ไท่ไท่รองได้ยินข่าวแว่วมา แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังคงมาหาหวังหรูเมิ่งอย่างรวดเร็ว หวังหรูเมิ่งได้ยินว่าชุ่ยเถาถูกจับไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า กำลังร้อนรนในใจไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เห็นไท่ไท่รองมาถึง
นางรู้แน่แก่ใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาผลลัพธ์ให้กับเื่นี้ จะปล่อยไว้ไม่ได้อีกแล้ว ตามปรกติภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องส่งคนมาตามตัวนางในไม่ช้า ถึงเวลานั้นก็จะเปลี่ยนท่านหมออีกคนมาตรวจอาการของตนเอง ทุกอย่างก็จะเปิดโปงออกมาทั้งหมด
หวังหรูเมิ่งก็รู้ได้ทันทีว่าคงมีแต่ความตายเท่านั้นที่รอตนเองอยู่
ชุ่ยเถาเป็คนของครอบครัวนางไม่น่าจะทรยศ ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดคือนางจะต้องตัดเื่นี้ออกไปให้ได้ก่อน
คิดมาถึงตรงนี้ นางก็ลุกขึ้น "พี่รอง ท่านช่วยประคองข้าที ข้ารู้สึกไม่สบายท้อง และไม่รู้ว่าชุ่ยเถาเป็อย่างไรบ้าง พวกเราไปดูกันเถิดเ้าค่ะ"
"อื้อ ได้สิ"
หวังหรูเมิ่งคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม...
ใครใช้ให้เ้าอาศัยความเป็พี่สาวคนโต่ชิงทุกอย่างไปจากข้าั้แ่เล็กจนโต
ใครใช้ให้เ้าเชิญข้ามาเป็แขกที่สกุลซู
ใครใช้ให้เ้าให้ความหวังข้าแต่ไม่เคยช่วยเหลือข้าเลย ซ้ำยังมาโทษว่าข้าไร้ประโยชน์
ใครใช้ให้เ้าไปเชิญซูต้าหลางมาจัดการกับข้า
ดังนั้น... อย่าโทษข้าเลย
...
เรือนหลัก
หญิงรับใช้าุโวิ่งเข้ามาแจ้ง "ฮูหยินผู้เฒ่า แย่แล้วเ้าค่ะ หวังอี๋เหนียงถูกชนล้ม ดูเหมือนว่า... ดูเหมือนว่าอาการไม่ค่อยดีนัก"
ฮูหยินกำลังตัดสินเื่ราวทางนี้อยู่ ทางนั้นก็เกิดเื่อีกแล้ว อย่างไรเสียก็เป็เด็กในตระกูลของพวกเขา "เกิดอะไรขึ้นกันแน่ รีบไปตามท่านหมอมาให้ข้าเดี๋ยวนี้เลย" นางลุกขึ้นทันที
พอได้ยินว่าเกิดเื่กับหวังหรูเมิ่ง แม้ชุ่ยเถาจะไม่รู้ว่าเื่ราวเป็มาอย่างไร แต่ในใจก็โล่งไปหนึ่งเปลาะ อย่างน้อยคุณหนูของนางก็ไม่ต้องถูกคนครหาภายหลังเพราะปัญหาเื่บุตรในครรภ์
นางร้องไห้โฮออกมาทันที "คุณหนู ฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดไปดูคุณหนูของบ่าวด้วย คุณหนู บ่าวไม่รู้ว่าท่านเป็อย่างไรบ้าง คุณหนู..."
