ทว่าติงเหว่ยกลับส่ายหน้า “ท่านแม่ ข้ายังมีเื่ต้องจัดการที่จวนสกุลอวิ๋นอีก ข้าคงไม่ได้อยู่บ้านนานสักเท่าไร อีกเดี๋ยวคงต้องขอตัวก่อน”
“เอ๋ เ้ากลับเร็วขนาดนั้นเลยหรือ?” แม่นางหลี่ว์รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย คิดจะพูดให้ลูกสาวอยู่ต่ออีกสักพัก แต่สุดท้ายนางก็มีสีหน้าที่หม่นหมอง “เอาเถอะ เ้ากลับไปเถอะ ในเมื่อเป็ลูกจ้างคนอื่นก็มักจะไม่สามารถมีอิสระได้”
ติงเหว่ยไม่อยากให้แม่นางเสียใจ จึงรีบพูดว่า “ท่านแม่ อีกแค่ครึ่งเดือนข้าก็จะคลอดลูกแล้ว พอถึงตอนนั้นท่านแม่ต้องไปอยู่เดือน [1] เป็เพื่อนข้าด้วยนะ ท่านแม่จัดการเตรียมเื่ที่บ้านไว้ให้เรียบร้อยเสียก่อน จะปล่อยพ่อข้าอดอยากและหนาวเหน็บไม่ได้นะ”
แน่นอนว่าเมื่อแม่นางหลี่ว์ได้ยินเช่นนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นเป็อย่างมาก “เ้าวางใจเถอะ บ้านเรามีร้านอาหารอยู่ยังไงก็คงไม่ปล่อยให้พ่อเ้าอดอยากหรอก แต่เ้าน่ะสิต้องดูแลสุขภาพตนเองให้ดีล่ะ!”
“ข้าทราบแล้วท่านแม่ ท่านไม่ต้องเป็ห่วงข้าหรอก”
สองแม่ลูกพูดคุยกันอีกเล็กน้อย จากนั้นติงเหว่ยก็ลงไปนั่งสวมรองเท้าบนพื้นแล้วจึงกลับไป ทั้งครอบครัวสกุลติงพากันเดินไปจนถึงหน้าประตูบ้านก็ถูกติงเหว่ยไล่ให้กลับไป แต่พี่รองสกุลติงยังอยากไปส่งนางให้ถึงจวนสกุลอวิ๋นทว่าติงเหว่ยก็ไม่อนุญาต นางถือของกินเล็กๆ น้อยๆ ที่แม่นางหลี่ว์เตรียมไว้ให้แล้วค่อยๆ เดินไปบนถนนลูกรังที่มุ่งหน้าสู่จวนตระกูลอวิ๋นด้วยตนเอง
ในบางครั้ง เมื่อเหล่าฮูหยินในหมู่บ้านเห็นติงเหว่ยเดินผ่านจากที่ไกลๆ พวกนางก็พากันหลบอยู่หลังกำแพงบ้านด้วยดวงตาเบิกกว้าง ท่าทางดูทั้งหวาดกลัวและตื่นเต้นในคราเดียวกัน ทำให้ติงเหว่ยรู้สึกตลกเป็อย่างมาก ทว่าแผ่นหลังของนางกลับยืดตรง ต่อให้หนทางข้างหน้าจะต้องฝ่าลมฝ่าฝน [2] อีกสักเท่าไร แต่ยังมีท่านพ่อท่านแม่และครอบครัวที่รักนาง ในท้องก็ยังมีลูกที่เป็สายเืของนาง ดังนั้นนางจึงไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว
……
จวนสกุลอวิ๋นยังคงมีบรรยากาศเงียบสงบเช่นเคย ตอนแรกติงเหว่ยแอบมีความคิดเหมือนเด็กๆ นางอยากจะแกล้งเสี่ยวฝูจื่อที่กำลังเฝ้าประตูอยู่ให้ใ แต่ไม่รู้ว่าเสี่ยวฝูจื่อที่มีความรับผิดชอบมาโดยตลอดแอบไปี้เีอยู่ที่ไหนเสียแล้ว นางจึงเด็ดดอกไม้ป่าที่อยู่ข้างทางขึ้นมากำหนึ่ง จากนั้นก็แบ่งออกเป็สองสามช่อแล้วเสียบไว้บนกลอนประตู จากนั้นนางก็ยืนมองด้วยความพึงพอใจ นางรู้สึกว่าตนเองได้เพิ่มสีสันให้แก่จวนสกุลอวิ๋น ทำให้นางอารมณ์ดีเป็อย่างมากและนางก็หมุนตัวเดินเข้าไปข้างในจวน
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อเหยียบบันไดหินอ่อนขึ้นไปแล้วถึงลื่นผิดปกติ ติงเหว่ยยังไม่ทันจะทรงตัวได้จึงหกล้มลงไป!
