หลังจากที่เฉิงเหนียงจื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้นางก็เริ่มกังวลขึ้นมาเพราะเกรงว่าสามีของนางที่มีนิสัยพูดจาโผงผางจะทำให้เ้านายไม่ชอบใจเอาได้
ติงเหว่ยหอมแก้มที่ใบหน้าน้อยๆ ของลูก และนางก็พูดบ่นอยู่พักใหญ่โดยไม่สนใจว่าเขาจะฟังเข้าใจหรือไม่ จากนั้นก็แต่งตัวแล้วเดินออกไปข้างนอก
เฉิงต้าโหยวเองก็ไม่ได้ซื่อตรงจนโง่เขลา หลังจากขอบคุณท่านลุงหลี่แล้วเขาก็คิดจะคุมบังเหียนรถม้าต่อให้ ท่านลุงหลี่เหลือบไปมองผู้ดูแลหลินที่ไม่ได้มีท่าทีคัดค้านอะไร เขาจึงยิ้มตาหยีและพาลูกชายกลับไปเฝ้าประตูจวนต่อ
รอจนติงเหว่ยออกมา หลินลิ่วเปิดประตูรถม้าให้นางด้วยตนเอง ติงเหว่ยพยักหน้าขอบคุณเขาและเหลือบมองเฉิงต้าโหยวที่กำลังถือแส้ม้า ติงเหว่ยยิ้มออกมาและก้าวขึ้นรถมาไป
หลินลิ่วะโขึ้นอีกฝั่งของรถม้า จากนั้นม้าสีน้ำตาลแดงก็ลากรถม้าที่มีม่านสีเขียวออกจากประตูจวนไป
หลังจาก่เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ทุ่งนาก็ไม่ได้มีงานอะไรมากมาย ในขณะที่ผู้าุโติงกำลังเดินเล่นพักผ่อนอยู่ในบ้านทันใดนั้นเขาก็เห็นลูกสาวนั่งรถม้ามารับเขาเพื่อเข้าไปเดินเล่นในเมือง เขามีความสุขมากและรีบกลับไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเป็ชุดกันหนาวตัวใหม่โดยเฉพาะ จากนั้นก็ขึ้นไปบนรถม้า
รถม้าแล่นออกจากหมู่บ้านและเมื่อไปถึงร้านอาหารที่ข้างทางก็แวะรับแม่นางหลี่ว์ คงไม่ต้องบอกว่าเมื่อนางเห็นสามีใส่เสื้อสะอาดๆ ที่นานๆ จะได้เห็นสักที และลูกสาวที่ใส่ชุดกระโปรง ในใจอยากจะตำหนิทั้งสองคนสักรอบแต่ก็เกรงว่าจะทำให้ล่าช้าจึงไม่ได้กลับบ้านไปเปลี่ยนชุด
ครอบครัวนั่งอยู่ในรถม้าคุยเล่นกันไม่นานก็ถึงประตูเข้าเมือง ผู้ดูแลหลินโยนเงินหนึ่งก้อนให้ทหารที่เฝ้าประตู รถม้าก็สามารถเข้าเมืองอย่างราบรื่นโดยไม่ต้องเปิดม่านเลยด้วยซ้ำ
ผู้าุโติงเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปาก นึกอยากถอนหายใจในข้อดีของชนชั้นสูงที่มีเงินและอำนาจ เกรงว่าเวลาที่คนในชนบทจะเข้าเมืองไปขายผักก็ยังต้องจ่ายภาษีถึงสามเหวิน บางครั้งไปเจอกับทหารที่อารมณ์ไม่ดียังถูกขวางทางและทำลายข้าวของอีก
แม่นางหลี่ว์กลับไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ ในใจของนางนึกถึงแต่บ้านใหม่ของลูกสาว ตอนนี้ลูกชายทั้งสองก็แยกครอบครัวออกไปใช้ชีวิตด้วยตนเองแล้วก็มีกิจการเป็ของตนเอง ส่วนพวกเขาสองตายายก็ยังมีที่นากับเงินำาญไว้ใช้ยามเกษียณ จะเหลือก็แต่ลูกสาวกับเด็กที่ไม่รู้ว่าพ่ออยู่ที่ใด ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าต้องพบเจอกับความยากลำบากมากขนาดไหน ทุกครั้งที่นึกถึงแม่นางหลี่ว์ก็จะนอนไม่หลับ หากว่าลูกสาวมีบ้านและร้านของตนเองแล้ว แม้นางจะต้องตายในตอนนี้นางก็สบายใจแล้ว
