“นี่คือใบรับรองของพี่นะ รับไปสิ”
อู๋เยว่หยิบเอกสารจำนวนหนึ่งส่งให้จ้าวอี้ ซึ่งมีสำเนาอยู่ประมาณห้าหกใบ
“เยอะขนาดนี้เชียว?”
จ้าวอี้ค่อนข้างใ เขาพลิกดูเอกสารรับรองหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน มีทั้งใบรับรองตำรวจทั่วไป ใบรับรองกองความมั่นคงที่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลความลับระดับสูง และอื่นๆ อีกมากมาย
“ก็ไม่เยอะนะ บางที่จำเป็ต้องมีใบรับรองพิเศษด้วย เพื่อให้เราได้ทำงานกันง่ายยิ่งขึ้น”
อู๋เยว่พูดพร้อมกับยิ้มจนตาหยี
“งั้นแผนกของเราขึ้นตรงกับหน่วยงานอะไรล่ะ?”
จ้าวอี้สงสัยเื่นี้มาก
“ใครจะรู้กันล่ะ คดีพิเศษทุกประเภทจะถูกส่งมาให้แผนกของเราเป็ลำดับแรก บางครั้งก็เป็คดีอาญา บางครั้งก็เป็กองความมั่นคง บางครั้งก็เป็สถาบันวิจัย พิพิธภัณฑ์ หรือไม่ก็รัฐบาลท้องถิ่น”
อู๋เยว่ยกไหล่และพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ยังไงก็แล้วแต่ หน่วยเรามีอำนาจในการทำคดีสูงมาก เรามีสิทธิ์ที่จะขอให้ทุกหน่วยงานให้ความร่วมมืออย่างไม่มีข้อแม้ จริงด้วยสิ พี่จาง พี่ช่วยเดินไปที่ด้านหลังแล้วหยิบอาวุธมาที รายการอาวุธที่พี่เขียนไปได้รับการอนุมัติลงมาแล้วนะ”
ใบหน้าของจ้าวอี้ดูมีความสุข พูดตามตรง ่นี้เขาไม่มีปืนติดตัวเลย และเขาก็ไม่คุ้นเคยกับมันเลยจริงๆ ต้องรู้ว่าตอนที่อยู่กองทัพเขาแทบไม่ได้หลับเมื่อไม่มีปืนอยู่ในอ้อมแขน จนถูกเพื่อนๆ หัวเราะเยาะแล้วบอกว่าเขาแต่งงานกับปืนจนมีปืนเป็ภรรยาแทนแล้ว
จางอี้เฟยเป็ผู้เชี่ยวชาญด้านสรรพาวุธของแผนก ปกติแล้วสถานที่ทำงานของเขาอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่เขียนไว้ว่าโกดัง
ประตูโกดังปิดสนิท ที่นี่อาจเป็สถานที่ซึ่งมีการรักษาความปลอดภัยแ่าที่สุดในแผนก การจะเปิดประตูได้ต้องใช้การสแกนม่านตาและลายนิ้วมือเพื่อยืนยันตัวตนเท่านั้น
ในฐานะเ้าหน้าที่คนหนึ่งของแผนก เป็ธรรมดาที่จ้าวอี้จะมีสิทธิ์เช่นนั้น
“พี่จาง มีของเจ๋งๆ อยู่ที่นี่เพียบเลย!”
ดวงตาของจ้าวอี้เป็ประกายทันทีที่เขาผ่านประตูเข้ามา
พื้นที่ของโกดังใหญ่โตเกินจะจินตนาการ มีพื้นที่หนึ่งพันตารางเมตร อาวุธหลากหลายชนิดวางเรียงอยู่ราวกับของจัดแสดง
และสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับประตูก็คือ เฮลิคอปเตอร์หนึ่งลำ!
ถูกต้อง! คุณไม่ได้ตาฝาดไป นั่นคือเฮลิคอปเตอร์ อีกทั้งยังเป็รุ่นใหม่ล่าสุดในจีนด้วย ตัวใบพัดส่งกลิ่นอายเย็นเยียบของโลหะออกมา
“ฮ่าๆ อิจฉาล่ะสิ ถ้านายว่างก็มาเล่นกับฉันที่นี่ได้นะ”
จางอี้เฟยโบกอาวุธในมือเล่นอย่างชำนาญ บนร่างมีเพียงเสื้อกล้ามหนึ่งตัว กล้ามเนื้อแน่นเต็มไปด้วยาแจากแรงะเิ
เมื่อได้ััส่วนที่เป็โลหะที่คุ้นเคย สีหน้าของจ้าวอี้ฉายชัดถึงความสุขจนปิดไว้ไม่อยู่
“เป็ไง สนใจพี่เบิ้มนี่เหรอ? ลองหน่อยไหม?”