สัญชาตญาณความเป็แม่ทำให้นางกอดท้องไว้แน่นเป็ครั้งแรก ทว่าอาการเ็ปที่เอวและแผ่นหลัง ประกอบกับที่นางหกล้มอย่างรุนแรงเมื่อครู่ทำให้บริเวณระหว่างขาทั้งสองของนางเปียกและร้อนชื้นขึ้นมาในทันที
“อ้าว! แม่นางติง!”
นานๆ ครั้งอวิ๋นอิ่งจะได้มีวันพักผ่อนและไม่จำเป็ต้องคอยติดตามเ้านายตลอดเวลา แต่ความสงบสุขเช่นนี้กลับทำให้นางรู้สึกไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางกินข้าวเป็เพื่อนท่านพ่อบุญธรรมและไปงีบหลับสักตื่น แต่ในใจก็ยังรู้สึกไม่สงบนิ่ง ดังนั้นนางจึงวางแผนที่จะไปรับติงเหว่ยให้เร็วขึ้นกว่าเดิมสักหน่อย ถึงแม้จะยังไม่ถึงเวลาแต่การไปรอที่หน้าบ้านสกุลติงก็คงดีกว่ารออย่างโง่เขลาอยู่ในจวนตั้งเยอะ
เมื่อคิดได้เช่นนั้นอวิ๋นอิ่งจึงเก็บข้าวของเตรียมจะออกไป ปรากฏว่าพอนางเดินไปถึงที่เรือนด้านหน้าก็พบแม่นางติงที่ล้มอยู่ตรงบันไดและกำลังกอดท้องของนางเอาไว้ อวิ๋นอิ่งใกลัวจนิญญาแทบจะออกจากร่างในทันที!
“แม่นางติง ท่านเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ท้องของท่านเป็ยังไงบ้าง” ตอนนี้อวิ๋นอิ่งเองก็ไม่สามารถควบคุมมืออันสั่นเทาของนางได้
ติงเหว่ยรู้สึกเจ็บท้องอย่างมากราวกับข้างในกำลังจะเปลี่ยนแม่น้ำให้กลายเป็ทะเล [3] และภาพด้านหน้าก็พลันมืดลง นางพยายามอดทนต่อความเ็ปอย่างเต็มที่ และพูดด้วยเสียงแ่เบาว่า “รีบไปเรียกท่านหมอซานมาเร็วเข้า แล้วก็ไป…ไปหาหมอตำแยมา ข้าเกรงว่าข้ากำลังจะคลอดลูกแล้ว!”