ผู้ดูแลหลินสั่งให้เฉิงต้าโหยวขับรถม้าเลี่ยงถนนสายหลักที่มีคนพลุกพล่าน เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไม่นานก็มาถึงซอยเล็กๆ บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอ ข้างทางในซอยมีต้นหลิวและต้นไหวที่สูงใหญ่กว่าปกติ นอกจากนั้นยังมีต้นสนสามต้นที่มีความหนาพอๆ กับชามกระเบื้องขนาดใหญ่ ซึ่งมีเอกลักษณ์และจดจำได้ง่าย
……
รถม้าที่แล่นบนถนนหินมุ่งตรงไปที่หน้าประตูบ้านที่อยู่สุดซอย ผู้ดูแลหลินะโลงมาดูและเคาะประตูทองเหลือง ไม่นานก็มีบ่าวชราที่มีผมสีขาวดอกเลามาเปิดประตู เมื่อเขาเห็นผู้ดูแลหลินก็รีบทำความเคารพทันที
ผู้ดูแลหลินยกมือห้ามเขา พูดด้วยเสียงที่อบอุ่นว่า “นายหญิงมาถึงแล้ว รีบให้รถม้าเข้าไปในจวนเถอะ”
บ่าวชรารีบร้อนดึงธรณีประตูและเปิดประตูไม้ทั้งสองบานออกกว้าง เฉิงต้าโหยวก็ดึงเชือกคุมบังเหียนบังคับม้าเข้าไปในบ้านอย่างมั่นคง
ติงเหว่ยแอบเปิดม่านดูั้แ่เข้าซอยมาก่อนแล้ว ตอนนี้จึงผลักประตูและะโลงมาก่อน หลังจากนั้นก็หันกลับไปพยุงท่านพ่อท่านแม่ ปรากฏว่าบ่าวชราวิ่งไปหยิบเก้าอี้เล็กๆ มาให้
ติงเหว่ยพยักหน้าอย่างอึดอัดและทำตัวไม่ถูก ในที่สุดนางก็วางเก้าอี้ลงด้วยตนเองและเชิญท่านพ่อท่านแม่ลงจากรถ แม่นางหลี่ว์มองลูกสาวด้วยสายตาดุๆ เป็ถึงแม่คนแล้ว เหตุใดยังทำอะไรไม่มีความสุขุมหนักแน่นเลยเช่นนี้
กลับกันผู้าุโติงไม่ได้สนใจเื่เล็กน้อยพวกนี้ เขาลงจากรถสังเกตไปรอบๆ แล้วอดไม่ได้ที่จะพูดชื่นชมว่า “ผู้ที่สร้างบ้านหลังนี้จะต้องเรียบง่ายอย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่เพียงอิฐกับไม้ก็ต้องใช้ความพยายามเป็อย่างมากแล้ว”
บ่าวชราฟังคำพูดเหล่านี้อยู่ข้างๆ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ท่านผู้าุโท่านนี้ช่างมีตาที่แหลมคมเสียจริง ตอนนั้นบ้านหลังนี้ใช้เวลาสร้างถึงหนึ่งปีเต็มๆ ไม่ได้สร้างอะไรอย่างลวกๆ แน่นอน ไม่ต้องพูดถึงลมฟ้าฝนทั่วไป ต่อให้ัดินพลิกตัวก็ไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิดเดียว”
ผู้าุโติงยิ้มแกว่งมือ แล้วพูดกลับไปว่า “ท่านพี่ท่านนี้ดูแล้วอายุยังมากกว่าข้า อย่าได้เรียกข้าว่าท่านผู้าุโเลย ข้าแค่มาเดินดูเป็เพื่อนลูกสาวก็เท่านั้น เ้าเรียกข้าว่าพี่ชายก็แล้วกัน!”
