หั่วอี้พยักหน้า ตอบกลับไปอย่างเรียบเฉยว่า“วันหน้าหมกมุ่นเื่บนเตียงให้น้อยลงสักหน่อย อย่าให้ร่างกายดีๆ ต้องเสียหาย”
หยางซานหลางหน้าแดงขึ้นมาทันใด “ขอรับ!”ก่อนจะรีบมุดตัวหายในไปฝูงชน ทุกคนจึงเพิ่งเข้าใจว่าที่หั่วอี้พูดนั้นหมายถึงอะไรพากันเอามือปิดปากหัวเราะลั่นขึ้นมา
แม้แต่หลิ่วจิ้งก็ยังต้องหัวเราะเบาๆ เพราะคำกระเซ้าของเขา
ชายคนที่สองขึ้นเวทีมาพร้อมกับขวานด้ามใหญ่ในมือหน้าตาดุดันเหี้ยมโหด
ส่วนใบหน้าของหั่วอี้ก็ยังคงราบเรียบไม่มีอารมณ์ใดเช่นเดิม “เชิญ”
ขวานั์แหวกอากาศลงมาแสกหน้าหั่วอี้ หลิ่วจิ้งสะดุ้งตื่นใ
ใครจะรู้ว่าหั่วอี้กลับตั้งตัวรับเอาไว้แล้วเขาะโกลับหลังกลางอากาศก่อนจะถีบเข้าไปที่ท้ายทอยของคนผู้นั้นจนเขาหน้าคว่ำเป็สุนัขกินอาจม
ชายผู้นั้นไม่ยอมแพ้ ลุกกลับขึ้นยืนหวดขวานสับลงมาติดต่อกันหลายครั้งหลายหน
หั่วอี้ไม่ได้ยั้งกำลังเอาไว้เจ็ดในสิบส่วนเช่นที่ต่อสู้กับชายคนแรกหากแต่ใช้กำลังเจ็ดในสิบส่วนชกไปที่ไหล่ของเขาดวงตาทั้งคู่ของชายคนที่สองเบิกถลนจนแทบปริแตก หันมองเขาอย่างประหวั่นพรั่นพรึงราวกับไม่เคยคิดว่าตนจะพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้
“ตึง!” ชายคนที่สองล้มร่วงลงมาจากเวที
ชายผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างล่างเวทีเดินอ้อมไปข้างหลังทั่วป๋าฉางน้อมตัวลงกระซิบว่า “ท่านอ๋อง ดูท่าว่าไม่อาจดูแคลนความสามารถของหั่วอี้ได้จริงๆขอรับ”
มีหรือที่ทั่วป๋าฉางจะไม่รู้เขาเห็นว่าทุกครั้งที่หั่วอี้ลงมือและปัดป้องล้วนหนักแน่นมั่นคงไม่มีท่าทีพิสดารใดแม้แต่น้อยเพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าคนผู้นี้ชำนาญการต่อสู้ประชิดตัวเป็อย่างยิ่งดูท่าว่าการประลองบนเวทีเล็กๆ ในค่ำคืนนี้คงไม่อาจสร้างความลำบากใดแก่เขาได้
โชคดีที่เขาก็หาได้คิดจะเป็ศัตรูกับหั่วอี้ ไม่เพียงเท่านั้นทั่วป๋าฉางยังคิดจะหว่านล้อมเขามาเป็พวกด้วยการประลองในคืนนี้ก็เพียง้าทดสอบว่าความสามารถและความทนทานของหั่วอี้จะแข็งแกร่งห้าวหาญดังในเสียงรำลือจากสนามรบหรือไม่ก็เท่านั้น
เมื่อได้มาเห็นกับตา ปรากฏว่าไม่ผิดจากคำร่ำลือเลยแม้แต่น้อย
เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งก้านธูป มีคนต้องนอนแผ่อยู่ข้างล่างเวทีนับได้ยี่สิบกว่าคน
เหล่าชายหนุ่มท่าทีน่าเกรงขามที่ขึ้นเวทีไป เมื่อผ่านมือของหั่วอี้ไม่มีคนใดเลยที่จะไม่าเ็สาหัสถึงไม่ขาหักก็แขนหักจนต้องกลิ้งลงเวทียิ่งไม่ต้องคิดจะรับมือเขาให้ได้ยี่สิบกระบวนท่าเลยลำพังแค่ห้ากระบวนท่าก็ล้วนเป็เื่ที่ยากยิ่งนักแล้ว
ก่อนหน้านี้มีขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อยที่เห็นท่าทีหยิ่งผยองของหั่วอี้แล้วรู้สึกไม่พอใจคิดว่าเขาอวดดีไร้มารยาท ถูกคนสั่งสอนก็น่าสมน้ำหน้าแล้วทุกคนจึงพากันนั่งรอดูคนที่จะขึ้นมาสั่งสอนหั่วอี้บนเวทีประลองหารู้ไม่ว่าค่ำคืนนี้กลับเป็การมอบโอกาสให้เขาอวดฝีมือและฉายความโดดเด่นหาตัวจับยากออกมา
“ยังมีคนจะขึ้นเวทีมาท้าประลองอีกหรือไม่?”หั่วอี้รับมือผู้ท้าชิงติดต่อกันมายี่สิบกว่าครั้ง นอกจากบางคนที่ต้องใช้กำลังเจ็ดถึงแปดในสิบส่วนสั่งสอนสักหน่อยนอกนั้นแล้วเขาล้วนยั้งมือด้วยการแสร้งถีบคนเ่าั้ออกนอกเวทีไป
รออยู่เนิ่นนานก็ยังไม่มีคนก้าวออกมา
หั่วอี้หันหน้ามาทางทั่วป๋าฉาง “ท่านอ๋อง ไม่ทราบว่าผลการประลองในครั้งนี้เป็เช่นใดขอรับ?”
