ชาวบ้านที่กำลังทำงานอยู่ได้ยินดังนั้นก็พากันชื่นชม “เจียนเจียช่างเป็เด็กสาวที่แสนดีมีน้ำใจ ทั้งอ่อนโยน ทั้งมีคุณธรรมจริงๆ”
เมิ่งอู่ที่ถือขวานผ่าฟืนที่อยู่บนตอไม้เอียงศีรษะมองไป ยิ้มและหรี่ตา สีหน้านางอบอุ่นและเป็กันเองก่อนกล่าว “พี่สาวแสนดี ถ้าพูดก่อนหน้านี้ ข้ายังคิดว่าเ้ามาหาสามีข้าเพื่อพูดคุยกับเขาซะอีก”
สีหน้าท่าทางของเมิ่งเจียนเจียไม่เป็ธรรมชาติมาก แต่เวลานี้นางหันหลังเดินจากไปไม่ได้ จึงได้แต่ต้องเดินแข็งทื่อเข้ามาหา เอ่ยว่า “ข้า… ข้ามาซาวข้าว”
เมิ่งอู่มองตามสายตาของนางไปยังอ่างที่แช่ข้าวไว้ก่อนยิ้มกล่าว “ข้าวในอ่างหนักนะ พี่สาวมีพละกำลังไม่พอ หากพลั้งเผลอทำหกโดยไม่ทันระวัง แล้วทุกคนจะกินอันใดเล่า?”
เมิ่งเจียนเจียตะลึงงันเล็กน้อย ราวกับความคิดแต่เดิมในหัวของนางถูกเปิดโปง
เมิ่งอู่ยกตำแหน่งของตนให้อีกฝ่าย โดยให้นางมานั่งหน้าเตาไฟแทน แล้วกล่าว “ไม่สู้พี่สาวมาเติมฟืนดีกว่า”
ปกติเมิ่งเจียนเจียมักพยายามหลอกล่อให้เมิ่งซวี่ซวีทำงานเหล่านี้ที่บ้าน ส่วนตัวนางเองก็ซาวข้าว เก็บผัก อะไรทำนองนั้น ยิ่งอากาศค่อยๆ ร้อนอบอ้าวเช่นนี้ การนั่งอยู่หน้าเตาไม่สบายขนาดนั้น
ชั่วครู่เหงื่อก็ผุดพรายท่วมตัว
เมิ่งเจียนเจียกัดริมฝีปาก สุดท้ายไม่มีทางเลือกนอกจากต้องนั่งลง
เตาไฟนี้สร้างขึ้นชั่วคราว ฟืนในเตาไม่ได้ถูกเผาจนหมด มีแต่ควันดำลอยออกมาข้างนอก ในไม่ช้าเมิ่งเจียนเจียก็สำลักควันจนไอไม่หยุด ดวงหน้าขาวสะอาดเปรอะเปื้อนเขม่า
นางเซี่ยซาวข้าวใส่หม้อ ยิ้มเป็กันเองก่อนกล่าวว่า “ลำบากเจียนเจียแล้ว คิดไม่ถึงว่าเ้าจะมาช่วยพวกเราจริงๆ”
เดิมเมิ่งเจียนเจียไม่ค่อยได้ทำงานเหล่านี้ในเรือนของตนเอง แต่เวลานี้นางกลับทำขายหน้าถึงขีดสุดในเรือนของเมิ่งอู่ หากเปลี่ยนเป็เมิ่งซวี่ซวีคงอาละวาดไปนานแล้ว แต่เมิ่งเจียนเจียกลับกล่าวเพียงว่า “ไม่เป็ไรเ้าค่ะ หากช่วยพวกท่านได้ ข้าก็มีความสุขมาก”
จากคำพูดและสีหน้าท่าทางที่แสดงออกยากที่จะปกปิดความคับข้องใจของนาง แล้วเยี่ยงนี้จะเรียกว่ามีความสุขได้อย่างไร เห็นชัดว่าช่างน่าสงสาร
หลังจากนั้นนางเซี่ยกับเมิ่งอู่ก็ไปล้างผัก หั่นผักอย่างเร่งรีบ ส่วนเมิ่งเจียนเจียก็ยัดฟืนใส่เตาอย่างลนลาน
เตาไฟที่ใช้ทำอาหารชั่วคราวนี้อยู่ติดกับเรือนไม้หลังใหม่ ข้างๆ เรือนไม้หลังนั้นมีหญ้าแห้งกองหนึ่งไว้ใช้จุดไฟ
เมิ่งอู่กับนางเซี่ยไม่ได้สนใจ เดิมหญ้าแห้งกองนั้นมีเพียงควันลอยออกมานิดหน่อย ต่อมาค่อยๆ ลุกโชนเป็เปลวเพลิงกองเล็กๆ
เพลิงยิ่งลุกโชติ่ขึ้นเรื่อยๆ หากไม่รีบดับคงลามไปถึงเรือนไม้ที่เพิ่งสร้างใหม่อย่างแน่นอน
เนื่องจากเตาไฟบดบังมุมมองของอินเหิงไว้ คราแรกเขาจึงไม่ทันสังเกตเห็น ต่อมาเขาถึงค่อยรู้ตัวก่อนเมิ่งอู่กับนางเซี่ย จึงรีบร้องเตือนว่า “อาอู่ ระวังไฟ!”
