เมื่อได้ฟังผู้เป็นายพูดเช่นนี้ เพ่ยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะออกมา “หากจวิ้นจู่น้อยล่วงรู้เข้าว่า พระชายาตรัสเช่นนี้ นางจะต้องกริ้วมากแน่เพคะ”
“ก็มันเื่จริงนี่นา ลูกสาวของเปิ่นเฟย เปิ่นเฟยจะไม่รู้ได้หรือว่า นางน่ะเป็เ้าปีศาจน้อยชัดๆ ” อวิ๋นซียิ้มขณะเดินออกไปนอกประตู ทว่า เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงหวานหว่านลอยมา “ที่แท้ท่านแม่ก็รังเกียจลูกถึงเพียงนี้”
อวิ๋นซีได้ยินก็ยิ้มมองหวานหว่านที่มีสีหน้าไม่พอใจ นางหัวเราะหึหึ ก่อนจะหยิกพวงแก้มน้อยๆ ของบุตรสาว “หรือเ้าคิดจะเลี้ยงกระต่ายขาวน้อยจริงๆ ? ”
“หากข้าไม่เลี้ยงกระต่ายขาวน้อย เช่นนั้นก็ต้องได้เลี้ยงงูเขียวใบไผ่” หวานหว่านเชิดหน้าน้อยๆ ขึ้นพูด “จะอย่างไรก็แล้วแต่ ข้าไม่อยากกลับไปมือเปล่า มิเช่นนั้นข้าจะไปหาเสด็จปู่ ให้พระองค์ส่งคนไปจับเสือน้อยมาให้ข้า”
คิดถึงเสือน้อย หวานหว่านก็ยิ้มออกมาทันที “ใช่แล้ว ท่านแม่ ข้าจะเลี้ยงเสือน้อย หากได้เลี้ยงมันต้องดูองอาจมากแน่”
อวิ๋นซีเหงื่อตก “ไม่ได้ ข้าจะให้เสด็จพ่อเ้าจับกระต่ายน้อย ไม่ก็จิ้งจอกน้อยมาให้เ้า” เ้าเด็กคนนี้จริงๆ เลย เดี๋ยวก็งูเขียวใบไผ่ เดี๋ยวก็เสือ คนช่างกล้าจนน่ากลัวจริงๆ
เมื่อหวานหว่านได้ยินคำตอบที่น่าพอใจ นางก็ยิ้มพยักหน้า ทั้งยังคิดไปว่า มารดาตนช่างขวัญอ่อนนัก ดูท่าครั้งหน้าตอนที่อาจารย์ปู่รองส่งจดหมายมา นางจักต้องขอให้เขานำเสือมาให้สักสองตัว
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ปู่รองได้บอกแก่นางว่า ตอนนี้ศิษย์น้องน้อยของเขาถูกท่านตาของนางล่อลวงกายและใจไปแล้ว เขาจึงสามารถวางใจให้กลับมาเมืองหลวงได้ และแม้หวานหว่านจะรู้ดีว่า สิ่งที่อาจารย์ปู่รองพูดนับว่าไม่ถูกต้องนัก แต่เพื่อลูกเสือน้อย เอาเป็ว่านางเห็นด้วยกับคำพูดเขาก็แล้วกัน
อวิ๋นซานที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงไม่ได้รู้เลยว่า ภาพลักษณ์ของตนในใจของหลานสาวไม่สามารถเทียบได้กับเ้าเสือน้อยสองตัว อวิ๋นซีเองก็ไม่รู้สิ่งที่ลูกสาวตนกำลังคิดอยู่ในใจ ไม่ได้รู้เลยว่า ในใจของลูกสาวนางกลายเป็คนขี้ขลาดไปแล้ว
“ท่านแม่ พวกเราจะไม่เข้าไปในป่าลึกเพื่อล่าสัตว์เลยจริงๆ หรือเ้าคะ? ไม่ง่ายเลยนะที่จะได้มาที่นี่สักครั้ง พวกเราไปกับพวกเขาได้หรือไม่เ้าคะ? ” อันที่จริงในใจหวานหว่านอดไม่ได้ให้รู้สึกเสียดายเป็อย่างมาก ความเสียดายนี้เป็เพราะเมื่อเช้าหลังจากที่ได้ยินท่านอาเชี่ยนเอ๋อร์กล่าว นางก็คิดว่าหากพลาดไปก็จะกลายเป็ความเสียดายที่ไม่อาจชดเชยได้