ดวงตายาวเรียวของเขาปรายไปยังหลิ่วจิ้งที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเวลานี้มีรอยยิ้มประหลาดอยู่ที่ริมฝีปาก
เขาชนะแล้ว
หลิ่วจิ้งมีความดีใจที่ยากจะบรรยายอยู่ในใจ
โชคดีที่เขาชนะ
เมื่อเห็นสภาพการณ์ดังนี้ ทั่วป๋าฉางจึงได้แต่ต้องยกหลิ่วจิ้งให้หั่วอี้เป็สินน้ำใจตามน้ำไป
“ฮ่าๆ” เขาเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะลั่น“สมแล้วที่เป็แม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งแห่งชางอี้ของพวกเราคืนนี้นับว่าเราได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ ! องค์หญิงแห่งต้าเว่ยผู้นี้ก็นับว่าเป็ของในย่ามของท่านแม่ทัพแล้ว!”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงประทานให้พ่ะย่ะค่ะ!”หั่วอี้ยืดอกสูดหายใจลึกเดินมาข้างกายหลิ่วจิ้ง
หั่วอี้โค้งริมฝีปากขึ้นยิ้ม “ใดๆ ในใต้หล้านี้จะมีเหตุผลมากมายอันใด ขอเพียงข้า้าเท่านั้น”
เพิ่งจะสิ้นเสียง เขาก็ก้มลงไปโอบเอวอุ้มนางขึ้นมา ก่อนจะเดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผยท่ามกลางสายตาธารกำนัล กระทั้งเอ่ยคำทักทายสักคำก็ยังไม่มีเหมือนตอนที่ทั่วป๋าเจิ้งเข้ากระโจมไปไม่ผิดเพี้ยน
ฐานะของหั่วอี้ในชางอี้ทำให้เขาสามารถแสดงท่าทีโอหังโดยไม่ต้องแยแสผู้ใดได้ถึงขั้นนี้เชียวหรือ?
นางอดจะย้อนถามตนเองไม่ได้
หั่วอี้อุ้มนางเดินตรงไปทางทิศตะวันตก มาถึงจวนที่ประดับประดาด้วยหยกและทองอร่ามแห่งหนึ่งบนป้ายหน้าจวนมีตัวอักษรงดงามดังภาพับินหงส์ระบำอยู่สามตัวว่า ‘จวนแม่ทัพ’
นามผู้เขียนที่ลงเอาไว้คือหั่วอี้ ที่แท้แล้วตัวอักษรเหล่านี้เป็เขาเขียนด้วยตนเอง
เกรงว่าก่อนนี้หลิ่วจิ้งจะประเมินคนผู้นี้ต่ำเกินไปเสียแล้ว
“ท่านแม่ทัพ นี่ท่านกำลังจะ...?” พ่อบ้านเข้ามาต้อนรับพลางเอ่ยถาม
หั่วอี้หันหน้ามองและสั่งเขาว่า“นี่ก็คือฮูหยินแม่ทัพที่ข้าเพิ่งได้รับชัยชนะและได้ตัวกลับมาเ้าไปแจ้งแก่คนอื่นๆ ในจวนด้วยว่าให้มาคารวะนาง” พูดจบ เขาก็หันมองใต้ตาสีหม่นของหลิ่วจิ้งหนหนึ่งรู้อยู่ในใจว่าหลายวันที่ต้องเดินทางบนรถม้าอย่างรีบเร่ง นางจะต้องไม่ได้นอนหลับดีๆเป็แน่ จึงเอ่ยไปอีกว่า “ต้มน้ำร้อนมาสักหน่อย จัดเตรียมอาหารดีๆ หนึ่งโต๊ะข้าจะอาบน้ำกับฮูหยินให้ดีๆ สักคราว”
หลิ่วจิ้งใ หรือเขาคิดจะหุงข้าวสารให้เป็ข้าวสุกในคืนนี้แล้ว?
