เพราะไม่้าเปิดเผยตัวตน นางจึงใช้ชื่อ ‘หนีเสี่ยวเสี่ยว’
หนีเจียเอ๋อร์เดินเข้าไปใกล้พี่ฮวา ก่อนยกมือขึ้นบีบนวดไหล่นางเบาๆ
พี่ฮวาค่อยๆ หลับตาลงด้วยความผ่อนคลาย
“เสี่ยวเสี่ยว วันนี้ข้าจะขอชี้แนะเ้าสักหน่อย พร์ในการบรรเลงกู่ฉินของเ้านั้นยอดเยี่ยมจนไม่อาจดูเบาได้ ส่วนการร่ายรำค่อนข้างพอใช้ เ้าคงต้องพยายามให้มากหน่อย กิจการของข้าต้องอาศัยความสามารถของเ้าไปอีกหลายปี ในยามที่อายุยังน้อยจงเก็บออมเงินไว้ ในโลกนี้ คำสัญญาของบุรุษล้วนเป็สิ่งจอมปลอม เงินในมือของเ้าต่างหากที่เป็ของจริง”
หนีเจียเอ๋อร์ตอบอย่างเชื่อฟัง “ขอบคุณพี่ฮวาที่สั่งสอน”
พี่ฮวาพอใจมาก ส่งเสียงออกมาอีกครั้ง “เ้าทั้งงดงาม และมีความสามารถเหนือกว่าสตรีทุกคนที่นี่ เชื่อข้าเถิด ตราบใดที่เ้ามานะบากบั่นทำงาน และเรียนรู้อย่างรวดเร็ว ไม่นานคงจะได้ขึ้นเป็อันดับหนึ่งของหอร้อยบุปผาแห่งนี้แน่”
หนีเจียเอ๋อร์นึกเยาะเย้ย... อันดับหนึ่งของหอร้อยบุปผาหรือ?
นั่นหาใช่สิ่งที่นางปรารถนา!
พอหมดเื่ หญิงสาวก็กลับไปยังห้องของตัวเอง ที่อยู่ถัดจากห้องของพี่ฮวาไป ทันทีที่ประตูปิดลง ดวงตาเรียวก็ฉายแววเยียบเย็นดั่งน้ำค้างแข็งในฤดูหนาว หนีเจียเอ๋อร์ล้างมือหลายครั้ง ก่อนดับไฟ และนอนลงบนเตียง
นางพยายามจะหลบหนีออกไปหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ถูกจับได้ จนต้องอาศัยคำพูดอันลื่นไหลเอาตัวรอดตลอดมา
การที่พี่ฮวาสามารถดำเนินกิจการหอร้อยบุปผาจนใหญ่โตได้ถึงขนาดนี้ ย่อมมิใช่โชคช่วย แต่เป็เพราะความสามารถและมันสมองของนางเอง
หนีเจียเอ๋อร์เริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังเคลือบแคลงสงสัยในตัวนาง จึงไม่กล้าหลบหนี ทั้งยังฝึกฝนทักษะต่างๆ อย่างหนักทุกวัน
ในวันแรกๆ เด็กสาวอีกหกคนที่ถูกนำมาขายพร้อมนาง ต่างก็ทนมิได้ที่ต้องมาปรนนิบัติลูกค้าเช่นนี้ แต่ไม่นาน พวกนางก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้เอง
เมื่อนางคณิกาที่อยู่มาก่อน มอบตำราวสันต์[1]ให้ หนีเจียเอ๋อร์จึงรู้ว่ายากที่จะหลีกเลี่ยงแล้ว สองสามวันต่อมา นางจึงหาข้ออ้างว่าอยากกินนกพิราบ และขอร้องให้พี่ฮวาช่วยซื้อมาให้ทุกวัน โดยแต่ละวันนั้น นางก็แอบซุกเืของมันเอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
...
เจ็ดวันผ่านไป เพียงพริบตา
ใน่สองวันที่ผ่านมา มีแขกเข้าออกหอร้อยบุปผาทุกวัน
ตอนเที่ยง พี่ฮวาก็เข้ามาคุยกับนางอย่างจริงจัง
“เสี่ยวเสี่ยวข้ารู้ว่าเ้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ขอบอกไว้ก่อน ว่าเมื่อเดินเข้ามาในหอร้อยบุปผาของข้าแล้ว ชั่วชีวิตนี้ พวกเ้าย่อมไม่อาจออกไปได้อีก เ้าเป็คนฉลาดรู้ความ อย่าให้ข้าต้องทำอะไรที่น่ากลัวเลย”
หัวใจของหนีเจียเอ๋อร์เต้นระรัว คิ้วเรียวขมวดมุ่น
นางเก็บซ่อนอารมณ์ แล้วหันไปเทชาด้วยมืออันสั่นเทา ก่อนเดินถือถาดชาไปข้างหน้า และโค้งคำนับด้วยความนอบน้อม “พี่ฮวา ดื่มชาสักหน่อยเถอะ”
พี่ฮวาเหลือบมองใบหน้างาม พลางเอื้อมมือไปหยิบจอกชาขึ้นมาจิบ แล้ววางลงที่เดิม แต่สายตาคู่นั้นกลับจับจ้องหญิงสาวราวกับเหยี่ยว “คืนนี้ เ้าไปรับแขก!”