“แน่นอนครับ!”
ในฐานะที่เคยเป็หน่วยรบพิเศษ บินอยู่บนฟ้า วิ่งอยู่บนพื้นดิน ว่ายอยู่ในทะเล จ้าวอี้กลับไม่รู้สึกแปลกใจเลย
“ฮ่าๆ ยังมีเวลาให้นายเล่นอีกเยอะ ลองดูก่อนว่าพอใจกับอาวุธของนายไหม!”
“ได้เลยครับ”
จ้าวอี้เดินไปที่หยุดหน้าโต๊ะ เริ่มหยิบจับอาวุธปืนชนิดต่างๆ ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา
ปืนกลเก็บเสียง 05 เป็หนึ่งในอาวุธที่จ้าวอี้คุ้นเคยที่สุดแล้ว
เขาปลดชิ้นส่วนปืนอย่างรวดเร็ว และหยิบชิ้นส่วนแต่ละชิ้นขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไร จากนั้นจึงประกอบใหม่อีกครั้ง
ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อใจจางอี้เฟย แต่ทหารที่เก่งกาจทุกนายคุ้นเคยกับปืนตามสัญชาตญาณอยู่แล้ว
หลังจากประกอบเสร็จ จ้าวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะลองเล็งดู
“พอตรวจสอบแล้วตรงนั้นมีเป้ายิงอยู่ นายลองทดสอบดู” จางอี้เฟยพูดอย่างเบิกบาน
จ้าวอี้เลือกเป็ปืนพกเก็บเสียงชนิด 06 หลังจากตรวจสอบอีกครั้งแล้ว จ้าวอี้ก็พยักหน้าอย่างพอใจ
“ของดีทั้งนั้นเลย ไม่มีปัญหาแม้แต่นิดเดียว”
“แผนกของเรามีปืนไม่มาก ปกติแล้วคนอื่นเขามีปืนพกกัน ปืนพกกระบอกนี้นายสามารถพกติดตัวได้ เพียงแต่นายต้องเอามาเช็คสภาพอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง รวมทั้งต้องส่งรายงานการใช้ะุด้วย”
“เข้าใจแล้วครับ ถ้าใช้ตอนฝึกจะเป็อะไรไหมครับ?”
จ้าวอี้จับปืนพกแน่นไม่ยอมวาง ปืนพกกระบอกหนึ่งคล้ายจะเล่นกลอยู่ในมือเขา
“ไม่เลย ถ้าจะฝึกซ้อมก็มาหาฉัน ที่นี่มีะุสำหรับฝึกซ้อมอยู่ ะุที่พวกเรามีอยู่มันพิเศษ มีต้นทุนในการผลิตค่อนข้างสูงอยู่ นายเข้าใจนะ”
“โอ้! แล้วมีอะไรแนะนำเพิ่มเติมอีกไหมครับ?”
“อืม ะุทั่วไปไม่มีผลกับสิ่งแปลกประหลาดพวกนั้น จริงๆ แล้วฉันคิดว่าบางทีปืนมันไม่เจ๋งเท่ากับดาบต้นท้อของผอ. หรือมู่อวี๋1ของสามเณรหรอก”
คำอธิบายอย่างคร่าวๆ ของจางอี้เฟยทำให้จ้าวอี้เบ้ปาก แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
“นายสามารถพกปืนและอาวุธอื่นติดตัวได้ นายสามารถเพิ่มอาวุธปืนชนิดอื่นเข้าไปในห้องเก็บปืนพิเศษของนายในโกดังได้ และเอาพวกมันออกมาใช้ตอนที่นายออกไปปฏิบัติหน้าที่ได้เช่นกัน ขั้นตอนพื้นฐานก็ประมาณแบบนี้ ดูนายจะเป็มือปืนที่ดีคนหนึ่งเลยนะ พวกเราสองคนมาลองแข่งกันหน่อยไหม?”
จางอี้เฟยคันไม้คันมือ ในมือของเขามีปืนอยู่เช่นเดียวกัน
“ดีเลยครับ ประกอบปืน เป้าเคลื่อนไหว ห้าสิบนัด?”