นี่เป็การล่าสัตว์ครั้งแรกหลังจากที่นางกลับมาเมืองหลวงนะ ความหมายมันผิดกัน
อวิ๋นซีมองความหวังที่เปล่งประกายอยู่เต็มดวงตาของบุตรสาว นางยิ้ม ลูบศีรษะบุตรสาว ก่อนจะพูดว่า “หากเ้าอยากจะเข้าไปจริงๆ เช่นนั้นแม่ก็จะไปพูดกับเสด็จปู่ให้เ้า จากนั้นพวกเราก็นำคนไปจำนวนหนึ่ง และอยู่ล่าสัตว์ด้วยกันแค่บริเวณรอบนอก”
เมื่อคืนจวินเหยียนบอกว่า บริเวณรอบนอกมีแต่พวกสัตว์ที่อ่อนโยนอย่างกระต่ายขาวน้อย หรือจิ้งจอกน้อย หากว่าไปแล้วไม่ได้เข้าไปในป่าลึกก็ไม่นับเป็อะไร ดังนั้น เมื่อได้ยินลูกสาวเซ้าซี้อยู่หลายครั้งหลายคราเช่นนี้ หากไม่พาไปสักหน่อยก็คงไม่ค่อยดีนัก
อีกทั้ง แม้หวานหว่านจะยังอายุน้อย แต่ก็เริ่มเรียนยิงธนูมาั้แ่ตอนอายุสี่ขวบ
เมื่อหวานหว่านได้ยินว่าสามารถไปล่าสัตว์ได้จริงๆ ถึงแม้จะเป็แค่บริเวณรอบนอกก็เถอะ แต่นางก็พอใจมากแล้ว พอคิดได้ก็ไม่รั้งรอ เด็กตัวน้อยลากมืออวิ๋นซีออกไปด้านนอก “ดีเลย ท่านแม่ เร็วเข้า พวกเราไปหาเสด็จปู่กันเถิด”
อวิ๋นซีถูกหวานหว่านทั้งดึงทั้งลากออกไปจากเรือนเล็ก เมื่อออกไปก็บังเอิญพบเชี่ยนเอ๋อร์ที่กำลังจะเข้ามาพอดี ในตอนนี้เด็กสาวถึงได้รู้ว่าสองแม่ลูกกำลังจะพากันไปบริเวณรอบนอกของลานล่าสัตว์ เมื่อได้รู้แล้ว นางก็มีใจคิดอยากจะเล่นสนุกขึ้นมา จึงได้ขอติดตามไปด้วย
สำหรับการขอเข้าร่วมล่าสัตว์ของเชี่ยนเอ๋อร์นี้ แน่นอนว่าอวิ๋นซีไม่ปฏิเสธ
คนทั้งสามไปหยุดอยู่เบื้องพระพักตร์ของเสี้ยวเหวินตี้ อวิ๋นซียอบกายคารวะก่อน จากนั้นเด็กน้อยและเชี่ยนเอ๋อร์ที่ตามอยู่เื้ัก็ยอบกายคารวะเช่นกัน
วันนี้เสี้ยวเหวินตี้ไม่ได้พาผู้คนออกไปล่าสัตว์ด้วยตนเอง แต่ได้มอบหน้าที่นี้ให้จวินเหยียนและคนอื่นๆ นำไปแทน ทั้งยังไม่ลืมที่จะให้คนแบ่งเป็สองสามกลุ่มเพื่อร่วมแข่งขันล่าสัตว์ เมื่อสิ้นสุดการแข่งขันก็ค่อยมาดูว่าใครบ้างที่สามารถล่าสัตว์ได้มากที่สุด ก็จะมีรางวัลให้อย่างงาม เสี้ยวเหวินตี้ยิ้มมองคนทั้งสาม ก่อนจะหันไปพูดกับถงไห่ “เจิ้นก็ว่า เหตุใดพวกนางสองแม่ลูกถึงได้มีความอดทนเพียงนี้ ดูสิ มาแล้วนี่ไง”
