เวินซีหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองหลานเยว่เฉิง เพื่อรอให้เขาพูดต่อ
“พิษในร่างของสืออี หากมิใช้ยาให้ทันเวลา วันพรุ่งพิษจะแผลงฤทธิ์ เขาจะต้องตาย หากคุณหนูเวินซีปล่อยข้าไป ข้าจะมอบยาแก้พิษให้”
“หากเ้ามียาแก้พิษ ต่อไปสืออีจะจงรักภักดีต่อเ้าแน่นอน”
หลานเยว่เฉิงคลี่ยิ้ม แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเวินซีจะกลอกตาให้ พลันเดินออกไปด้านนอกทันที
นางยื่นป้ายโองการของเขาให้สืออี
“ไปกันเถิด” นางกำลังจะปิดประตูแล้วเดินออกไป
“เดี๋ยวสิ คุณหนูเวินซี บนร่างข้ามียาแก้พิษ เ้ามาเอาเองก็ได้” หลานเยว่เฉิงเห็นว่าประตูใกล้จะปิดลงจึงรีบเอ่ยปาก
เวินซีชะงักมือที่จะปิดประตู แล้วเปิดมันออกอีกครั้ง
นางมองไปยังสืออีที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วเอ่ย “เ้าไปเอา”
หลานเยว่เฉิง “...”
หลานเยว่เฉิงมองสืออีที่เข้ามาใกล้ ใบหน้าของเขามืดมนมาก
สืออีกลัวเขา แต่เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาทำได้เพียงเข้าไปค้นร่างของหลานเยว่เฉิง ไม่นานนักก็ได้ขวดยาออกมาจากอก
เขาเปิดขวดดม เมื่อแน่ใจว่าเป็ยาแก้พิษก็ปิดฝาและลุกขึ้นยืน
ยาในขวดนี้จะทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้อีกระยะหนึ่ง
ความกังวลใจพลันหายไป จากนั้นเขาก็กลับไปยืนข้างเวินซี
หลานเยว่เฉิงมองเขาด้วยสายตาเ็า จนกระทั่งประตูห้องเก็บฟืนปิดลง เมื่อเสียงฝีเท้าเดินออกไปไกล เขาก็พยายามขยับปลายนิ้ว
เสียงร้องของนกไป่หลิงดังออกมาจากปากของเขา เมื่อมองเห็นนกพิราบสื่อสารบินมาเกาะประตูห้องเก็บฟืน เขาก็แสยะยิ้ม
หลานเยว่เฉิงส่งเสียงร้องอีกครา นกพิราบบินเข้ามาในห้องเก็บฟืน มันบินไปรอบๆ ห้องแล้วหยุดลงบนมือของเขา
......
ในกลางดึกคืนนี้ไม่มีพระจันทร์ บนถนนมีเพียงไม่กี่ครัวเรือนเท่านั้นที่จุดตะเกียงไว้หน้าประตูบ้าน และมีคนตีฆ้องบอกเวลาที่เดินไปมา
เวินซีสวมชุดสีดำเคลื่อนไหวไปตามหลังคาอย่างรวดเร็ว โดยมีสืออีตามหลังติดๆ
ครึ่งชั่วยามต่อมา ทั้งสองก็ออกจากเมืองแล้วเดินทางไปยังสถานที่ที่ห่างไกล โดยมีคนของจ้าวต้านคอยแอบตามไปด้วย
“อีกนานเพียงใด?” เมื่อมองย้อนกลับไปไม่เห็นเมืองแล้ว เวินซีก็ขมวดคิ้วถาม
“อีกครึ่งชั่วยามขอรับ เพื่อให้ผู้คนในเมืองรู้สึกหวาดกลัวและค้นหายาก นายท่านจึงตั้งรังของทหารลับที่ใต้หน้าผาขอรับ”
“คุณหนู ตอนนี้อย่าได้พูดอันใดนะขอรับ ไม่มีสตรีภายในกลุ่มทหารลับ ข้าเกรงว่าพวกเขาจะรู้”
สืออีตอบคำถามนาง แต่ฝีเท้าของทั้งสองมิได้ช้าลงเลย
“ง่ายมาก” เวินซียิ้มออกมา ก่อนจะหยิบยาเม็ดหนึ่งใส่ปาก “ตอนนี้ล่ะ?”