“จะทำอย่างนั้นได้ยังไง” บ่าวชรารีบคำนับด้วยความตื่นใ ทั้งยังก้มตัวลงต่ำมากขึ้นอีก
ในขณะนั้นติงเหว่ยกำลังพยุงแม่นางหลี่ว์ให้เดินเข้ามา ผู้ดูแลหลินก็พูดออกมาก่อนว่า “นี่คือท่านลุงหู บ่าวรับใช้ของเ้าบ้านคนก่อนที่เก็บเอาไว้ ท่านลุงหูอยู่ที่นี่มานานกว่าสิบปีแล้ว วันนั้นข้าเองก็หาผู้ดูแลบ้านที่เหมาะสมไม่ได้จึงปล่อยให้เขาช่วยดูแลไปก่อน”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันไปทางท่านลุงหูและพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “นายหญิงท่านนี้คือเ้าบ้านคนใหม่ ยังไม่รีบมาคำนับอีก”
ท่านลุงหูคุกเข่าลงและโขกหัวลงบนพื้น ติงเหว่ยเห็นเขาก็รู้สึกว่าแม้เขาจะอายุมากแล้วแต่แววตาก็ถือว่ายังกระจ่างใส การพูดจาการตอบสนองก็นับว่าไม่เลว และยังอยู่ที่บ้านนี้มาสิบกว่าปีอีกซึ่งเป็เื่หาได้ยาก เขาจะต้องคุ้นเคยกับทุกซอกทุกมุมเป็แน่ ให้เขาอยู่ดูแลที่นี่ต่อไปก็นับว่าไม่เลว ดังนั้นนางจึงยิ้มแล้วพยุงเขาลุกขึ้น นางพูดปลอบขวัญเขาอีกไม่กี่ประโยค จากนั้นก็สั่งให้เขาพาครอบครัวสามคนของนางเดินดูรอบๆ
ท่านลุงหูประการแรกมีความผูกพันกับบ้านหลังนี้จริงๆ ประการที่สองคืออยากเอาอกเอาใจเ้าบ้านคนใหม่ ดังนั้นเขาจึงพาครอบครัวสกุลติงไปดูรอบๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็ห้อง หรือแม้กระทั่งพุ่มไม้เขาก็สามารถพูดถึงที่มาที่ไปทั้งหมดได้อย่างมีหลักการ
ผู้าุโติงและแม่นางหลี่ว์ที่ทั้งชีวิตอาศัยอยู่แต่บริเวณที่ราบลุ่มระหว่างูเา ไหนเลยจะเคยเข้ามาที่บ้านหลังใหญ่ของครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ ตอนนี้เมื่อพวกเขามองดูบ้านที่ทาสีและตกแต่งอย่างสวยหรู ทั้งต้นไม้ดอกไม้และูเาเทียม ต่างก็พากันชื่นชมไม่หยุด
ติงเหว่ยยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกพอใจกับบ้านหลังนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่ากันว่าถึงแม้นกกระจอกจะตัวเล็กแต่ก็มีอวัยวะภายในทั้งห้าครบถ้วน [1] บ้านหลังนี้เหมาะกับประโยคนี้เป็อย่างดี หากเปรียบบ้านหลังนี้กับจวนสกุลอวิ๋นบ้านหลังนี้มีความประณีตมากกว่าถึงสามส่วน ทั้งห้องหลัก ห้องด้านข้าง ห้องลูก ห้องคนรับใช้หรือห้องเก็บของล้วนมีอย่างครบถ้วน ถึงขั้นที่ว่าด้านข้างยังมีสวนดอกไม้เล็กๆ อยู่อีกด้วย วันหน้าหากพาอันเกอเอ๋อร์ย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะไม่มีที่ให้เล่นแล้ว