จ้าวอี้เห็นดีด้วย พูดตามตรง เขาก็รู้สึกคันไม้คันมือเช่นกัน
“ไม่มีปัญหา”
ในโกดังมีห้องซ้อมยิงปืนในร่มพิเศษอยู่ ทั้งสองคนยืนแยกกัน ตรงหน้าพวกเขามีกองชิ้นส่วนปืนกองหนึ่งวางอยู่
การแข่งขันนี้เริ่มต้นด้วยการประกอบปืน
“เริ่มได้!”
จางอี้เฟยให้สัญญาณ สองคนเริ่มลงมือพร้อมกัน
นิ้วมือของพวกเขายืดหยุ่นเป็พิเศษ พวกเขาประกอบชิ้นส่วนแต่ละชิ้นอย่างรวดเร็ว และมันก็เริ่มเป็รูปเป็ร่างแล้ว
ท่าทางของจ้าวอี้ดูตั้งใจมาก พูดได้เลยว่า แม้จะหลับตาอยู่ เขาก็สามารถทำสำเร็จได้
ปืนสองกระบอกเป็รูปเป็ร่างอยู่ในมือพวกเขา
ในที่สุด ปืนกลของจ้าวอี้ก็มาถึงขั้นตอนสุดท้าย
ปัง ปัง ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
เร็วกว่าตนหนึ่งขั้นตอน
ทันใดนั้น ใจของจ้าวอี้ราวกับถูกบีบคั้น เขาเล็งและยิงออกไป!
ท่าทางของเขาจดจ่อ เป้าเคลื่อนไหวอย่างไร้รูปแบบ
มีเสียงปืนหลายนัดดังขึ้นอีกครา
กลิ่นควันปืนหนาแน่นกระจายอยู่ในห้องซ้อมยิงปืน พัดลมดูดอากาศทำงานอย่างหนักจนส่งเสียงหึ่งๆ ออกมา
ไม่ช้า ะุห้าสิบนัดถูกยิงจนหมด
“458 แต้ม เยี่ยม ยังดีไม่ตก”
จางอี้เฟยพยักหน้าอย่างพอใจ ขณะเดียวกันก็หันไปมองคะแนนของจ้าวอี้ 451 แต้ม
จ้าวอี้แพ้แล้ว
“พี่จางเก่งมากเลย!”
จ้าวอี้ยกนิ้วโป้งให้
จ้าวอี้คิดว่าการยิงเป้าเป็จุดแข็งของตน แต่เขากลับแพ้ให้จางอี้เฟย
“จ้าวอี้ ไม่เป็ไรนะ ถ้านายอยู่กับพวกมันทุกวันแบบฉันล่ะก็ นายต้องเก่งกว่าฉันแน่ๆ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ถ้าวันไหนฉันได้ยิงไม่ถึงร้อยนัด ฉันจะคันไม้คันมือมาก แล้วมันก็เป็ความสุขของฉันด้วย ฮ่าๆ”
จางอี้เฟยขยิบตาให้จ้าวอี้ ไม่อาจปกปิดความภูมิใจของตนไว้ได้
ไม่มีผู้ชายคนไหนไม่ชอบปืน
ในใจจ้าวอี้ไม่มีความรู้สึกพ่ายแพ้อยู่เลย
กองกำลังพิเศษไม่ได้ศึกษาแค่อาวุธอย่างเดียว แต่สนใจทักษะอื่นๆ ที่ครอบคลุมด้วย และในกองทัพนั้น ถ้าเก่งแค่อาวุธอย่างเดียวก็มักจะเป็พวกไก่อ่อน
ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ มีผู้แข็งแกร่งอยู่ทุกที่ในกองทัพ ไม่ว่าจะอยู่ในห้องครัวหรืออยู่ในห้องจ่ายเสบียงก็ตาม
กิจกรรมประจำวันของพวกเขาไม่ได้ง่ายไปกว่าการฝึกของเหล่าทหารที่ทำกันเป็ปกติเลย ออกจะหนักกว่าด้วยซ้ำ เมื่อเวลาผ่านไป พละกำลังของพวกเขาย่อมแข็งแกร่งขึ้นเป็ธรรมดา
ชายหนุ่มจากกองทัพสองคนคุยกันเื่ปืน เป็หัวข้อที่ทำให้พวกเขามีความสุขมากกว่าเื่ผู้หญิง
“ถ้าให้พูดล่ะก็ ปืนพกชนิด 92 เสถียรกว่าเล็กน้อย...”