นางพูดซ้ำไปซ้ำมา ท่าทางร้อนใจอย่างยิ่ง
แต่ทุกคนล้วนมิใช่คนเขลาเบาปัญญา ไม่ว่าเฉียวเยว่ ฮูหยินผู้เฒ่า หรือไท่ไท่สาม แม้แต่หญิงรับใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าสองสามคนมองปราดเดียวก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเื่นี้
หวังอี๋เหนียงสองนายบ่าวคงคิดจะใส่ความสองแม่ลูกเรือนสาม
นึกมาถึงตรงนี้ เฉียวเยว่ก็หลั่งเหงื่อเย็นทั้งตัว หากนางถูกลากตัวไป หรือมารดานางถูกหลอกให้ไปสำเร็จ เื่นี้ก็ยากจะอธิบายได้แล้ว
แต่บัดนี้พอได้ยินว่าหวังอี๋เหนียงเกิดเื่ นางจึงไม่กล้าพูดมาก อย่างไรเสียก็เป็บุตรหลานสกุลซู ท่านย่ามักวิตกกังวลง่าย อาจกระทบกระเทือนจิตใจ เฉียวเยว่ไม่เกรงกลัวปัญหา แต่นางกลัวท่านย่าเสียใจมากกว่า
ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าก็เข้าใจกระจ่างแจ้งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ แม้ภายในใจจะโกรธมาก แต่จะแสดงออกต่อหน้าเด็กไม่ได้ นางตบหลังมือของเฉียวเยว่ เอ่ยว่า "เอาล่ะ เ้ากลับไปเถอะ ไม่ต้องกังวลเื่อื่น ย่าจะไม่ให้ใครรังแกเ้าทั้งสิ้น"
เฉียวเยว่เด็กคนนี้ดีเกินไป คนจิตใจสกปรกโสมมเ่าั้ถึงคิดแต่จะสาดน้ำครำใส่นางตลอดเวลา
ส่วนภรรยาเ้าสาม...
แม้ว่ายามที่บุตรชายแต่งงานกับฉีอิ่งซิน นางจะไม่ค่อยพอใจสะใภ้คนนี้มากนัก แต่หลายปีมานี้นางก็ปฏิบัติหน้าที่และวางตัวดีเสมอมา ทั้งยังให้กำเนิดเด็กดีมาถึงสามคน หากเช่นนี้ยังมีคนมาหาเื่ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ยอมเหมือนกัน คนอยู่อย่างสงบสุขดีๆ กลับมาก่อความวุ่นวายจนเดือดร้อนไปทั้งบ้าน ฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะปล่อยไปง่ายๆ
"พวกเ้าสองแม่ลูกกลับไปให้หมด ทางนี้ข้าจะจัดการเอง"
สิ้นคำกล่าว ก็เห็นไท่ไท่ใหญ่เข้ามาอย่างรีบร้อน นางดูพะว้าพะวง แต่ยังคงวางตัวสงบนิ่งเฉกเช่นสตรีจากสกุลผู้ลากมากดี
"เป็อย่างไร?" ฮูหยินผู้เฒ่าสงบจิตลงแล้วก็เอ่ยถาม
ทว่าแท้จริงก็มีคำตอบในใจอยู่แล้ว
"รักษาเด็กไว้ไม่ได้เ้าค่ะ แต่ผู้ใหญ่ยังสบายดีอยู่" ไท่ไท่ใหญ่ตอบ
สิ้นคำกล่าวนี้ นิ้วมือของเฉียวเยว่ก็หุบเข้ากลางฝ่ามือของตนเอง นึกอยากจะหัวเราะเยาะสมน้ำหน้า แต่พอนึกว่าคนผู้นี้วางแผนใช้บุตรในครรภ์มาเล่นงานผู้อื่นั้แ่ต้น ทั้งหมดย่อมอยู่ในความคาดหมายของนางอยู่แล้ว สมน้ำหน้าไปก็เท่านั้น
เฉียวเยว่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรไปชั่วขณะ
พอเห็นสีหน้าของเฉียวเยว่ ไท่ไท่สามก็ดึงนางกลับทันที
ไม่ขออยู่ร่วมรับรู้มากไปกว่านั้น