หลินลิ่วที่เดินตามอยู่ข้างหลัง เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของครอบครัวสกุลติงเขาเองก็ถือว่าโล่งใจไปเปราะหนึ่ง ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าระหว่างแม่นางติงสองแม่ลูกกับคุณชายมีความสัมพันธ์อะไรกัน แต่เขาเองก็สามารถเดาได้คร่าวๆ จากพฤติกรรมต่างๆ ของท่านลุงอวิ๋น และยังมีท่าทางแปลกประหลาดของซานอีผู้โง่เขลาที่มักจะแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่แน่ว่าต่อไปหญิงสาวคนนี้อาจเป็หนึ่งในนายหญิงของสกุลกงจื้อก็เป็ได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องปรนนิบัติรับใช้นางเป็อย่างดี
สมาชิกทั้งสามคนในครอบครัวติงต่างก็เดินจนเหนื่อยล้า พวกเขาจึงจิบชาและสั่งท่านลุงหูสองสามประโยคจากนั้นจึงขึ้นรถอีกครั้งและไปที่ร้านทั้งสองแห่งที่อยู่ข้างถนนด้านหน้าที่ว่าการอำเภอ
ของมีค่าในบ้านทั้งหมดล้วนได้รับการคัดสรรมาเป็อย่างดี ดังนั้นหลินลิ่วจะไม่เลือกร้านค้าโทรมๆ เช่นกัน
……
ทันทีที่รถม้ามาถึงหน้าร้านก็เห็นกิจการที่รุ่งเรืองภายใน ภายในร้านขายของชำมีชายหนุ่มกำลังยุ่งอยู่กับการชั่งน้ำมันตะเกียงและตักเกลือ ส่วนร้านผ้าไหมฝั่งตรงข้ามก็มีหญิงวัยกลางคนและลูกสะใภ้ยืนรวมตัวกันอยู่ราวห้าหกคน
ติงเหว่ยอยากจะลงจากรถม้าไปเดินดูรอบๆ ร้านสักหน่อย แต่ไม่รู้ว่าแม่นางหลี่ว์นึกอะไรขึ้นมาได้จะเป็จะตายอย่างไรก็ไม่อนุญาตให้ติงเหว่ยลงจากรถ สุดท้ายแล้วก็มีแค่ผู้าุโติงพาเฉิงต้าโหยวเข้าไปเดินรอบๆ อยู่เป็เวลานาน ติงเหว่ยเองก็ร้อนใจแต่นางทำได้เพียงจ้องมองเท่านั้น
หลังจากเดินทางไปรอบหนึ่งกว่าจะได้ออกจากเมืองก็เป็เวลาเที่ยงแล้ว ติงเหว่ยนานๆ ทีจะตำหนิท่านแม่ว่า “ท่านแม่ เมื่อครู่ทำไมไม่ให้ข้าลงจากรถม้าล่ะ? ร้านนี้เป็ของข้า ข้าจะไม่ลงไปดูได้ยังไง?”
แม่นางหลี่ว์รีบฟังเสียงที่ด้านนอกรถม้า หลินลิ่วเหมือนกำลังคุยอยู่กับเฉิงต้าโหยว ไม่มีใครกำลังสนใจครอบครัวของพวกเขา นางจึงหยิกไปที่ลูกสาวหนึ่งทีแล้วพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ถึงแม้เ้าจะคลอดลูกแล้วแต่ก็ยังไม่ได้แต่งงาน ทุกวันนี้ยังมีทรัพย์สินติดตัว จะไปเปิดเผยใบหน้าง่ายๆ ได้ยังไง? อีกอย่างสกุลอวิ๋นใจกว้างและปฏิบัติต่อเ้าเป็อย่างดีขนาดนี้ จะต้องเป็ชนชั้นสูงแน่ๆ ครอบครัวเช่นนี้จะต้องมีกฎระเบียบมากมาย และแน่นอนว่าเขาต้องไม่ชอบใจที่สาวใช้ในบ้านถูกคนด้านนอกวิพากษ์วิจารณ์เต็มไปหมด ต่อให้จะเป็คนงานในร้านก็ไม่ได้เด็ดขาด ต่อไปหากเ้ามีธุระอะไรก็ควรปล่อยให้ต้าเฉิงทำธุระให้มากกว่านี้ อย่าได้ออกหน้าเองง่ายๆ เข้าใจไหม?”