หนีเจียเอ๋อร์ตากระตุก นางย่นคิ้ว แสร้งทำเป็ลำบากใจและเขินอาย แล้วกระซิบเบาๆ “พี่ฮวา เกรงว่าข้าจะทำไม่ได้ วันนี้ข้าเป็ระดู”
“จริงหรือ?” พี่ฮวาเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาของนางทอแสงวาววับ “เสี่ยวเสี่ยวมีสิ่งหนึ่งที่ข้าเกลียดเป็ที่สุด นั่นคือคนหลอกลวง”
หนีเจียเอ๋อร์ก้มหน้าลง แล้วพูดอย่างขลาดเขลา “เสี่ยวเสี่ยวมิกล้าโกหกพี่ฮวา หากท่านไม่เชื่อ... ข้าสามารถพิสูจน์ได้”
พี่ฮวาพูด “เช่นนั้น ก็ไปกันเถอะ”
ขณะที่เดินตามหลังอีกฝ่าย หนีเจียเอ๋อร์ก็นึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง แต่ยังนับว่าโชคดีที่นางจะได้เตรียมตัวเอาไว้แต่เนิ่นๆ มิฉะนั้น คงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เช่นวันนี้
พอเดินมาถึงชั้นสอง พี่ฮวาก็นั่งลงบนเก้าอี้
หนีเจียเอ๋อร์ปิดประตู พลางจุดกำยานเพื่อกลบกลิ่น นางจัดการถอดเสื้อผ้าอยู่ด้านหลังฉากกั้น เปลี่ยนเสื้อผ้า ถอดกระโปรงชั้นในออกมาถือไว้บนมือขวา พร้อมกันนั้น ก็ใช้มือซ้ายไปคว้าขวดกระเบื้องออกมาจากแขนเสื้อ แล้วเทเลือกนกพิราบออกมาเล็กน้อย
หลังเก็บหลักฐานทุกอย่างแล้ว นางก็ยื่นผ้าออกมาจากหลังฉาก และร้องเรียกเสียงแ่ “พี่ฮวา”
คิ้วของพี่ฮวาเลิกขึ้น สีหน้าราบเรียบ ไม่บ่งบอกว่ากำลังพอใจหรือไม่กันแน่ “อืม... พยายามอย่าดื่มน้ำเย็น กินอาหารเบาๆ แล้วลดเวลาฝึกครึ่งชั่วยาม”
หนีเจียเอ๋อร์พูดอย่างนบนอบ “ขอบคุณพี่ฮวาที่เมตตา”
พี่ฮวาหันหลังเดินจากไป ก่อนปิดประตูให้
หนีเจียเอ๋อร์มองผ่านฉากกั้น แล้วถอนหายใจหนักหน่วง พลางพูดกับตัวเองว่า “ทุกอย่างยังคงผ่านไปด้วยดี”
นางโยนผ้าขาวทิ้ง เดินออกมาจากฉากกั้น พอจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองเรียบร้อย ก็ถอนหายใจโล่งอก “เกือบไป!”
...
ณ เมืองหลวง
ใบหน้าอันหล่อเหลาของโจวชิงหวา ดูดำคล้ำไปถนัดตา “ยังไม่มีข่าวอีกหรือ?”
สือหวู่ก้มหน้าลง สั่นศีรษะ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “เื่เดียวที่สืบมาได้ ก็คือคุณหนูเข้าไปในตลาดมืด ก่อนหายตัวไปขอรับ”
โจวชิงหวาโพล่งขึ้นมา “ต้วนอวิ๋นหลาน เว่ยฉีหราน สวีซื่อ ตอนนี้พวกเ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!”
