แม้จะเดาได้ว่าเมื่ออู๋อู๋รู้ว่าคุณป้าหยางได้ออกสื่อ หล่อนคงอารมณ์เสีย แต่ชั่วขณะหนึ่งที่ซูอินกลับรู้สึกยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น ก่อนจะหันไปสนใจเื่เรียนต่อ
ซูอินไม่ต่างอะไรกับเด็กสาววัยเดียวกัน ชอบเสื้อผ้าสวยๆ ขนมอร่อยๆ ในขณะที่ความคิดของผู้ปกครองและสังคมต่างบอกว่า หน้าที่สำคัญที่สุดของนักเรียนคือเรียนหนังสือ
ตอนนี้เธอรู้โจทย์ข้อสอบเข้ามัธยมปลายแล้ว แรงกดดันระลอกสุดท้ายที่โถมเข้ามาจึงไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเครียด อย่างไรก็ตามความรู้ของมัธยมต้นถือเป็พื้นฐานสำคัญในระดับมัธยมปลาย ภายภาคหน้ายังต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย หากไม่เรียนตอนนี้ ต่อไปต้องเรียนเสริมแน่ๆ ในเมื่อตอนนี้อยู่ในห้องเรียน หากใจลอยย่อมถูกครูจับได้ ดังนั้นควรใช้โอกาสนี้ตั้งใจเรียนดีกว่า
เมื่อปรับอารมณ์ได้แล้ว เธอจึงจดจ่อกับการเรียน
จากที่ได้ทบทวนในห้องเรียนและศึกษาด้วยตัวเอง เธอได้แทรกเนื้อหาส่วนที่ค่อนข้างสำคัญให้แก่สวีเหวินเหวินด้วย
“จากการที่พวกเราได้ทำข้อสอบจริงใน่หลายปีที่ผ่านมา โจทย์ประเภทนี้มักออกสอบบ่อย และมีคะแนนเยอะ เมื่อมีเวลาไม่มากพอ ก็ไม่สามารถเรียนเนื้อหาได้ครบ แต่ถ้าเธอเข้าใจโจทย์พวกนี้ก็จะจับประเด็นได้ดีขึ้น”
คำพูดเหล่านี้ทำให้สวีเหวินเหวินตกตะลึงไปชั่วขณะ เด็กสาวดีใจมากกับโอกาสที่มาถึงคุณแม่ เธอเต็มไปด้วยความคาดหวังในอนาคต จึงตั้งใจเรียนด้วยพลังและประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม
เดิมที่ต้องอธิบายสี่ถึงห้ารอบ พูดซ้ำหลายครั้งถึงจะทำให้เธอจำโจทย์ได้ แต่ในตอนนี้อธิบายรอบเดียวก็เข้าใจแล้ว
ซูอินซึ่งทำหน้าที่เป็เหมือนคุณครูรู้สึกภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น
และมีเื่อื่นที่ทำให้เธอภูมิใจยิ่งกว่าเดิม
“ฉันคิดว่าสิ่งที่เธอพูดมีเหตุผลมาก”
จู่ๆ มีศีรษะแทรกเข้ามาทางด้านหลังระหว่างเธอกับสวีเหวินเหวิน เป็ใบหน้าของเด็กสาวที่เย่อหยิ่งและพูดด้วยท่าทีว่าตนเองได้รับผลประโยชน์ด้วย “พูดต่อสิ ฉันจะฟังด้วย”
“อวี๋ฉิง”
เด็กสาวที่มีท่าทีอวดดีพยักหน้าก่อนเอ่ยด้วยความสงสัย “ซูอิน เธอทำท่าแบบนั้นหมายความว่ายังไง ทำไม เธอไม่รู้จักฉันหรือ”
ซูอิน…จำเพื่อนที่นั่งข้างหลังคนนี้ไม่ค่อยได้
หลังจากเกิดใหม่มาหลายวันเธอทุ่มเทเวลาไปกับการเรียน นอกจากเงยหน้ามองกระดานดำ ก็ก้มหน้าก้มตาทำการบ้าน เมื่อก่อนเธอมีนิสัยน่าเบื่อ ปกติไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้น ั้แ่ประถมจนถึงมัธยมต้น ผ่านไปเก้าปีด้วยความเคยชิน คนอื่นจะไม่เข้ามาคุยกับเธอหากไม่มีธุระ
หลายวันที่ผ่านมานอกจากสวีเหวินเหวินซึ่งเป็เพื่อนร่วมโต๊ะ เพื่อนนักเรียนที่เธอเคยคุยด้วยก็คือซุนเจี้ยน และเป็การสนทนาที่ไม่ค่อยน่ายินดีเท่าไร
เพื่อนที่นั่งโต๊ะหลังคนนี้…เธอไม่เคยคุยด้วยเลย จำได้รางๆ ว่าอีกฝ่ายมีนิสัยเย่อหยิ่ง และเหมือนจะไม่ค่อยชอบเธอด้วย แต่ก็ไม่เคยทำอะไรเธอ ทำให้ซูอินสบายใจขึ้น เธอหันไปพูดอย่างเป็ธรรมชาติ “ใช่ เหมือนว่าพวกเราไม่ได้คุยกันนาน ก็เลยไม่ค่อยชินน่ะ”
สีหน้าของอวี๋ฉิงแสดงความประหม่า สักครู่ก็กลับมาดูเย่อหยิ่งอีกครั้ง “ถ้างั้นตอนนี้ฉันจะให้โอกาสเธอได้คุยกับฉัน”
“พรืด”
ซูอินอดหัวเราะไม่ได้ เธอมองออกว่าอวี๋ฉิงไม่มีเจตนาร้าย
คำพูดคำจาอาจดูไม่มีความเกรงใจ ความจริงคนที่ปากหวานปานน้ำผึ้งต่างหากคือคนที่มีแต่ของเน่าเสียเต็มท้อง เป็คนที่เธอควรระวังมากที่สุด
เธอชี้ไปยังที่นั่งด้านข้าง มองตาอวี๋ฉิงที่แสดงท่าทีหงุดหงิดก่อนจะบอกว่า “ยืนแบบนั้นคงเมื่อย มานั่งข้างๆ สิ ฉันจะได้อธิบายให้พวกเธอฟังพร้อมกัน”
“ฮึ ถือว่าเธอยังรู้ตัว ให้ฉันไม่ต้องยืนนานจนรองเท้าคู่ใหม่พัง”
รองเท้าคู่ใหม่?
