให้ และดูแลเขาจนกระทั่งเติบโต
ดังนั้น สือโถวจึงอาศัยอยู่หลังเขาของขู่หลิ่งถุนจนกระทั่งแปดขวบ
ทว่าปีที่เขาอายุแปดขวบ ผู้เฒ่าอูก็ล้มป่วยเสียชีวิต ยิ่งเป็การตอกย้ำข่าวลือเื่ดวงชะตาของสือโถว คนในหมู่บ้านไม่อนุญาตให้เขาเข้าหมู่บ้านอีก สือโถวอยากไปส่งดวงิญญาของพ่อเฒ่ายังถูกขับไล่ออกมา
หลังจากผู้เฒ่าอูตาย สือโถวก็ยังไม่ไปจากหลังเขาขู่หลิ่งถุน ดิ้นรนใช้ชีวิตในป่าละแวกนี้ตลอดมา
อูหลันฮวาค่อนข้างสนิทกับสือโถว นั่นเป็เพราะว่าหลายปีมานี้ยามนางออกไปล่าสัตว์และปลูกผักในป่าหลังเขา ก็พบกับเขาเป็ประจำ
นางเองก็เป็เด็กกำพร้า ย่อมเห็นอกเห็นใจในสิ่งที่สือโถวประสบพบเจอ
ดังนั้นปรกติหากสามารถช่วยเขาได้เท่าไรก็ช่วยเท่านั้น ไม่ว่าจะล่าสัตว์หรือปลูกผักได้ก็จะแบ่งให้เขาส่วนหนึ่งเสมอ ทั้งยังสอนให้เขาปลูกผักเองอีกด้วย
ซีมู่เซียงก็เช่นเดียวกัน รู้สึกสงสารสือโถวที่ไม่มีบิดามารดา มักลอบเอาของกินจากบ้านมาให้เขาเป็ประจำ
แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่พวกนางสองคนที่ช่วยเหลือ ยังมีคนในหมู่บ้านบางคนลอบเอาอาหารจำพวกธัญพืชหยาบมาให้สือโถวถึงถ้ำ
ขู่หลิ่งถุนยังมีคนดี มีน้ำใจดีงามอีกไม่น้อย เสียแต่ข่าวลือเื่ดวงพิฆาตบุพการีของสือโถว ทำให้ทุกคนไม่กล้าใกล้ชิดเขาเกินไป
หากไม่ได้ความอนุเคราะห์ของคนจิตใจดีเหล่านี้ เด็กอายุไม่ถึงสิบขวบคนหนึ่งจะมีชีวิตอยู่คนเดียวท่ามกลางอากาศชื้นและหนาวเย็นของทางใต้มาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร
"ปีนี้สือโถวอายุกี่ขวบแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะถามออกมาประโยคหนึ่ง
"อืม... น่าจะสิบเอ็ดขวบแล้วกระมัง ผู้เฒ่าอูตายมาสามปีแล้ว" อูหลันฮวาคำนวณ
สิบเอ็ดขวบ? แต่รูปร่างกลับเหมือนเด็กเจ็ดแปดขวบเท่านั้นเอง เซวียเสี่ยวหรั่นถอนหายใจยาว
"เขาเด็กขนาดนี้ จะใช้ชีวิตในป่าหลังเขาเพียงลำพังได้อย่างไร"
เซวียเสี่ยวหรั่นย้อนนึกไปถึงความยากลำบากที่เธอกับเหลียนเซวียนตกระกำลำบากอยู่ในป่า ความเวทนาสงสารที่มีต่อเด็กคนนี้จึงยิ่งเพิ่มเป็ทวี
"หลังเขาของพวกเรายังดี หากไม่เข้าไปในป่าลึกก็จะไม่มีสัตว์ร้าย ผักป่าผลไม้ป่าก็มีมาก เดินไปทางตะวันออกของหลังเขาห้าลี้มีสระน้ำขนาดใหญ่ ที่นั่นมีปลามากมาย ประกอบกับได้ข้าวสารและธัญพืชที่ทุกคนส่งไปให้เป็ระยะ แม้ชีวิตลำเค็ญ แต่ก็ไม่ถึงกับอดตาย"
อูหลันฮวากับสือโถวคุ้นเคยกันดี แต่ไม่ได้รู้สึกะเืใจมากนัก เด็กในครอบครัวยากจนข้นแค้นมีอีกมาก ผู้อื่นก็ไม่ได้มีชะตาชีวิตที่ดีไปกว่ากัน