บัดนี้เสียงที่นางเปล่งออกมากลายเป็เสียงของบุรุษที่ทุ้มและหยาบ ทำเอาสืออีใ
“คุณหนูเวินซี นี่...”
“ยาเปลี่ยนเสียงน่ะ ไปกันเถิด”
“ขอรับ”
สืออีตั้งสมาธิ รีบเดินต่อไปที่จุดรวมพลของทหารลับ
ครึ่งชั่วยามต่อมา ทั้งสองหยุดอยู่ตรงลำธารที่หน้าผา ด้านล่างหน้าผาเป็ที่รกร้าง มีเพียงวัชพืชที่เหี่ยวแห้งเป็สีเหลือง ทางเดินนั้นสูงชันและเต็มไปด้วยโขดหิน หากไม่ทันระวังจะสะดุดล้มลงได้
ที่นี่มีถ้ำอยู่มากมาย แต่ด้านในมีเพียงความมืดมิด
“ที่นี่ขอรับ ทหารลับอยู่ในถ้ำ คุณหนูเวินซีตามมาให้ดีนะขอรับ”
สืออีนำทางมาถึงปากถ้ำแห่งหนึ่ง พูดจบเขาก็เดินเข้าไปทันที ขณะที่เวินซีกำผงพิษไว้ในมือพลันเดินตามไป
ข้างในถ้ำใหญ่มาก ทั้งคดเคี้ยวและซับซ้อน หลังจากที่เลี้ยวมานับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดเวินซีก็เห็นแสงไฟ เมื่อเดินเข้าไปอีกก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันเจื้อยแจ้ว
นางเตรียมตัวตั้งรับอย่างกระตือรือร้น ระมัดระวังตัวในทุกย่างก้าว
“ผู้ใดกัน?”
ทั้งสองมิได้หลบซ่อน เมื่อทหารลับที่อยู่ด้านในได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวก็พากันชี้ดาบไปที่ต้นเสียง
“ข้าเอง” สืออีเดินเข้ามาพร้อมกับเวินซี
“ข้าก็นึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็คนทรยศนี่เอง มีอันใด? นึกเสียใจจะกลับมาแล้วหรือ? เ้ารู้จุดจบของคนทรยศหรือไม่?”
“ข้ายังคิดอยู่เลยว่าจะไปตามเ้าได้จากที่ใด ในเมื่อเ้าเข้ามาเอง เช่นนั้นก็อย่าได้คิดจะกลับไปอีกเลย”
“ตายซะ เ้าคนทรยศ”
......
ในเวลานั้นมีทั้งเสียงด่าทอและเหยียดหยาม ทหารลับหลายคนมีอารมณ์คุกรุ่นก็ถือดาบพุ่งเข้ามาทันที สืออีจำต้องหยิบดาบขึ้นมาสู้กับพวกเขาโดยที่ยังไม่ทันได้เอ่ยคำใด
ด้วยจำนวนคนที่เยอะกว่ามาก สืออีจึงตกเป็ฝ่ายเสียเปรียบ
เมื่อเห็นเช่นนั้น เวินซีก็รีบเอ่ยปาก “ทุกท่านใจเย็นก่อนขอรับ สืออีมิได้ทรยศ เขามาเพราะได้รับคำสั่งจากนายท่าน”
“เ้าเป็ผู้ใด?”
“เหตุใดเรามิเคยเห็นเ้า”
......
