ชีเหนียงได้ฟังก็พยักหน้า โจวย่าอวิ๋นมีความก้าวหน้าไม่เบา สามารถมองการณ์ไกลได้แล้ว
“ไม่เลว เ้าทำได้ดีมาก ครั้งนี้เ้าสร้างผลงานใหญ่แล้วนะ”
โจวย่าอวิ๋นรายงานให้ลั่วชีเหนียงฟังจนจบ ตกดึกทั้งครอบครัวก็ล้อมวงกันดูตัวกั้งที่คลานยั้วเยี้ยในบ่อ
ไหลไหลน้อยใช้กิ่งไม้สะกิดกั้งตัวหนึ่ง
“ท่านแม่นี่คือกั้งหรือ? ทำไมมันถึงไม่เห็นเหมือนกับกุ้งตัวเล็กในแม่น้ำของเรา?”
“กับกุ้งแม่น้ำ ย่อมต่างกัน คืนนี้เราจะทำอาหารทะเลกินกัน”
ชีเหนียงมองดูอาหารทะเลจนน้ำลายแทบหก ส่วนสองพี่น้องที่โจวย่าอวิ๋นแนะนำเมื่อตอนรายงานกับนางก็อยู่ที่นี่เช่นกัน หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ย หนึ่งอ้วนหนึ่งผอม เด็กที่สูงกว่าเป็พี่คนโตชื่อเฉียนต้าไห่ ส่วนอีกคนที่อ้วนกว่าคือคนน้องชื่อเฉียนเอ้อร์หู
ตอนแรกที่สองพี่น้องเพิ่งมาถึงประหม่าเป็อย่างมาก แม้ว่าตลอดทางพ่อบ้านโจวจะบอกกับพวกเขาว่านายหญิงใจดีมีเมตตา ก็ยังอดรู้สึกกระวนกระวายไม่ได้อยู่ดี แต่เมื่อทั้งสองได้เห็นการแต่งกายของบ่าวที่นี่ที่ดูสะอาดสะอ้าน รวมทั้งเห็นผ้านวมใหม่เอี่ยมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ถูกเตรียมไว้ให้กับพวกตนก็เริ่มใจชื้นขึ้นมา
ในเมื่อตอนนี้นายจ้างอยากทานอาหารทะเล สองพี่น้องย่อมต้องงัดฝีมือออกมาบริการเต็มที่
ทุกคนทานกันอย่างอิ่มหนำสำราญจนจบมื้อ
“ปริมาณอาหารนั้นน้อยไปหน่อย ถ้าหากมีมากกว่านี้ เราจะเปิดโรงเตี๊ยมที่ขายอาหารทะเลโดยเฉพาะก็ยังได้!” ลั่วจิ่งซีทานอาหารทะเลมากที่สุด หลังจากทานหมดก็ยังไม่ลืมคิดถึงเื่ทำการค้า
เมื่อเห็นเ้ารองมีความคิดเช่นนี้ ชีเหนียงก็ไม่ได้ห้ามปราม
“หากเ้ามีใจ แม่จะยกการค้านี้ให้เ้าทำ ประจวบเหมาะกับอีกไม่นานข้ากับจิ่งเฉินต้องไปเมืองหลวง หากเ้าทำการค้านี้ได้ดี แม่จะได้รอสาขาใหม่ของเ้าที่เมืองหลวง”
ลั่วจิ่งซีที่เพิ่งรู้แผนการของมารดา พลันแอบผิดหวังเล็กน้อย “ท่านไม่คิดจะพาข้าไปเมืองหลวงด้วยหรือ?”
“พาเ้าไปเมืองหลวง เช่นนั้นกิจการที่นี่จะทำอย่างไร? โรงผลิตอาหารทะเลของแม่เล่าจะทำอย่างไร? การค้าขายอาหารทะเลผู้ใดจะดูแล? แล้วไหนจะเื่ที่รับปากน้าเนี่ยไว้ว่าจะช่วยให้นางหลุดพ้นจากความยากจนอีกเล่า?”