ทันทีที่อินเหิงพูดอย่างนั้น เมิ่งอู่ก็เพิ่งสังเกตเห็น เมื่อนางเหลียวกลับไปมองก็เห็นหญ้าแห้งกลายเป็กองเพลิง เปลวไฟลามเลียไปถึงมุมของเรือนไม้แล้ว นางรีบโยนผักในมือทิ้งทันควัน แล้วหันหลังกลับ ก่อนวิ่งสองสามก้าวไปเตะกองหญ้าแห้งที่กำลังลุกโหมหลายที
เวลานั้นเมิ่งเจียนเจียนั่งอยู่หน้าเตา หญ้าแห้งที่กำลังลุกไหม้ลอยมาทางนางโดยพลัน เมิ่งเจียนเจียกรีดร้องพลางปัดสะเก็ดไฟเล็กๆ ตามตัวออก
ผลปรากฏว่าชุดที่งามที่สุดที่นางตั้งใจสวมออกมาข้างนอกวันนี้ มีรอยไหม้หลายรูอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมิ่งเจียนเจียขอบตาแดงก่ำ จ้องเมิ่งอู่ด้วยความโกรธกรุ่นระคนตระหนกใ “เ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”
ไม่คาดคิดว่าเมิ่งอู่จะมีสีหน้าสงบนิ่ง ั์ตาทั้งคู่ของนางที่แบ่งแยกดำขาวชัดเจนลุ่มลึกและเ็า
เมิ่งอู่ถาม “อยู่ดีๆ จะเกิดไฟไหม้ได้อย่างไร?”
จู่ๆ เมิ่งเจียนเจียก็วางตัวเป็ผู้บริสุทธิ์ และน่าสงสารอีกครา กล่าวทั้งน้ำตาว่า “ข้า... ข้าก็ไม่รู้... เมิ่งอู่ เ้ามองข้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร... ”
เมิ่งอู่เผยยกเรียวปากขึ้นยิ้ม เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “แล้วเ้าว่าหมายความว่าอย่างไรเล่า?”
สีหน้าของเมิ่งเจียนเจียซีดเผือด “หรือ... หรือเ้าสงสัยว่าข้าจงใจวางเพลิง?” นางร้องไห้อย่างกระวนกระวาย “ข้าตั้งใจมาช่วย ไฉนเ้าถึงใส่ร้ายป้ายสีข้า... ข้าไม่ได้ทำจริงๆ อาจเป็เพราะเมื่อครู่ไฟในเตาแรงเกินไป สะเก็ดไฟบางส่วนเลยกระเด็นออกมา แล้วตกไปโดนกองหญ้าแห้ง ข้าไม่ทันได้ใส่ใจ...”
เมิ่งอู่กล่าว “พี่สาวอย่าเพิ่งตื่นตระหนก ข้าไม่ได้บอกว่าเป็เ้าใช่หรือไม่? ดูคล้ายจะเป็เื่เข้าใจผิดทั้งหมด เฮ้อ ข้าเองก็ใมากจึงเตะหญ้าแห้งกองนั้นไปทางเ้า มิเช่นนั้นเรือนของข้าคงถูกไฟไหม้วอดวายแล้ว ผู้ใดจะไปรู้ว่าสะเก็ดเพลิงจะบังเอิญตกไปโดนหญ้าแห้งกองนั้น ยังดีที่พี่สาวไม่เป็อันใด”
เมิ่งอู่ถอนหายใจอีกครั้งก่อนเอ่ย “น่าเสียดายก็แต่ชุดกระโปรงของเ้า ข้าจำได้ว่าในอดีตเ้ามักสวมเสื้อผ้างามๆ ชุดนี้เฉพาะ่เทศกาลและวันหยุดเท่านั้น เพราะเหตุใดวันนี้ถึงได้สวมชุดที่งดงามขนาดนี้ออกมาเก็บผักในทุ่งเล่า?”