“อ๊า!!! ใครก็ได้ช่วยด้วย!” อวิ๋นอิ่งมองไปที่ชายกระโปรงของติงเหว่ยโดยไม่รู้ตัว เืสีแดงฉานไหลออกมาเต็มไปหมดจนดวงตาของนางก็เป็สีแดงไปด้วย นางกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา
ดังคำกล่าวที่ว่าไว้ ‘ผลิง่วงร่วงเพลียร้อนงีบ[4]’ ในเวลานี้ทุกคนในจวนสกุลอวิ๋นนั้นหากว่าไม่มีอะไรทำต่างก็พากันนอนหลับพักผ่อน บางคนปูเสื่อนอนใต้ร่มไม้ บางคนลงนอนบนระเบียงทางเดิน ทุกคนต่างพากันนอนหลับอย่างฝันหวาน ทันใดนั้นจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของใครบางคน พวกเขาต่างถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา ทุกคนจึงพากันขมวดคิ้ว
หลังจากฟังอยู่สักพัก พวกเขาก็จำได้ว่าเป็เสียงของอวิ๋นอิ่ง พวกเขาจึงรึบะโลุกขึ้นด้วยความใและพากันวิ่งไปที่เรือนด้านนนอก
อวิ๋นอิ่งคือใครน่ะหรือ นางก็คือสาวใช้ผู้มีใบหน้าเ็าที่สุด วันๆ ไม่ต้องพูดว่านางจะยิ้มหรือไม่ แม้แต่คำพูดสักประโยคก็ไม่เคยได้ยินจากปากของนาง นอกจากนี้นางยังคอยดูแลอยู่ข้างกายแม่นางติงเสมอ การที่นางกรีดร้องเช่นในตอนนี้แสดงว่าต้องเกิดเื่ใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน
ทุกคนต่างพากันรีบวิ่งออกไป และภาพที่พวกเขาเห็นคือติงเหว่ยที่เป็เ้านายและอวิ๋นอิ่งคนใช้ทั้งสองนอนอยู่บนพื้นและมีเืไหลเจิ่งนองออกมาเต็มไปหมด!
“ไอ๊หยา รีบไปตามท่านหมอซานกับท่านหมอตำแยมาเร็วเข้า!”
ทุกคนตื่นตระหนกในทันที พากันวิ่งมั่วซั่วไปรอบๆ ราวกับแมลงวันที่ไร้หัว ภายในจวนสกุลอวิ๋นโกลาหลกันไปหมด และแน่นอนว่าไม่มีใครเห็นเงาคนภายใต้ชุดสีน้ำเงินที่ซ่อนตัวอยู่ในคอกม้าคนนั้น…
ในไม่ช้าติงเหว่ยก็ถูกพากลับมาที่เรือนเล็ก ซานอีรีบวิ่งมาทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้คาดผ้าคาดเอว ทันทีที่เขากวาดตามองไปเห็นกระโปรงที่เต็มไปด้วยเื เขาก็ร้อนใจจนสบถออกมาว่า “ไอ้คนตาบอดคนใดกันที่มาทำให้นางสะดุดล้ม? เวลานี้หากโชคร้ายขึ้นมาก็จะกลายเป็หนึ่งร่างสองชีวิต!”
อวิ๋นอิ่งไม่มีเวลาอธิบาย นางจึงดึงท่านหมอซานไปด้านข้างเตียงเตาทันที
ซานอีพยายามสงบสติอารมณ์อย่างถึงที่สุด หลังจากที่เขาตรวจชีพจรเสร็จใบหน้าของเขากลับซีดขาวกว่าติงเหว่ยถึงสามส่วน
“หมอตำแยอยู่ที่ไหน รีบไปพาหมอตำแยมาทำคลอดเร็วเข้า ส่วนข้าจะไปต้มยามาให้เดี๋ยวนี้!”
ทุกคนล้วนไม่ได้โง่เขลา เมื่อพวกเขาเห็นท่าทีที่จนตรอกของซานอี ในใจพวกเขาก็รู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆ ขึ้นมา
เกรงว่าเื่นี้จะเป็เื่ร้ายมากกว่าเื่ดีเสียแล้ว!