สือหวู่รายงานเพิ่มเติม “นายท่านหนีพยายามสยบข่าวลือ โดยการประกาศว่าคุณหนูล้มป่วย แม้แต่ในจวนสกุลหนีเอง ก็มีน้อยคนนักที่ล่วงรู้เื่นี้ ต้วนอวิ๋นหลานจึงยังไม่ทราบว่าคุณหนูหายตัวไป ทางด้านเว่ยฉีหราน ก็ไม่มีอะไรผิดปกติขอรับ”
“ส่วนสวีซื่อ ก็ไม่ออกนอกจวนเลยขอรับ”
โจวชิงหวาขมวดคิ้ว ขบคิดจนหัวแทบแตกอีกครั้ง ว่าตนพลาดตรงไหนไปบ้าง
สือหวู่สังเกตเห็นสีหน้าอันเหนื่อยล้าของเ้านาย และขมวดคิ้วด้วยความกังวล “นายท่าน ท่านไม่ได้นอนมาสองวันแล้วนะขอรับ พักผ่อนสักหน่อยเถอะ”
โจวชิงหวายกมือเป็สัญญาณให้อีกฝ่ายเงียบ “ยังไม่ทราบที่อยู่ของเสี่ยวเอ๋อร์ นางจะเป็หรือตายก็ไม่รู้ ข้าจะหลับตาลงได้หรือ!”
สือหวู่จึงปลอบใจ “คุณหนูเป็คนฉลาดมีไหวพริบ แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่คาดว่านางคงจะมีวิธีการเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็ดีได้แน่ขอรับ”
โจวชิงหวาไม่ใส่ใจ ระหว่างที่กำลังจะออกจากบ้านไปตามหาหนีเจียเอ๋อร์ ก็พบว่าที่หน้าประตูมีแขกมาเยือน... เป็องค์หญิงกู่อวี่เสวียนนั่นเอง
ชายหนุ่มจึงมองนางด้วยสายตาเ็า
ฉับพลันนั้น อากาศก็คล้ายจะเย็นลง ทั้งๆ ที่เป็วันซึ่งมีอากาศร้อนวันหนึ่ง แต่กู่อวี่เสวียนกลับรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมา นางยิ้มค้าง แล้วเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ชิงหวา ข้าอุตส่าห์มาพบเ้า เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนั้น?”
กล่าวจบ กู่อวี่เสวียนก็ทำเป็ฉุนเฉียว ก่อนพูดอย่างเขินอาย “จำสิ่งที่ข้าบอกในวันนั้นได้หรือไม่? ที่ให้เ้าไปพบเสด็จพี่ เพื่อขอสมรสพระราชทานอย่างไรเล่า!”
มือทั้งสองข้างของนางกำชายผ้าสีฟ้าแน่น ขณะรอคำตอบอย่างประหม่า
ั์ตาของโจวชิงหวาหม่นแสง ดวงตาสีเข้มอันลึกล้ำงดงามของเขา เผยให้เห็นร่องรอยของการข่มกลั้นอารมณ์ พลางพูดเสียงเย็น “องค์หญิง จะต้องให้พูดสักกี่ครั้ง ว่าข้ามิได้ชอบพอท่าน ย่อมไม่มีทางไปทูลขอสมรสพระราชทานแน่ ขออภัยด้วย ข้ามีธุระด่วน!”
กู่อวี่เสวียนผิดหวังอย่างหนัก และยื้อยุดชายเสื้อของเขาเอาไว้ “ตอนนี้ หากเ้ายังไม่ชอบข้าก็ไม่เป็ไร สักวันเ้าอาจหันมาชอบข้าก็เป็ได้ ข้าจะรอ ไม่ว่าเ้าไปไหน ข้าก็จะไปด้วย”
“ปล่อย!”
โจวชิงหวาที่นิ่งเงียบมาตลอด แต่บัดนี้กลับทนไม่ไหว โทสะที่พยายามสะกดอยู่ในใจมาหลายวัน พลันะเิออก ไม่ต่างอันใดจากราชสีห์ถูกเหยียบหาง อารมณ์รุนแรงพุ่งปะทุ จนแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน ดูน่ากลัว
กู่อวี่เสวียนยังไม่หน้าหนาพอจะแบกรับ ดวงตานางแดงก่ำ ได้แต่หันหลังวิ่งจากไปอย่างอับอาย
ชายหนุ่มคร้านจะมองนางอีก เขาดึงบังเหียนมาจากมือสือหวู่ ะโขึ้นม้า แล้วควบออกไป
สือหวู่มองถนนที่ฟุ้งไปด้วยฝุ่น พร้อมทอดถอนใจ “คุณหนูหนี ท่านไปอยู่ที่ใด? หากยังหาท่านไม่พบอีก นายท่านของข้าคงจะเป็บ้าแน่”
------------------------------------------------
[1] ตำราวสันต์ หรือตำราวังวสันต์ คือหนังสือภาพที่แสดงให้เห็นถึงการร่วมอภิรมย์ระหว่างชายหญิง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้