เมิ่งเจียนเจียกัดริมฝีปาก รู้สึกอับอายขายหน้าและโกรธกรุ่นอย่างยากที่จะระงับ ไม่รู้จะตอบอย่างไรดีแล้ว
นางคาดไม่ถึงว่าเมิ่งอู่จะไม่กลัวไฟ ถึงกับใช้เท้าเปล่าเตะกองหญ้าแห้งที่ลุกไหม้ออกไปได้ มิหนำซ้ำยังเตะเข้าใส่นางโดยเฉพาะด้วย
หากเมิ่งอู่ไม่เตะกองเพลิง เกรงว่าเรือนไม้หลังใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จของนางต้องถูกเผาแล้วกระมัง
เวลานี้เมิ่งเจียนเจียอับอายขายหน้าเหลือประมาณ ยิ่งไม่มีหน้าสดใสประณีตไปเจออินเหิง
เมิ่งอู่เสนอแนะอย่างใจดี “ชุดกระโปรงของเ้าขาดเป็รูแล้ว ให้ข้าซ่อมแซมให้ก็ได้ แต่อาจมีรอยปะทิ้งไว้”
เมิ่งเจียนเจียเกือบสติแตก แต่ยังพยายามฝืนรักษาท่าทางอ่อนโยนอย่างที่สุด “ไม่ต้องแล้ว”
นางออกมาแต่เช้าแล้ว นางเย่ไม่เห็นนางกลับเรือนจึงออกมาตามหาคน ประจวบเหมาะกับมาถึงหน้าเรือนของเมิ่งอู่ นางะโเรียกเมิ่งเจียนเจียอยู่ข้างนอก
เมิ่งเจียนเจียกล่าว “ท่านแม่เรียกข้าแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน”
กล่าวอย่างนั้นแล้ว เมิ่งเจียนเจียก็แบกตะกร้าใบนั้นวิ่งออกจากประตูลานเรือนอย่างหดหู่
ครั้นนางเย่เห็นบุตรีในสภาพเช่นนี้ ยังไม่ทันถามไถ่ เมิ่งเจียนเจียก็ร่ำไห้ด้วยความน้อยอกน้อยใจ
นางเย่คิดว่าบุตรีถูกรังแก จึงไปหาเมิ่งอู่เพื่อขอคำอธิบาย แต่ชาวบ้านกลับเป็พยานว่า เมิ่งเจียนเจียเป็ฝ่ายเข้ามาเสนอความช่วยเหลือเอง ทั้งบอกว่าจะช่วยซาวข้าว ทั้งช่วยจุดไฟเติมฟืน ยังเรียกท่านอาสะใภ้รองอย่างสนิทสนมกลมเกลียวมากด้วย
นางเย่ได้ยินดังนั้นก็เดือดดาลฉับพลัน เมิ่งเจียนเจียไม่เคยขยันขันแข็งถึงเพียงนี้ในเรือนของตนเอง กลับไปประจบสอพลอถึงเรือนของผู้อื่นแทน
ระหว่างทางกลับเรือน นางเย่เอ็ดตะโรลั่นด้วยความเกรี้ยวกราด “ใครใช้ให้เ้าหันศอกออกไปข้างนอก[1] สมควรแล้วที่ต้องอับอายขายหน้า!”
เมิ่งเจียนเจียรู้วิธีบรรเทาความฉุนเฉียวของนางเย่มาโดยตลอด นางจึงเล่าความจริงเื่ที่เรือนไม้หลังใหม่ของเมิ่งอู่เกือบถูกไฟไหม้เสียแล้วให้นางเย่ฟัง นางเย่ค่อยรู้สึกเสียใจกับบุตรสาวของตน
···
หลังขาของอินเหิงที่ถูกมัดและยึดไว้แน่นได้รับการดูแลอยู่หลายวัน าแก็ดีขึ้น เมิ่งอู่จึงเริ่มรักษาขาอีกข้างให้เขา
คืนนั้น หลังนางเซี่ยนอนหลับแล้ว เมิ่งอู่ก็เข็นอินเหิงออกไปที่ลานเรือนอีกครั้ง ตะเกียงเทียนที่ให้แสงริบหรี่วางอยู่ด้านข้าง จู่ๆ ก็สว่างวาบขึ้นและดับลง ส่องสะท้อนค้อนอันเล็กที่อยู่ข้างๆ เป็สีดำส่องประกายวาววับ
อินเหิงมองเมิ่งอู่ เห็นแววตานางมืดดำและทอประกายวิบวับเช่นกัน เขาก็ได้แต่พูดไม่ออกอยู่บ้าง
นางน่าจะหลงใหลเื่แบบนี้มาก… กระมัง
กระดูกขาอีกข้างที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องแล้วกำลังฟื้นตัวขึ้นทุกวัน เมื่อเทียบกับขาข้างนั้น ขาอีกข้างที่ยังไม่ได้รับการรักษาในยามนี้เ็ปรุนแรงยิ่งกว่า
ทันทีที่เมิ่งอู่เอื้อมมือไปัั ความเ็ปแหลมคมก็ถาโถมเข้าใส่ดุจกระแสน้ำ ราวกับว่ากระดูกข้างในถูกเหลาจนแหลม และทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อหนังอย่างรุนแรง
สองมือของอินเหิงกำพนักแขนเก้าอี้เข็นไว้แน่น แต่ไม่ส่งเสียงใด
เมิ่งอู่รู้สึกผ่านมือว่ากระดูกขาข้างนี้ก็ผิดตำแหน่งเช่นเดียวกัน ต้องหักแล้วต่อใหม่โดยไม่ยกเว้น
เมิ่งอู่ถือค้อนอันเล็กไว้ในมือ กล่าวกับเขาว่า “อาเหิง คืนนี้ลมเย็นสบายจริงๆ”
อินเหิง “อืม”
……….
[1] หมายถึง ไม่ช่วยคนกันเองแต่กลับไปช่วยคนอื่น หรือเข้าข้างคนอื่น