หลังกลับมาถึงเรือน ไท่ไท่สามก็เกลี้ยกล่อมบุตรสาว "เื่มากมายในจวน พวกเราไม่ไปยุ่งกับพวกเขาดีอยู่แล้ว ระมัดระวังตนมีสติอยู่เสมอ ย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้แผนการของผู้ใด"
ไท่ไท่สามยึดมั่นในหลักการนี้เสมอมา แต่เฉียวเยว่กลับไม่คิดเช่นนี้
นางมักกังขาว่าพวกนั้นมีสิทธิ์อะไร
ทั้งที่พวกเขาเป็ผู้บริสุทธิ์ แต่กลับถูกคนเ่าั้วางแผนทำร้าย
นึกมาถึงตรงนี้ เฉียวเยว่ก็กล่าวอย่างช้าๆ "วันนี้นางคิดเล่นงานข้า วันหน้าข้าต้องให้นางได้เห็นดีกัน"
ไท่ไท่สามทำท่าจะเกลี้ยกล่อมต่อ แต่เฉียวเยว่ขัดขึ้นทันที "ท่านแม่ พวกเรานิสัยไม่เหมือนกัน ข้าหาใช่คนที่มีความอดทนอดกลั้น"
แม้ว่าตอนนี้ผู้อื่นแท้งบุตรไม่อาจทำอะไรได้สะดวก แต่หากตนเองต้องทนก็ไม่ใช่นางแล้ว ลำพังแค่วางแผนเล่นงานนาง ก็น่ารังเกียจมากแล้ว แต่นี่ยังคิดจะใช้นางมาเล่นงานมารดา ยิ่งทำให้ตนเองรู้สึกสะอิดสะเอียนมากกว่าเดิม
ไท่ไท่สามเห็นความแน่วแน่ของบุตรสาว ก็รู้ว่าเกลี้ยกล่อมนางไม่ได้ จึงเพียงกล่าวว่า "สรุปแล้วไม่ว่าเ้าจะทำสิ่งใดต้องใคร่ครวญถึงคนในครอบครัวบ้าง ความหมายของข้าคือรวมถึงท่านปู่ท่านย่า และครอบครัวของท่านลุงใหญ่ของเ้าด้วย เข้าใจหรือไม่?"
เฉียวเยว่พยักหน้า
แต่เพียงชั่วครู่เดียว เฉียวเยว่ก็ได้ยินว่าที่เรือนหลักเกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีก นางนวดจุดไท่หยางของตนเองแล้วเปรยว่า "คนเหล่านี้จิตป่วยกันหรือไร?"
หลันหมัวมัวซอยเท้าถี่ๆ ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว "อุ๊ย เป็เื่ใหญ่ขึ้นมาแล้ว สองพี่น้องคู่นี้ช่างเหลือเกินจริงๆ"
ไม่แปลกที่หลันหมัวมัวจะดูมีความสุขเมื่อเห็นความทุกข์ของผู้อื่น หากพวกนางรู้จักไตร่ตรองสักนิดก็คงไม่ให้ผู้อื่นเห็นเื่น่าขันพรรค์นี้
"เกิดอะไรขึ้น?"
"พวกท่านทราบหรือไม่ว่าเกิดอะไรกับหวังอี๋เหนียง นางบอกว่าไท่ไท่รองผลักนาง หึๆ ไท่ไท่รองเป็พี่สาวร่วมอุทรของนางแท้ๆ จะผลักนางทำไม แม้ว่าไท่ไท่รองจะปากไม่ดี ซ้ำยังโง่งม แต่บ่าวไม่เชื่อว่านางจะทำเื่พรรค์นี้หรอกเ้าค่ะ"
หลันหมัวมัวสงบอารมณ์ก่อนพูดต่อ "ยามนี้ไท่ไท่รองร่ำไห้จนแทบไม่เป็ผู้เป็คน บอกว่านางถูกปรักปรำอยู่ที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ไท่ไท่ใหญ่รู้อยู่เต็มอกว่าไท่ไท่รองอาจไม่ใช่คนทำ แต่กลับฉวยโอกาสนี้มาจัดการกับนาง โดยอาศัยคำพูดของหวังอี๋เหนียงจะให้นางอธิบายให้ได้ ว่าอยู่ดีๆ เหตุใดถึงทำร้ายคน"
ช่างเป็อะไรที่ยุ่งเหยิงดีแท้
เฉียวเยว่หัวเราะเยาะออกมา "สุนัขกัดสุนัข ขนเต็มปาก"
ไท่ไท่สามอมยิ้มด้วยความจนใจ "เด็กคนนี้นี่ พูดจาไม่มีความเกรงใจเอาเสียเลย ถึงอย่างไรก็คนในครอบครัว ไม่จำเป็ต้องพูดให้ระคายหูเยี่ยงนี้กระมัง?"