ชีเหนียงรู้ว่าลั่วจิ่งซีเพียงแค่ผิดหวังเล็กน้อย แต่การที่เ้ารองได้ทำการค้าก็เป็สิ่งที่ทำให้เขามีความสุข
“ท่านแม่ ท่านยกหน้าที่สำคัญเช่นนี้ให้ข้า ข้าจะต้องทำให้ดีที่สุด!”
“เ้าเข้าใจก็ดี อาโจวจะช่วยเ้าดูแล ต่อไปไร่สองแห่งกับโรงชานมยังต้องให้เ้าคอยดูแลจัดการ ส่วนเื่อาหารทะเลในอนาคตก็ให้ต้าไห่กับเอ้อร์หูคอยช่วยงานเ้า”
โจวย่าอวิ๋นที่จากบ้านไปนาน ก็เพิ่งรู้แผนการของชีเหนียงเช่นกัน
“นายหญิงวางใจได้ ่ที่ผ่านมาโรงชานมกับหอประทินโฉม ผู้น้อยก็เริ่มจับทางได้แล้ว ต่อไปจะไม่ทำให้นายหญิงต้องห่วงแน่” จูซิ่วเจินรีบแสดงท่าที ่ที่ผ่านมานายหญิงให้นางติดตามข้างกายตลอด ไม่เพียงแค่บอกเล่าความสำคัญของสูตรชานม กระทั่งยังบอกเล่าสูตรกับวิธีการใช้มากมายของเครื่องประทินโฉมให้นางฟัง
นางรู้ว่านายหญิงกำลังบ่มเพาะตนเอง ดังนั้นนางเองก็พยายามตั้งใจฝึกฝนเช่นกัน
โจวย่าอวิ๋นเพิ่งรู้ว่าที่แท้ภรรยาของตนก็เริ่มเรียนรู้การดูแลกิจการแล้ว มิน่ากลับมาครั้งนี้ บนตัวจูซิ่วเจินไม่เพียงแต่มีกลิ่นอายกิริยาวาจาเฉกเช่นคุณหนู หากยังมีความกระฉับกระเฉง คาดว่าคงเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนที่ผ่านมา
“อืม มีพวกเ้าสามีภรรยาอยู่ ข้าก็วางใจ” มีบางเื่ที่ชีเหนียงอดพูดกับโจวย่าอวิ๋นไม่ได้ “ทางด้านโรงชานมต้องต้อนรับลูกค้ามากมาย ไม่เพียงแค่ลูกค้าบุรุษ ยังมีลูกค้าสตรี ส่วนทางด้านหอประทินโฉมเป็ลูกค้าสตรี หากเ้าไปคงไม่เหมาะสมนัก ข้าจึงคิดว่าจะให้ซิ่วเหนียงจื่อรับหน้าที่แทน เื่นี้ไม่ได้หารือกับเ้าก่อน เ้า…”
ชีเหนียงยังพูดไม่ทันจบ ซิ่วเหนียงจื่อก็หยิกโจวย่าอวิ๋นอย่างแรง โจวย่าอวิ๋นถึงกับสะดุ้งร้องโอดโอย
“โอ๊ย” โจวย่าอวิ๋นรีบซ่อนแขนไว้ด้านหลัง “นายหญิงพูดอะไรกันขอรับ ท่านไม่รังเกียจที่นางเชื่องช้างุ่มง่ามก็ดีมากแล้ว ตอนนี้ยังเสียสละเวลาสอนนาง ผู้น้อยไม่ใช่คนที่ไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดี เรียนตามตรง เื่นี้ผู้น้อยอยากบอกกับท่านมานานแล้ว หลายครั้งที่ผู้น้อยไปตรวจดูบัญชีหอประทินโฉม ก็มักจะถูกฮูหยินกับคุณหนูเ่าั้ขับไล่ไสส่งออกมาหลายรอบ อีกทั้งชอบพูดว่าผู้น้อยคือผู้ชายเสเพล หากตอนนี้มีซิ่วเจินอยู่ดูแล ผู้น้อยก็จะได้หลุดพ้นเสียที”