“เื่นี้เห็นด้วยเลย...”
คนสองคนพูดคุยกันอย่างมีความสุขจนเกือบลืมอาหารกลางวัน กระทั่งเสียงท้องร้องดังขึ้นถึงนึกขึ้นมาได้
มีเพื่อนร่วมงานที่ไม่รู้จักอีกสองสามคนอยู่ในโรงอาหาร ตามที่เซี่ยตันได้แนะนำไว้ พวกเขาเป็สมาชิกของหน่วยย่อยหน่วยอื่นที่เพิ่งกลับมาจากการทำภารกิจ
อาหารอุดมสมบูรณ์เหมือนเคย จ้าวอี้พอใจในจุดนี้มาก มันต่างกันราวฟ้ากับเหวถ้าให้เทียบกับในกองทัพ
“จ้าวอี้ อีกเดี๋ยวออกไปกับฉันหน่อย ไม่ต้องพกอาวุธนะ”
รถมุ่งหน้าไปทางชานเมือง เซี่ยตันค่อนข้างเงียบ จ้าวอี้มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่เปลี่ยนไปตลอดก่อนจะถามขึ้น “หัวหน้าครับ พวกเราจะไปที่ไหนกันเหรอครับ?”
“ไปเรือนจำ”
เรือนจำเมือง J ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง กำแพงสูงตระหง่านเต็มไปด้วยรั้วลวดหนาม ห่างไปไม่ไกลมียามรักษาการณ์ยืนอยู่ การตรวจตราของที่นี่เข้มงวดอย่างมาก
“เ้าหน้าที่เซี่ย คุณมาที่นี่อีกแล้ว มาหาเซวียิ่สินะครับ?”
ผู้คุมดูเหมือนจะคุ้นเคยกับเซี่ยตันเป็อย่างดี หลังจากลงทะเบียนเสร็จ พวกเขาแค่มองใบรับรองคร่าวๆ แล้วก็ปล่อยให้ผ่านแล้ว
“ผู้เข้าเยี่ยมไม่ใช่ว่าต้องอยู่ที่ห้องรับรองเหรอ?”
จ้าวอี้ค่อนข้างประหลาดใจ ที่ที่เซี่ยตันไปไม่ใช่ห้องรับรอง แต่ต้องผ่านห้องสอบสวนแล้วจึงไปที่ส่วนเรือนจำ
นักโทษในส่วนเรือนจำกำลังออกกำลัง พวกเขารวมกลุ่มสองสามคน นี่เป็โอกาสที่หาได้ยาก พวกเขามองเซี่ยตันซึ่งเป็ผู้หญิงเดินเข้ามา ผู้กล้าบางคนผิวปากและถูกคนแก่ที่อยู่ข้างๆ ห้ามทันที จากนั้นพวกเขาก็กระซิบอะไรบางอย่างกัน นำมาซึ่งสายตาเกรงกลัว
“นี่คือเซวียิ่ เด็กหนุ่มที่ฉันเล่าให้นายฟังเมื่อคืน เขาพิเศษมาก...พิเศษจนฉันอยากมาเจอเขา แต่ฉันทำได้เพียงเข้ามาที่นี่เพื่อมองเขา”
เซี่ยตันพูดอย่างใส่ใจ
ความสงสัยของจ้าวอี้ที่อยู่ในใจยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เมื่อเดินเข้าไปด้านในสุด จ้าวอี้ก็ค้นพบว่า เขาจินตนาการถึงเซวียิ่ไว้ธรรมดาเกินไป
ในบังกะโลเดี่ยวมียามสองคนเข้าเวรอยู่
หลังตรวจสอบสถานะของทั้งสองอีกครั้ง ประตูลิฟต์ไปชั้นใต้ดินก็ถูกเปิดออก
ทันใดนั้นก็มาถึงชั้นใต้ดิน
ลิฟต์หยุดลง จ้าวอี้คาดการณ์ว่า มันน่าจะอยู่ใต้ดินลึกลงมาประมาณหนึ่งร้อยเมตร
อุโมงค์ใต้ดินทอดยาวแต่ไม่มืดสลัว มันสว่างด้วยแสงจากหลอดไฟ และมียามยืนประจำตำแหน่งอยู่เช่นกัน
การป้องกันอย่างแ่าทำให้จ้าวอี้ลอบตระหนก การป้องกันแบบนี้เทียบได้กับสถาบันวิจัยลับขนาดใหญ่บางแห่งเลยทีเดียว
นักโทษคนเดียวจำเป็ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ?