"ท่านอย่าเห็นว่าสือโถวเป็เพียงเด็ก แท้จริงแล้วเขามีไหวพริบดีเยี่ยม ยังสามารถจับปลาในบ่อไปขายได้อีกด้วย เพียงแต่ถูกผู้อื่นรังแก ให้ราคาต่ำมาก"
อูหลันฮวาเห็นแล้วทนไม่ได้ ช่วยเขาขายอยู่สองสามครั้ง แม้ว่านางพูดไม่ชัด แต่มีกำลังวังชามากโข รูปร่างสูงใหญ่ ผู้อื่นไม่กล้ารังแกนาง
เพียงแต่เวลาของนางมีจำกัด ไม่อาจช่วยเขาได้ทุกครั้ง
ขณะกำลังพูดคุย เด็กคนนั้นก็ชะโงกศีรษะเข้ามาในครัว
ชามในมือถูกเลียจนเกลี้ยง
"ยังมีโจ๊กอยู่ในหม้อ เติมให้เขาอีกชามเถอะ" เห็นอูหลันฮวารับถ้วยมาจากเขา เซวียเสี่ยวหรั่นก็พูดอย่างอดไม่ได้
"เ้าค่ะ" อูหลันฮวาตอบรับ ก่อนตักโจ๊กที่เหลือในหม้อใส่ชามให้เขา
"สือโถว เอาไปสิ ค่อยๆ กินนะ ที่นี่ไม่มีใครแย่งเ้าหรอก"
เมื่อก่อนตอนผู้เฒ่าอูยังมีชีวิตอยู่ สือโถวก็หลบสายตาผู้คนแอบไปหาเขาอยู่บ่อยๆ มีคนเห็นเขาน่าสงสาร จึงให้ของกิน แต่ก็มักมีเด็กนิสัยไม่ดีมาแย่งชิงไป
เพราะแบบนี้ ทันทีที่ได้ของกินสือโถวก็รีบยัดเข้าปาก
สือโถวรับชามมาอย่างระมัดระวัง ไม่รีบร้อนกรอกเข้าปาก แต่สายตายังคอยลอบมองเซวียเสี่ยวหรั่น
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มให้เขาอย่างเป็มิตร "ตรงนั้นมีเก้าอี้ เ้านั่งแล้วค่อยๆ กิน ตอนเย็นก็มากินข้าวเสียที่นี่ ขอบใจเ้ามากที่ช่วยมาแจ้งข่าว"
สือโถวก้มหน้าก้มตา ไม่เปล่งเสียงสักคำ
"สือโถว ข้าจะบอกเ้า เ้าต้องมากินมื้อเย็นให้ได้นะ ต้าเหนียงจื่อทำอาหารอร่อยมาก หากเ้าไม่มา รับรองว่าต้องเสียใจไปชั่วชีวิต"
อูหลันฮวาเดินเข้ามาตบบ่าของเขา นางแรงเยอะ สือโถวตัวผอมเล็กนิดเดียว แทบจะล้มหน้าคะมำ
"แหะๆ ขออภัยด้วย มือหนักไปหน่อย" อูหลันฮวายิ้มอย่างเก้อเขิน รีบประคองเขา สองสามวันมานี้นางได้กินอิ่ม นอนหลับสบาย อูหลันฮวารู้สึกว่าเรี่ยวแรงของตนเองยิ่งเพิ่มขึ้นหลายส่วน
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นแล้วก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ดูท่าเหลียนเซวียนจะพูดถูก นางควรเรียนรู้วิธีควบคุมกำลังวังชาของตนเอง
ในที่สุดสือโถวก็พยักหน้า
ซีต้าเฉียงพาซีมู่คุนสองพี่น้องมาด้วย ยังมีซีหย่วนและซีมู่เซียงต่างรีบเดินเข้ามา
สีผิวดำคล้ำเพิ่มสีหน้าเคร่งขรึมเข้าไปก็ยิ่งดำทะมึนราวกับหมึก
พอเข้ามาในเรือน ซีต้าเฉียงก็ทักทายเหลียนเซวียนกับเซวียเสี่ยวหรั่นก่อน หลังจากนั้นก็เดินไปหาสือโถวที่กำลังดื่มโจ๊ก
สือโถวปกป้องชามของตนเองอย่างหวงแหน
ซีต้าเฉียงถลึงตาใส่เขา นึกว่าใครอยากแย่งโจ๊กของเขากัน "สือโถว เ้าไปได้ยินคำพูดเ่าั้ั้แ่เมื่อไร"