แม้โจวย่าอวิ๋นจะพูดติดตลก แต่ก็เป็ความจริง เมื่อเป็เช่นนี้ ซิ่วเจินจึงกลายเป็ผู้ดูแลหอประทินโฉมอย่างสมบูรณ์ พี่หลิวดูแลไร่โม๋เอ่อ ส่วนทางด้านอาหารทะเลก็มีลั่วจิ่งซีกับหลิงชางไห่ดูแล โจวย่าอวิ๋นดูแลโรงชานม ขณะเดียวกันก็คอยดูแลสาขาที่ขยายออกไปเพื่อติดตามความคืบหน้าด้วย
ชีเหนียงจัดแจงทุกอย่างทางนี้เรียบร้อย ในที่สุดก็ถึงวันออกเดินทาง เพียงแต่ นางคาดไม่ถึงว่าพอตนเองจัดแจงลั่วจิ่งซีและปลอบประโลมไหลไหลน้อยเสร็จ ก่อนจากไป จ้าวจือชิงกลับหอบสัมภาระและดื้อดึงจะตามพวกเขาไปด้วย
“เหตุใดข้าจึงไปด้วยไม่ได้? พวกเ้าสองแม่ลูกเดินทางกันตามลำพัง ข้าจะวางใจได้อย่างไร!” จ้าวจือชิงมือเท้าไว รีบโยนสัมภาระขึ้นรถม้า “ข้าบอกแต่แรกแล้ว อาเฉินร่างกายอ่อนแอเกินไป เ้าเป็แม่จะทำใจให้เขาบังคับรถม้าตลอดทางได้หรือ?”
ลั่วชีเหนียงยืนโมโหอยู่ข้างรถม้า “เ้าพูดจาเพ้อเจ้ออะไรกัน! ข้าก็ต้องคิดทุกอย่างรอบคอบแล้วถึงออกเดินทางสิ”
ก่อนหน้านี้ชีเหนียงได้ติดต่อกับสำนักคุ้มภัยในอำเภอเรียบร้อย ่นี้พวกเขาจะมีการเดินทางคุ้มกันสินค้าไปยังเมืองอันที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่เกินหนึ่งร้อยลี้ เมื่อถึงจุดหมายทางสำนักคุ้มภัยก็ค่อยแยกกันกับพวกนาง เพียงเท่านี้นางกับจิ่งเฉินก็จะสามารถมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งสารถีที่จะช่วยขับรถม้าก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้วเช่นกันซึ่งคนผู้นี้จะเดินทางไปกับพวกนางด้วย
แต่เหมือนนางเองก็จะยังไม่เห็นสารถีที่จะให้ขับรถม้าให้ั้แ่เช้าเช่นกัน จนตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดมาปรากฏตัว
เมื่อจ้าวจือชิงคาดเดาได้ว่าชีเหนียงกำลังมองหาคนขับรถม้าจึงะโขึ้นรถทันที “จะหาไปทำไมกัน สารถีที่เ้าหาไว้เขามีอาการหนาวสั่นเป็ไข้เมื่อวาน เ้าเป็ถึงผู้จ้างวานคงไม่คิดจะให้คนป่วยมาขับให้หรอกนะ?”
“ป่วยหรือ?”