เฉียวเยว่ไม่ลดราวาศอก "ท่านแม่ลองคิดดูนะเ้าคะ พวกเขาร้ายกับเราขนาดนี้ ไยข้าต้องแสร้งแสดงสีหน้าดีๆ กับพวกเขาด้วย ข้ามิใช่แม่พระ"
"จะว่าไปข้าก็แปลกใจอยู่บ้าง เมื่อเ้าอภัยให้หรงฉางเกอได้ เหตุใดถึงไม่อภัยให้คนในครอบครัวตนเอง" ไท่ไท่สามนึกถึงจุดนี้ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
"ท่านแม่พูดว่าคนในครอบครัว ก็เพราะเป็คนในครอบครัวนี่แหละข้าถึงยิ่งสลดใจ หากเป็คนนอก ยังพอจะช่างมันได้ ส่วนที่ว่าให้อภัยหรงฉางเกอ นั่นเพราะนางเพียงวู่วามชั่วขณะ ประกอบกับตอนนั้นนางยังอายุน้อย แต่พฤติกรรมหลายอย่างของนางตอนนี้ก็ทำให้คนเข้าใจ และนางก็รู้สึกเสียใจกับการกระทำครานั้นจริงๆ ด้วยเหตุนี้นางสมควรได้รับการให้อภัย คนทำผิดพลั้งเพียงเล็กน้อยพวกเราจะไม่ให้โอกาสสักนิดเลยหรือ? หากสำนึกผิด ข้าก็คิดว่าควรให้อภัย"
นางเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนพูดอีกว่า "แต่คนบางคนไม่เคยรู้สำนึก นางเพียงขุ่นเคืองตนเองที่ทำได้ไม่แเีพอในครั้งแรก พอมีครั้งต่อไปก็จะทำดียิ่งกว่าเดิม คนประเภทนี้ไยข้าต้องให้อภัย? บางคนเป็ผู้ใหญ่แล้วแท้ๆ แต่กลับหลงผิดคิดร้ายต่อผู้อื่น คนเช่นนี้ควรให้อภัยหรือเ้าคะ?"
เฉียวเยว่คร้านจะฟังเื่ไร้สาระเหล่านี้ จึงพูดตัดบท "ไม่คุยกับพวกท่านแล้ว ข้ากลับห้องไปพักผ่อนดีกว่า"
นางอารมณ์ไม่ดี อย่าพูดต่อดีกว่า
ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว นางยังพลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ แต่ได้ยินเสียงบางอย่างจากด้านนอก จึงลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่าง วันนี้ลมค่อนข้างแรง ละอองหิมะโปรยปราย เฉียวเยว่ยิ้มพลางยื่นมือออกไปรับ ก็เห็นเกล็ดหิมะละลายอยู่ในอุ้งมือ
นี่เป็หิมะครั้งที่สามนับั้แ่ฤดูหนาว
เฉียวเยว่หันกลับไปหยิบเสื้อคลุมตัวนอกมาสวมใส่ หลังจากนั้นก็กลับมาข้างหน้าต่างอีกหน เห็นหิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ก็เอ่ยเสียงเบา "ไม่ว่าเื่จะเลวร้ายสักปานใด ก็ย่อมอันตรธานไปเฉกเช่นหิมะ"
นึกแล้วก็หัวเราะออกมา นางรำพึงกับตนเอง "ดูเหมือนว่าข้าจะเก่งเื่ปลอบใจตัวเองอยู่บ้าง ถึงแม้เบื้องหน้าจะเป็คนในครอบครัว แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเราสักนิด ดังนั้นข้าต้องนิ่งเข้าไว้ อย่าให้ความสำคัญกับพวกเขาเกินไป"
"คิดมากเกินไป รังแต่จะทำให้ตนเองหงุดหงิดเปล่าๆ"
ทันทีที่คำกล่าวนี้พูดออกมา เฉียวเยว่ก็แทบร้องะโด้วยความใ แต่นางอุดปากของตนเองไว้ทัน "พี่จ้าน?"