นางรีบบอกว่า “ช้าก่อน หั่วอี้”
หั่วอี้ก้มหน้าลงมองนาง แต่เท้าที่เดินอยู่กลับไม่ได้หยุดลงยังคงเดินตรงไปยังห้องนอนที่อยู่ตรงกลางของเรือนหลัง
หลิ่วจิ้งสังเกตดูการจัดสวนดอกไม้และการตกแต่งอื่นๆ ภายในจวนของเขาไม่รู้เพราะเหตุใดจึงทำให้นางรู้สึกว่าเป็รูปแบบการจัดสวนของต้าเว่ย
“ฮูหยินมีเื่ใดจะพูดหรือ?” ไอร้อนที่พวยพุ่งออกมายามเขาพูดพัดผ่านใบหน้าของหลิ่วจิ้งเบาๆแต่กลับเผาไหม้ไปจนถึงชั้นเมฆในทันใด
นางคลายมือที่โอบคอเขาลง กุมคอเสื้อที่หน้าอกเขา ถามว่า“นี่ท่านจะพาข้าไปที่ใดหรือ?”
เขาแย้มยิ้ม “ย่อมต้องไปผลัดเสื้อผ้าเข้าห้องหอหาความสำราญเช่นปลาแนบชิดน้ำ[1] น่ะสิ” พักหนึ่ง เขาก็ถามอีกว่า “ทำไมเล่า? หรือว่าฮูหยินไม่ชอบ?”
“ขะ…ข้าย่อมไม่ชอบน่ะสิ ท่านช้าก่อน ข้ายังมีเื่จะพูดกับท่าน”
เห็นใบหน้าเล็กๆ ของหลิ่วจิ้งแดงก่ำขึ้นมาทั้งพูดจาติดขัดจนพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดของเขา หั่วอี้รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันใดเขาหัวเราะ ‘ฮ่าๆ’ ก่อนจะผลักประตูเดินเข้าไป
หลิ่วจิ้งเกาะกุมที่หน้าอกเสื้อของตนเอาไว้แน่นจับจ้องเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก รีบเค้นสมองหาวิธีมารับมือเขา
“เอาล่ะ คืนนี้ข้าเหนื่อยแล้ว หลังจากอาบน้ำเสร็จท่านกับข้าก็มาทานอาหารด้วยกันสักเล็กน้อยแล้วก็พักผ่อนเถิด” จู่ๆหั่วอี้ก็โพล่งออกมา
หลิ่วจิ้งหันขวับขึ้นมองเขา
“มีปัญหาใดอีก? หรือฮูหยินอดรนทนไม่ไหวอยากจะร่วมเตียงเคียงหมอนกับสามีถึงเพียงนี้เชียว?”
“มะๆๆ ไม่ได้เป็เช่นนั้น” นางเพียงแค่ประหลาดใจว่าเหตุใดจู่ๆเขาก็มาเปลี่ยนใจก็เท่านั้น
ดูไปแล้วสีหน้าของหั่วอี้คล้ายกำลังล้อเล่นจึงไม่รู้ว่าคำใดจริงคำใดเท็จกันแน่ อย่างไรนางก็ระวังเตรียมพร้อมเอาไว้สักหน่อยคงจะดีกว่า
“ท่านไม่ต้องเป็กังวล เมื่อข้าบอกว่าจะไม่แตะต้อง ย่อมไม่แตะต้องท่านจริงๆเื่น่ารื่นเริงเพียงนี้ หากต้องมาฝืนใจกัน ก็นับว่าไม่มีความหมายใดเลยจริงๆท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจึงค่อยออกมาเถิด”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หั่วอี้ก็เปลี่ยนมาสวมชุดฉางซาน [2] ตัวยาวตัวเสื้อโคร่งกว้างอย่างรวดเร็วในยามนี้เขาดูแล้วผ่อนคลายลุ่มลึก กลับไม่มีความดุดันน่ากลัวเช่นตอนอยู่บนเวทีประลองก่อนหน้านี้เลย
____________________________
เชิงอรรถ
[1]ปลาแนบชิดน้ำ เป็สำนวน หมายถึงชายหญิงมีสัมพันธ์ทางกายกันอย่างแนบชิดเหมือนปลากับน้ำ
[2]ชุดฉางซาน เป็เสื้อคอตั้ง ตัวยาวกรอมเท้า ของชาวฮั่นจะมีการผ่าข้างลำตัวสองข้าง