ชีเหนียงหันไปมองหลิงชางไห่ หลิงชางไห่เองก็แอบก่นด่าจ้าวจือชิงในใจอย่างแรง
เ้าทึ่มนี่กล้าสร้างปัญหาให้ตน แต่จนใจที่ตนต้องช่วยเ้าหนุ่มนี่เก็บกวาดสิ่งที่ไปแอบทำไว้ ใครใช้ให้จ้าวจือชิงใช้ลูกไม้สกปรกทำให้สารถีหมดสติกัน จนถึงตอนนี้คนก็ยังไม่ฟื้นเลย
“แค่กๆ ก็ป่วยน่ะสิ เช้านี้ได้ยินบ่าวมารายงาน ข้าไปตรวจดูแล้ว ต้องใช้เวลาสิบกว่าวันถึงครึ่งเดือนจึงจะดีขึ้น” หลิงชางไห่ไม่ได้พูดโกหก ยาสลบนี้ หากดูดซับเข้าไปในปริมาณมากก็จะมีผลเสียกับร่างกาย อย่างน้อยๆ ก็ต้องพักฟื้นอีกหลายวัน
“บังเอิญเพียงนี้เชียว?” ชีเหนียงยังรู้สึกว่ามันบังเอิญจนไม่อยากเชื่อ
ลั่วจิ่งเฉินที่ขึ้นรถม้าคนแรกกลับรู้สึกได้ว่านี่ต้องเป็ฝีมือของจ้าวจือชิงแน่ เขาว่าแล้วเชียว ั้แ่รู้ว่าท่านแม่จะไปเมืองหลวง คนผู้นี้ก็ดูเชื่อฟังเกินไป ดังนั้นต้องวางแผนอะไรไว้เป็แน่ ในที่สุดก็พิสูจน์ได้ชัดเสียที
ไม่รู้เพราะเหตุใด แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่ยินยอมให้ท่านแม่ใกล้ชิดกับจ้าวจือชิงจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่พอได้ยินว่าจ้าวจือชิงจะไปเมืองหลวงด้วย ในใจกลับรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
หรือตนจะเคยชินกับการมีอยู่ของจ้าวจือชิงเสียแล้ว?
จ้าวจือชิงสะบัดแส้ม้าสองที อืม ไม่ได้บังคับม้ามาหลายปี ััที่อยู่ในมือก็ยังไม่เลว เขาเร่งม้าเดินไปหลายก้าว จากนั้นก็ะโขึ้นมา “ชีเหนียง สายมากแล้ว หากยังไม่ออกเดินทาง เกรงว่าคงไปไม่ทันสำนักคุ้มภัย หรือเ้าอยู่ต่อ ข้าจะไปกับจิ่งเฉินเอง?”
เมื่อมองดูชายไว้หนวดเคราเต็มหน้าเผยยิ้มยิงฟันขาวเรียงเป็ระเบียบพร้อมกับแววตาประกายเ้าเล่ห์ ชีเหนียงจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาโดยไม่ส่งเสียงใดออกมา
ชายคนนี้วางแผนไว้แต่แรกแล้ว พอมองดูคนในครอบครัวแต่ละคนที่ยิ้มแย้มเบิกบานแต่ไม่กล้ามองตาตนเอง คิดว่าคงลงเรือลำเดียวกับเขาไปเรียบร้อย
“มาแล้ว!”
ชีเหนียงเองไม่ทันได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์เพราะกลัวจะพลาดเวลานัดหมาย นางมิใช่สาวน้อยที่ไม่ทันโลก นางรู้ว่าการเดินทางไปเมืองหลวงที่มีระยะทางพันลี้ ล้วนอาจพบเจออันตรายได้ทุกเมื่อ การที่ตนเองมีคนคุ้มกันเพิ่มมาก็เป็เื่ดี
เมื่อชีเหนียงขึ้นรถม้า จ้าวจือชิงก็สะบัดแส้เป็วงกลมกลางอากาศ จากนั้นเสียง ‘ย่ะ’ จากนั้นรถม้าก็พุ่งไปข้างหน้าทันที
หลังจากพวกเขาจากไปไม่นาน รอบทิศของบ้านสกุลลั่วเหมือนจะมีดวงตาเพิ่มขึ้นมา ดวงตาเหล่านี้ล้วนเป็คนที่จ้าวจือชิงหามาคุ้มกันสกุลลั่วก่อนจากไป
-----