เสียงนี้น่าจะเป็หรงจ้าน
ไม่ผิดจากที่คาดไว้ เขาสวมเสื้อคลุมกันลมสีขาวบริสุทธิ์ยืนอยู่ข้างหน้าต่างไม่ไกลนัก
เฉียวเยว่สงบอารมณ์ลงแล้วก็เอ่ยว่า "ดึกดื่นเช่นนี้ท่านมาทำอะไร?"
หลังจากนั้นก็ดึงอาภรณ์ของตนเองให้กระชับร่าง "ท่านพูดมา คิดอะไรกับข้าใช่หรือไม่ ถึงแล่นมาหายามวิกาลเช่นนี้"
นางเชิดหน้าอย่างยโสโอหัง ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทำท่าประหนึ่งบอกว่า 'ท่านมันโรคจิต ช่วยอยู่ให้ห่างจากข้าหน่อย'
หรงจ้านมุมปากกระตุก แค่นเสียงหัวเราะ "เ้าฟุ้งซ่านมากมายเช่นนี้ กลางคืนไม่ฝันร้ายบ้างเลยหรือ"
เฉียวเยว่เชิดหน้ายอกย้อน "ไยข้าต้องฝันร้าย?"
"ข้าโฉมงามดุจบุปผา ทุกคนชอบข้าก็ถูกต้องแล้ว" นางพูดอีก
หรงจ้านเบะปากยิ่งกว่าเดิม "เ้ารู้หรือไม่เพราะเหตุใดหิมะตก?"
ขณะที่เฉียวเยว่กำลังคิดว่าจะอธิบายสภาพอากาศให้หรงจ้านฟังอย่างไร เขาก็เอ่ยขึ้นมาก่อน "เพราะเ้าเป่า [1] เก่งเกินไป ก็เลยเป่าเมฆครึ้มออกมาด้วย"
เฉียวเยว่ "..."
เ้าแมวเหมียว พูดเช่นนี้ไม่มีไมตรีเอาเสียเลย
ดวงหน้าน้อยของเฉียวเยว่เริ่มพองออกมา "เช่นนั้นก็บอกมาสิ ท่านมาทำสิ่งใดกันแน่"
น้ำเสียงค่อนข้างจะไม่สุภาพอ่อนโยน
แน่นอนว่านางก็ไม่เคยสุภาพอ่อนโยนมาแต่ไหนแต่ไร ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของตนเองล้วนๆ
หรงจ้านหลุบสายตาลง "ได้ยินว่าเรือนของพวกเ้ามีเื่เล็กน้อย ก็เลยแวะมาดู"
เฉียวเยว่เห็นความวิตกกังวลในแววตาของเขา อารมณ์พลันดีขึ้นในชั่วพริบตา นางหัวเราะคิกคัก ก่อนพูดอย่างมีความหมายแอบแฝง "ท่านเป็ห่วงข้าหรือ?"
...
[1] คำว่า เป่า ในภาษาจีนมีอีกความหมายอีกอย่างว่า คุยโม้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้