ติงเหว่ยรู้สึกไม่เห็นด้วยนิดหน่อย นางคิดจะโต้แย้งสักสองประโยคแต่นึกไม่ถึงว่าท่านพ่อก็พูดกำชัยขึ้นมาว่า “สิ่งที่แม่เ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่ไม่น้อย ต่อไปเ้าก็ตั้งใจทำงาน จะต้องปฏิบัติต่อสกุลอวิ๋นให้คู่ควรกับที่ได้รับการดูแลอย่างดี ส่วนเื่อื่นๆ เ้าก็อย่าไปกังวลให้มาก ตราบใดที่ร้านค้ายังอยู่และมีรายได้เข้ามาทุกเดือน ต่อให้เ้าจะมีความคิดหาเงินดีๆ ก็ให้ชะลอเอาไว้ก่อน วันหน้าเ้าพาอันเกอเอ๋อร์ออกมาจากจวนสกุลอวิ๋นแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ติงเหว่ยถอนหายใจออกมา ต่อให้ในใจนางจะไม่เต็มใจมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็ค่อยๆ ถูกจัดการอย่างเป็ระเบียบแล้ว ที่นี่ก็ไม่ใช่ยุคสมัยที่นางเคยอยู่ สมัยนี้ไม่สนับสนุนให้ผู้หญิงเข้มแข็ง ผู้หญิงที่ไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง [2] ถึงจะเป็กุลสตรีที่ดี โดยเฉพาะผู้หญิงอย่างนางที่ยังไม่ทันได้แต่งงานก็มีลูกเสียแล้วและยังไม่ได้ใช้ชีวิต ก็ยิ่งต้องทำตัวเป็มนุษย์และซ่อนหางเอาไว้[3]
ที่ด้านนอกรถม้า หูของหลินลิ่วขยับไปมาและมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา จากนั้นเขาก็หันไปกล่าวกับเฉิงต้าโหยวที่กำลังซาบซึ้งใจอยู่ว่า “เ้าจงปฏิบัติตามที่แม่นางติงกำชับให้ดี และครอบครัวของเ้าทั้งหมดจะได้อยู่ดีกินดี”
เฉิงต้าโหยวไม่รู้ความหมายอันลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขา แต่เขาก็ยังก้มศีรษะลงคำนับด้วยความซาบซึ้งใจ และพูดอย่างซื่อสัตย์ว่า “ครอบครัวของเรามีชีวิตที่ดีเช่นตอนนี้ได้ ทั้งหมดล้วนต้องขอบคุณผู้ดูแลหลิน”
หลินลิ่วยิ้มออกมาเล็กน้อยและไม่พูดอะไรต่อ
เมื่อรถม้ามาถึงร้านอาหารข้างทาง ผู้าุโติงและแม่นางหลี่ว์ที่กำลังมีความสุขก็ไม่ลงจากรถม้า พวกเขาตรงกลับบ้านของตนเองไปทันที ผู้าุโทั้งสองคนกำลังครุ่นคิดว่าบ้านที่ดีขนาดนั้นหากไม่มีคนอยู่ เกรงว่าจะต้องถูกทิ้งร้าง อีกอย่างยามฤดูหนาวเองก็อากาศหนาว จะไม่เผาฟืนก็ไม่ได้ ดังนั้นทั้งสองคนจึงวางแผนเอาไว้ว่าจะตัดฟืนเพิ่มใน่สองสามวันนี้ แล้วก็เตรียมของกินของใช้ส่งไปที่นั่นด้วย แล้วจึงย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเป็่ๆ บ่อยๆ ประการแรกจะได้อยู่ที่ใหม่ๆ และถือว่าได้เป็คนในเมืองสักหน่อย ประการที่สองจะได้หาเวลาไปเดินรอบๆ ร้านทั้งสองบ้างเป็บางครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ชายหนุ่มพวกนั้นหาว่ากิจการดีๆ นั้นขาดทุน ไม่เช่นนั้นลูกสาวและหลานชายของเขาก็คงขาดทุนไม่เบา
ติงเหว่ยรับฟังด้วยรอยยิ้มตลอดทางและไม่ได้คัดค้านอะไรท่านพ่อท่านแม่ เดิมทีนางกังวลว่าพวกเขาจะมีปมในใจเื่ที่พี่รองแยกครอบครัวออกไป ทว่าวันนี้มีหลายเื่ให้ต้องจัดการ พวกเขาเองก็จะได้ไม่มีเวลาไปคิดเื่ฟุ้งซ่านอีกแล้ว