โรงเรียนมัธยมทดลองมีเครื่องแบบนักเรียนเหมือนกันหมด ทุกวันจะมีนักเรียนทำหน้าที่ตรวจตราเครื่องแต่งกายอยู่หน้าประตูโรงเรียน สิ่งที่จะแยกความแตกต่างของนักเรียนมีเพียงรองเท้า
ที่แท้เพื่อนนักเรียนที่นั่งอยู่ด้านหลังคนนี้ก็เป็คนรวยหรือ
ซูอินมองรองเท้าของอีกฝ่ายขณะที่กำลังยกเก้าอี้มา ทำให้เห็นรองเท้าที่เมื่อกี้ซ่อนอยู่หลังโต๊ะ
รองเท้าคู่นั้นคุ้นตามาก เพราะเมื่อชาติก่อนในงานเลี้ยงวันเกิด อู๋อู๋ได้ซื้อรองเท้าแบบเดียวกันนี้ให้หลิงเมิ่งเป็ของขวัญ แต่คนละสี ในขณะที่ซื้อให้เธอเป็เพียงรองเท้าตามแผงลอยราคายี่สิบหยวน
ตอนนั้นหลิงเมิ่งมองเธอด้วยท่าทีโอ้อวด และบอกว่านี่คือความแตกต่างระหว่างเราสองคน
“วาเลนติโน่หรือ”
“อืม รู้จักด้วยหรือ ราคาตั้งห้าพันหยวนเชียวนะ คุณลุงของฉันซื้อให้เป็ของขวัญวันเกิด”
ห้าพันหยวน…เมื่อวานเธอยังดีใจแทบตายกับเงินห้าพันหยวน แต่รองเท้าที่ดูธรรมดาของเพื่อนนักเรียนที่นั่งโต๊ะข้างหลังเธอกลับมีราคาตั้งห้าพันหยวน ครู่หนึ่งที่ซูอินรู้สึกว่าตนเองช่างอ่อนแอ ในขณะเดียวกันก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลายคนจึงเกลียดคนรวย
น่าเยาะเย้ยเสียจริง
สวีเหวินเหวินใจนอ้าปากค้าง ส่วนซูอินพูดออกมาแห้งๆ “เธอมีคุณลุงที่ดีนะ”
“แน่นอน เอาละ รีบอธิบายโจทย์เถอะ หากทำให้ฉันสอบได้คะแนนเยอะขึ้นอีกนิด ฉันจะให้คุณลุงซื้อให้เธอคู่หนึ่ง”
ซูอินได้แต่ยิ้มแห้ง
เธอไม่กล้าฝันถึงรองเท้าราคาแพงขนาดนั้นหรอก แม้ว่าอวี๋ฉิงจะแสดงท่าทีเย่อหยิ่งเหมือนกับหลิงเมิ่ง แต่ซูอินกลับไม่รู้สึกเกลียด อย่างไรเสียเธอก็ต้องอธิบายอยู่แล้ว หากมีคนฟังเพิ่มอีกคนก็ไม่เห็นเป็ไร
“แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา…”
หลังจากผ่าน่พักของคาบแรก อวี๋ฉิงก็เกาะติดพวกเธอ ทุกครั้งที่เธออธิบายโจทย์ต่างๆ ให้สวีเหวินเหวิน อวี๋ฉิงก็จะยกเก้าอี้เข้ามาร่วมฟังด้วย
ไม่นานซูอินก็รู้ว่าทำไมเธอจึงไม่รู้สึกไม่ชอบอวี๋ฉิง
ฝนที่ตกเมื่อคืนเพิ่งหยุด สนามกีฬายังไม่แห้ง อวี๋ฉิงสวมรองเท้าราคาแพงลงจากอาคารเรียน ะโโลดเต้น หลังจากเพลงจบรองเท้าสีขาวราวกับหิมะก็เปื้อนโคลนที่กระเด็นขึ้นมา
“รองเท้าราคาแพงขนาดนั้น…”
“นี่ มันก็แค่รองเท้า ซื้อมาก็เพื่อใส่ กลับบ้านไปเช็ดก็สะอาดแล้ว”