ขณะที่จ้าวอี้กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เซี่ยตันก็พาเขาเดินเข้าไปในห้องหนึ่ง
แก้วที่วางอยู่บนโต๊ะแสดงให้พวกเขาเห็นภาพทุกอย่างตรงหน้าโดยไม่ต้องกล่าวอะไร
คุกที่ไหนกัน? นี่มันห้องทดลองชัดๆ เลย!
ท่าทางของเด็กหนุ่มที่สวมชุดกาวน์ยับๆ ดูตั้งใจและบ้าคลั่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเซียว และเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยสะดุดตาใครหลายคน ทำให้ผู้คนต้องหันมาสนใจเขา
ข้างกายเขายังมีผู้ช่วยที่อายุไล่ๆ กันกับเขาอีกสองคน ทั้งคู่ยุ่งอยู่ตลอดเวลา
“ตอนนี้เซวียิ่พบแขกได้ไหม?”
ข้างนอกห้อง เซี่ยตันถามผู้คุม
“ขอโทษด้วยครับ ดอกเตอร์เซวียบอกการทดลองวันนี้สำคัญมาก ห้ามให้ใครมารบกวน ถ้าคุณอยากพบเขาเกรงว่าจะต้องรอแล้วล่ะครับ”
ผู้คุมส่ายหน้า ปฏิเสธคำขอของเซี่ยตัน
“ดูท่าเราจะโชคไม่ดี เซวียิ่ยุ่งอยู่ ฉันเกรงว่ามันอาจจะดึกมาก”
เซี่ยตันพูดกับจ้าวอี้ด้วยความเสียดาย
“ดอกเตอร์เซวีย? เขาไม่ใช่?”
จ้าวอี้ถามอย่างปิดความสงสัยไว้ไม่อยู่
“นายเชื่อไหมว่ามีอัจฉริยะอยู่บนโลกนี้ด้วย? คนตรงหน้านายก็เป็หนึ่งในนั้น เขาแสดงออกถึงพร์ในการเรียนรู้ที่น่าทึ่งั้แ่เข้าสถานพินิจ เขาใช้เวลาเพียงสองปีในการสำเร็จทุกหลักสูตรั้แ่ระดับประถมถึงมัธยม และจบปริญญาตรีด้านคอมพิวเตอร์ในอีกสองปีต่อมา ตอนนี้ระบบรักษาความปลอดภัยโดยการเปรียบเทียบใบหน้าคือความสำเร็จของเขาในปีที่ห้า ไม่กี่ปีมานี้เขาได้ศึกษาเื่ชีววิทยาและฟิสิกส์ด้วย มีศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยสุ่ยมู่ฟางมาสอนเขาด้วยตัวเอง เมื่อปีก่อนเขาเพิ่งได้ปริญญาเอก...เป็ไง? สุดยอดไหม?”
ดวงตาของเซี่ยตันเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ราวกับได้รับความสำเร็จด้วยตัวเธอเอง
สุดยอด!
จ้าวอี้พยักหน้า ความสำเร็จเช่นนี้ถือว่าสุดยอด! เกรงว่าต้องใช้พร์มาอธิบายถึงอัจฉริยะเท่านั้น
“ปัจจัยในเรือนจำดีขนาดนี้เลยเหรอครับ? แถมยังเรียนหนังสือได้ด้วย?”
“แน่นอน ถ้าเป็สถานพินิจเรียนหนังสือได้แน่ เขาถูกย้ายมาที่เรือนจำแห่งนี้ตอนเขาโตเป็ผู้ใหญ่แล้ว เบื้องบนได้ถกเถียงกัน แล้วตัดสินใจให้เขาได้มีโอกาสเรียนหนังสือต่อ นี่ก็เป็ผลจากความพยายามของตัวเขาเองเช่นกัน”
“ผมคิดว่าั้แ่เขาวิจัยระบบเปรียบเทียบใบหน้า มันถือเป็การทำความดีอย่างหนึ่งนะครับ แต่ทำไมการป้องกันถึงแ่าขนาดนี้?”
--------------------------
1 อุปกรณ์ประกอบการให้จังหวะการสวดมนต์ของพระจีน