ความสนใจของทหารลับไปอยู่ที่เวินซีในที่สุด มีคนคิดจะเข้าไปใกล้นาง แต่สืออีก็ชี้ดาบกั้นไว้
“ข้าอยากพบหลิงอี” เขาเอ่ยเสียงดังทันทีที่ได้โอกาสหายใจ
จากชื่อที่เรียงลำดับตัวเลข นอกจากหลานเยว่เฉิงแล้ว หลิงอีเป็หัวหน้าที่ใหญ่ที่สุด
“เ้าพาคนนอกเข้ามาอย่างผิดกฎ ทั้งยังเป็คนทรยศ เ้ามีสิทธิ์อันใดที่จะพบหลิงอี” ทหารลับคนหนึ่งพูดด้วยเสียงเกรี้ยวกราด เมื่อหยุดพักครู่หนึ่งก็เข้าไปสู้กับสืออีอีกครา
พวกเขาไม่เชื่อในสิ่งที่เวินซีพูดไปเมื่อครู่
ทันใดนั้นเอง ป้ายโองการก็ลอยออกมาจากแขนเสื้อของสืออีแล้วตกลงบนพื้น ทำให้ทุกคนมองไปยังที่เดียวกัน
เวินซีเห็นดังนั้นก็หยิบป้ายโองการขึ้นมาวางไว้ในมือ แล้วให้ทหารลับดู “นี่เป็ป้ายโองการที่นายท่านมอบให้ ข้าเป็ทหารลับคนใหม่ของนายท่าน ยังมิได้มีโอกาสพบปะกับทุกท่าน ข้าถูกสั่งให้ทำภารกิจร่วมกับสืออี”
เมื่อเห็นป้ายโองการ ทหารลับที่ต่อสู้กับสืออีก็หยุดลง แต่ยังมีท่าทีระแวดระวัง พวกเขายังคงกำดาบแน่นในมือ
ทหารลับคนอื่นๆ พูดคุยกันด้วยเสียงแ่เบา พวกเขายังคงมีท่าทีลังเล ไม่รู้ว่าจะเชื่อดีหรือไม่
“ข้ากับสืออีมาที่นี่ก็เพื่อส่งสาร สืออี”
เวินซีหันไปหาเขาที่อยู่ข้างๆ ก่อนที่สืออีจะพยักหน้า หยิบจดหมายที่อยู่ในอกส่งให้นาง
หลังจากที่นางเปิดจดหมาย ก็ยื่นให้ทหารลับที่อยู่ใกล้ที่สุด
ทหารคนนั้นขมวดคิ้ว แต่ก็รับจดหมายไปอ่านอย่างละเอียด เมื่อคนอื่นๆ เห็นก็เข้าไปมุงดู
“นี่เป็ลายมือของนายท่าน”
“ป้ายโองการนั่นอีก มันเป็ของติดตัวของนายท่าน เขาจะมอบให้เพียงทหารที่ออกไปทำภารกิจลับ”
“แต่นายท่านมีเื่อันใดถึงได้สั่งการปุบปับเช่นนี้?”
“ได้ยินว่าเขาไปตามหาต้านอวี้เสวียน คืนนั้นข้าเห็นว่าเขาพาคนออกไปไม่น้อย ทหารลับที่ออกไปพวกนั้นยังไม่กลับมาสักคน”
“เชื่อถือได้หรือไม่?”
“ไม่รู้สิ พวกเ้ารีบไปเรียกหลิงอีออกมา”
......
ทหารลับพูดคุยกัน พวกเขาหันไปมองสืออีและเวินซี พลางให้คนไปเรียกหลิงอี
ในเวลาต่อมา บุรุษผู้หนึ่งในชุดสีกรมเข้มก็เดินออกมาพร้อมกับทหารลับที่รายล้อมมากมาย
เขาหยุดลงตรงหน้าสืออีแล้วยื่นมืออกไป ทหารลับจึงนำจดหมายส่งไปให้
หลิงอีลดสายตาลงแล้วตรวจดูอย่างละเอียด สักพักก็พูดอย่างเ็าว่า “นายท่านส่งเ้าไปทำภารกิจใด? เหตุใดวันนั้นเ้าถึงสารภาพชี้ตัวฮูหยินใหญ่เวิน?”
“เป็เพราะฮูหยินใหญ่เวินทำงานไม่สำเร็จ ปล่อยให้นางรอดมาได้ เพื่อไม่ให้เื่นี้ไปถึงเมืองหลวงและจัดการให้เสร็จสิ้น นายท่านจึงตั้งใจให้ข้าถูกเ้าอำเภอจับตัวไป และใช้โอกาสนี้ชี้ตัวฮูหยินใหญ่เวิน เพราะคุณหนูเวินเยียนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายท่าน จึงยังลงมือกับนางมิได้ ”
สืออีบอกเหตุผลอย่างใจเย็น เขาหยิบป้ายโองการจากมือของเวินซีไปให้หลิงอี
หลิงอีมองดูป้ายโองการ แต่ยังคงเฝ้าสังเกตทั้งสองอย่างคาดเดามิได้
ไม่นานนักเขาก็นำป้ายโองการและจดหมายใส่ในอก ยกมือขึ้นและกวักมือ “ควบคุมทั้งสองคนไว้”