คำพูดเรียบง่ายประโยคนั้น ทำให้เธอได้รู้ว่าอวี๋ฉิงไม่เหมือนหลิงเมิ่ง สองคนเกิดในครอบครัวร่ำรวยเหมือนกัน ใช้ชีวิตหรูหรา เป็เด็กสาวที่มีนิสัยเย่อหยิ่ง หลิงเมิ่งนั้นเป็คนหน้าซื่อใจคด ในขณะที่อวี๋ฉิงมีความจริงใจ
“ฉันไม่สนใจหรอก เอาละ รีบอธิบายโจทย์เถอะ ฉันรู้สึกว่าเธออธิบายดีกว่าครูเสียอีก ฟังแล้วเข้าใจ”
คำชมที่ตรงไปตรงมาทำให้ซูอินเงยหน้า และยิ้มให้อวี๋ฉิงที่ขยับเก้าอี้เข้ามา
อวี๋ฉิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มตอบเช่นกัน
มันเป็สิ่งเรียบง่าย แต่ทั้งคู่รับรู้ได้ถึงมิตรภาพที่เติบโตขึ้นในหัวใจ
นอกจากสวีเหวินเหวิน เธอก็มีเพื่อนเพิ่มอีกหนึ่งคน ออกจากตระกูลหลิงอย่างราบรื่น ได้เจอเพื่อนที่จริงใจ ชีวิตค่อยๆ ดีขึ้น ทำให้ซูอินมีความสุขจากใจจริง
และแน่นอนว่าย่อมมีเื่ที่เธอไม่มีความสุข
คาบสุดท้ายของ่บ่ายคือวิชาภาษาจีน
ภาษาจีนเป็วิชาแรกในการสอบข้อสอบจำลอง ถึงตอนนี้ข้อสอบทั้งหมดได้รับการตรวจครบแล้ว หลังจากนับคะแนน กระดาษข้อสอบก็ส่งกลับไปแต่ละห้องเรียน
หลังจากแจกกระดาษข้อสอบ เป็ไปตามที่คิดไว้ เธอทำคะแนนแย่กว่าปกติมาก
หากเป็อดีตครูที่ปรึกษาอย่างหลี่อวี้จือ คงเรียกเธอออกไปตำหนิต่อหน้าคนอื่น และไล่ออกไปยืนที่ทางเดินหน้าห้องอย่างแน่นอน
แต่หลินซิ่วผู้ทำหน้าที่สอนวิชาภาษาจีนและเป็ครูที่ปรึกษาชั่วคราวกลับไม่พูดอะไรในคาบเรียน หลังจากแจกข้อสอบคืนก็กำชับให้ทุกคนทบทวนด้วยตัวเอง ก่อนจะเรียกเธอไปพบที่ห้องพักครูเป็การส่วนตัว
“นักเรียนซูอิน ไม่ต้องกังวลไปนะ”
ซูอินยืนเรียบร้อยอยู่หน้าโต๊ะด้วยสีหน้าสงบ “ครูคะ ครูอารมณ์ดีกว่าครูหลี่มาก หนูไม่รู้สึกกังวลเลยค่ะ”
หลินซิ่วถูกหลี่อวี้จือขัดแข้งขัดขามาหลายปี ต่อให้เธออารมณ์ดีแค่ไหนก็อดขุ่นเคืองใจไม่ได้ แต่เมื่อได้ยินคำชื่นชมเช่นนั้น น้ำเสียงของเธอก็อ่อนลง
“ที่ครูเรียกเธอมาก็เพื่อคุยเื่ข้อสอบจำลอง…”
ขณะนั้นเองอู๋อู๋ได้เดินทางมาที่โรงเรียนมัธยมทดลอง
โรงพยาบาลเลิกงานเร็วกว่าโรงเรียนมัธยมทดลองหนึ่งชั่วโมง ตลอดทั้งวันอู๋อู๋รู้สึกว่าหันไปทางไหน เพื่อนร่วมงานก็พากันหัวเราะเยาะจนเธอแทบบ้า
เธอโยนความผิดทุกอย่างไปที่ซูอิน หากไม่ได้เป็อะไร เธอจะไปโรงพยาบาลทำไม
หลังจากเลิกงานเธอไม่ได้กลับบ้าน แต่นั่งรถแท็กซี่ตรงไปยังโรงเรียนมัธยมทดลอง เมื่อลงทะเบียนที่หน้าประตูแล้ว เธอก็ตรงไปที่อาคารสำนักงานทันที