……
อวิ๋นอิ่งกอดอันเกอเอ๋อร์เล่นอยู่ที่เรือนหลักตลอดทั้ง่เช้า เมื่อครู่เพิ่งอุ้มเ้าเด็กอ้วนกลับไปในเรือน เฉิงเหนียงจื่อเองก็ให้นมไปแล้วกำลังตบก้นอันเกอเอ๋อร์ให้เข้านอน แต่เมื่อได้ยินว่าติงเหว่ยกลับมาแล้ว นางก็ลุกขึ้นยืนและคำนับทันที
ติงเหว่ยโบกมือเพื่อหยุดนางแล้วหันไปหาลูกชายตัวน้อย เมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆ ของเขาแดงก่ำจากการนอนหลับ นางจึงยิ้มและพูดว่า “เ้าเองก็เหนื่อยมาตลอดทั้ง่เช้านี้แล้ว กลับไปดูต้าหวาและเอ้อร์หวาของเ้าบ้างเถอะ”
เฉิงเหนียงจื่อที่สบายๆ มาตลอด่เช้า นางเองก็รู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อได้ยินเื่นี้และกำลังจะเอ่ยปากถามเพื่อขอรับโทษ คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นอิ่งกลับพูดขึ้นมาว่า “แม่นางยังไม่ได้กินข้าวใช่หรือไม่? เฉิงเหนียงจื่อ ไปหาเสี่ยวชิงแล้วบอกให้ต้มก๋วยเตี๋ยวไก่มา”
“ตกลง ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” เฉิงเหนียงจื่อไม่ได้โมโหที่ถูกพูดแทรกเปลี่ยนเื่ ทั้งยังรีบออกไปเตรียมอาหารให้นายหญิงของนางอีก
ดวงตาของติงเหว่ยฉายแววด้วยความสงสัย และนางก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เ้ามีอะไรที่พี่สะใภ้เฉิงพูดไม่ได้หรือไม่”
อวิ๋นอิ่งยิ้มอย่างไม่รีบร้อนและตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่อยากถามว่าร้านค้าในเมืองเป็เช่นไรบ้าง เฉิงต้าโหยวยังใช้ได้หรือไม่?”
ติงเหว่ยนึกถึงบ้านที่วิจิตรงดงามหลังนั้น และยังมีร้านที่กิจการรุ่งเรืองอีกสองแห่ง นางพูดอย่างมีความสุขว่า “ทั้งบ้านและร้านค้าต่างก็ไม่เลวจริงๆ เฉิงต้าโหยวเองก็เป็คนมีไหวพริบ แต่ยังไงในอนาคตก็ต้องรอดูไปก่อน”
-----------------------------------------
[1] ถึงแม้นกกระจอกจะตัวเล็กแต่ก็มีอวัยวะภายในทั้งห้าครบถ้วน(หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต) 麻雀虽小,五脏俱全 หมายถึง สรรพสิ่งที่มีรูปร่างหรือมีขนาดเล็ก แต่ภายในกลับมีสิ่งที่สำคัญหรือจำเป็ครบถ้วน
[2] ผู้หญิงที่ไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง 大门不出二门不迈 หมายถึง ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน
[3] ทำตัวเป็มนุษย์และซ่อนหางเอาไว้ 夹着尾巴做人 หมายถึง การใช้ชีวิตแบบอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักอดทนและยอมถอย หมั่นเรียนรู้ศึกษาไปเรื่อยๆ คือทัศนคติชีวิตที่ชาญฉลาดซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสอนผู้คนถึงวิธีป้องกันตนเองในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็รักษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ดี รวมถึงการพัฒนาและการเรียนรู้