อวิ๋นซีเหงื่อตก นางคิด ก่อนพวกนางจะมาถึง เสี้ยวเหวินตี้คงตรัสเื่ของนางกับหวานหว่านให้ถงไห่ฟังกระมัง ดูท่าในสายพระเนตรของพระองค์ ตัวนางคงเป็คนที่อยู่นิ่งไม่ได้ ถึงกระนั้นก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดี นิสัยนี้เป็มาแต่กำเนิด ต่อให้อยู่ในราชวงศ์นางก็ไม่เคยคิดที่จะแอบซ่อนความเป็ตัวตนไว้ เมื่อก่อนนางต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างคนเป็ทุกข์มากเกินไป ตอนนี้นางจึงคิดเพียงว่า อยากจะใช้ชีวิตตามความคิดในใจตนเท่านั้น
อันดับแรกนางจะต้องไม่ปล่อยให้ตนต้องมีชีวิตอยู่อย่างอึดอัดเกินไป อย่างไรเสีย นางก็มีวิธีที่จะทำให้เสี้ยวเหวินตี้และไทเฮาไม่เกิดความรู้สึกรังเกียจรำคาญ เพราะนิสัยเหล่านี้ของตน
นางอมยิ้มพูด “เสด็จพ่อ ไม่ใช่ว่าพระประสงค์ของพระองค์คือการมาล่าสัตว์หรือเพคะ บรรพบุรุษตระกูลโอวหยางของเราสร้างประเทศขึ้นมาได้จากหลังม้า ครานี้อาซีและหวานหว่านมีโอกาสได้มาเยือนลานล่าสัตว์แห่งนี้ทั้งที หากจะมีความคิดที่อยากจะเข้าไปล่าสัตว์บ้างก็เป็เื่ปกติ หวังว่าเสด็จพ่อจะพระทัยกว้าง เห็นใจพวกเราสักครั้งเพคะ”
เสี้ยวเหวินตี้ถึงกับหัวเราะฮ่าฮ่า เขาพูด “ดูปากน้อยๆ นี่สิ เจิ้นสงสัยจริงๆ ว่า ยามปกติตอนที่เ้าอยู่ในจวนอ๋องก็พูดจาเช่นนี้กับเ้ารองเหมือนกันหรือเปล่า” หากเป็เช่นนี้ ลูกชายของตนคนนั้นจะพูดสู้อวิ๋นซีได้หรือ
แค่หลับตาลงก็พอจะคิดได้แล้ว เดิมทีลูกชายก็เป็คนที่รักใคร่ในตัวภรรยามาก ไม่อาจทำใจให้นางได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจได้ ดังนั้น คนย่อมไม่มีทางพูดจาเสียงดังกับภรรยาแน่ เมื่อคิดถึงว่าลูกชายของตนเป็คนกลัวภรรยา ถึงแม้ในใจของเสี้ยวเหวินตี้จะรู้สึกไม่ดีนิดหน่อย แต่ก็ไม่อาจไม่พูดได้ว่า เขาอิจฉาลูกชายที่มีภรรยาที่ตนยินดีจะยอมอ่อนข้อให้ด้วยได้เช่นนี้
นี่คือสิ่งที่กาลก่อนเขาเคยปรารถนา น่าเสียดายที่เขาไม่มีความกล้าเช่นเดียวกับลูกชาย เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็โบกมือพลางพูดว่า “ไปเถอะ อย่าเข้าไปในป่าลึก อยู่แค่บริเวณรอบนอกเป็พอ” พูดจบ เขาก็สั่งถงไห่ให้จัดคนตามพวกนางไป ทั้งยังย้ำด้วยว่าต้องปกป้องชายาหนิงอ๋องและคนอื่นๆ ให้ดี
ตอนที่อวิ๋นซีเดินออกมาก็ได้ยินเสี้ยวเหวินตี้ตรัสเช่นนี้พอดี พูดตามตรง ณ ตอนนั้นความรู้สึกในใจนางเรียกได้ว่าสับสนมากจริงๆ ถึงกระนั้นนางเองก็รู้ ความคิดของเสี้ยวเหวินตี้ผู้นี้คาดเดาได้ยาก เขาไม่เสียดายลูกชายของตนสักนิดเลยจริงๆ หรือ?
หากเสียดายจริงๆ เื่มากมายเขาย่อมทำเป็มองไม่เห็นได้...
อวิ๋นซีนำหวานหว่านขี่ม้าเข้าไปในป่า ก่อนที่ฮูหยินหลายคนที่ติดตามสามีมาร่วมงานล่าสัตว์นี้ด้วยเห็นอวิ๋นซีนำหวานหว่านและเชี่ยนเอ๋อร์มา พวกนางก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้น เพียงไม่นานเดิมทีที่ควรจะเป็ขบวนล่าสัตว์ของคนสามคน สุดท้ายก็มีคนมาร่วมด้วยถึงยี่สิบคน
ด้วยเื่นี้ ถึงแม้ในใจอวิ๋นซีจะไม่พอใจ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ ขณะที่หวานหว่านกลับมีท่าทีตื่นเต้น ในความคิดของเด็กน้อย คนมากเพียงนี้สิถึงจะน่าสนุกหน่อย ทว่า ก่อนจะเข้าป่า อวิ๋นซีก็ได้หยุดม้า และหันไปมองเหล่าคนที่ติดตามมา นางพูดขึ้น “เปิ่นเฟยจะพาหวานหว่านจวิ้นจู่และเชี่ยนเอ๋อร์จวิ้นจู่ไปเอง พวกเ้าตามสบายเถอะ”
ความหมายของนางชัดเจนมาก นั่นก็คือไม่้าให้พวกเ้าตามมาด้วย
ชั่วขณะนั้นด้านหลังของขบวนนี้ก็มีสตรีสวมชุดแดงขี่ม้าสีน้ำตาลแดงเดินเหยาะๆ ออกมา บนใบหน้าของนางประดับรอยยิ้มน้อยๆ นางพูด “พี่หญิงอวิ๋น ข้าขอไปกับพวกท่านได้หรือไม่? ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินน้ำเสียงอ่อนหวานนั้นก็เพิ่งสังเกตเห็นว่า ผู้พูดคือหลิ่วหว่านหรง นางยิ้มพยักหน้ารับ “ได้แน่นอน” เพราะเป็หลิ่วหว่านหรงจึงไม่อาจปฏิเสธได้
ในตอนนี้เอง เสียงสดใสของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้นขัดความสุขสงบ “ชายาหนิงอ๋อง ผู้น้อยเองก็หวังจะได้ติดตามพวกท่านด้วยเช่นกัน”
แค่ได้ยินเสียงนี้ อวิ๋นซีก็ขมวดคิ้ว สตรีนางนี้ช่างเป็เ้าแกร่งน้อยที่ตีไม่ตาย [1] จริงๆ คนยังมีหน้ามาโผล่ที่นี่ในยามนี้อีก
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] เ้าแกร่งน้อยที่ตีไม่ตาย(打不死的小强)หมายถึง แมลงสาบ