ท่านป้าหลี่เคยคลอดลูกมาก่อนจึงถือว่าพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง นางะโเรียกเสี่ยวชิงและอวิ๋นอิ่งที่กำลังใให้รีบมาช่วยต้มน้ำร้อน จากนั้นนางก็เอาผ้าห่มมาห่มให้ติงเหว่ย แล้วก็ป้อนหงถังสุ่ย [4] ให้ติงเหว่ยดื่มไปครึ่งชาม
ติงเหว่ยรู้สึกเ็ปจนแทบจะหมดสติ แต่นางรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่ามีคนจับมือนางอยู่ข้างๆ “ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่!”
เมื่อท่านป้าหลี่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสงสาร นางคิดถึงสิ่งดีๆ ที่ติงเหว่ยทำตลอดเวลาที่ผ่านมา สุดท้ายจึงทนไม่ไหวแล้วะโเสียงดังไปทางประตูว่า “ใครอยู่ข้างนอก รีบไปเรียกครอบครัวสกุลติงมา แม่นางติง้าท่านแม่ของนาง ไปเรียกท่านแม่ของนางมาให้ความกล้าแก่ลูกสาวของเขาเร็วเข้า!”
เสี่ยวฝูจื่อไม่รู้ว่าแอบเข้าไปในเรือนเล็กจากทางไหน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล และเมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็หันหลังกลับและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
……
เดิมทีท่านลุงอวิ๋นกำลังช่วยนายน้อยของเขาเขียนจดหมาย เนื่องจากนานๆ ทีจะมีข่าวคราวจากซีจิง ในวันนั้นหลังจากที่คนสารเลวตระบัดสัตย์สั่งการนักฆ่าแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้ขึ้นเป็ฮ่องเต้ แต่น่าเสียดายที่เมืองซีเฮ่าถูกทำลายเละเทะจนไม่เหลือชิ้นดี เขาไม่เพียงแต่ไม่คิดจะหาวิธีปฏิรูป กลับรีบขึ้นภาษีของเกษตรกรเพื่อหาเงินเข้าท้องพระคลังและขยายวังหลัง คาดการณ์ไว้ได้เลยว่าเมื่อถึงคราวที่ประชาชนแบกรับภาษีที่เอารัดเอาเปรียบไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาจะต้องพากันลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอย่างแน่นอน…
ทว่าท่านลุงอวิ๋นกลับรู้สึกมีความสุข เขากัดฟันแล้วพูดว่า “เ้าโก่วฮวงตี้ [6] คนนี้ นั่งบัลลังก์ัได้ไม่ทันไรก็ไปเรียนความเย่อหยิ่งฟุ่มเฟือยและลามกอนาจารของฮ่องเต้พระองค์ก่อนเสียแล้ว พอถึงตอนนั้นไม่ต้องรอให้ถึงมือของนายน้อย เกรงว่าเขาก็คงถูกประชาชนซีเฮ่าถ่มน้ำลายใส่จนตายไปเสียก่อน”
กงจื้อิค่อยๆ ยกมือซ้ายขึ้นเพื่อกดกระดาษเอาไว้ เขาขยับนิ้วไปมาด้วยความพึงพอใจและตอบอย่างใจเย็นว่า “สองปีนี้จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังไงก็ยังมีหลิวพัวจวินอยู่ในราชสำนัก หากว่าผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของซีเฮ่าค่อยๆ พังทลายไป แล้วเขาจะรับใช้ประเทศชาติได้เช่นไร?”
ท่านลุงอวิ๋นนึกถึงคนหน้าซื่อใจคดที่มักจะดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกกับนายน้อยอยู่เสมอ ถือได้ว่าเป็สหายคนสนิทคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่สุดท้ายเขากลับเป็คนที่ทำร้ายนายน้อยให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ท่านลุงอวิ๋นแทบจะอยากกินเืกินเนื้อของหลิวพัวจวินในทันที
“นายน้อย หากในอนาคตจับคนทรยศคนนั้นได้ ท่านจะต้องยกเขาให้บ่าวชราคนนี้จัดการเป็การตอบแทน”
กงจื้อิหยิบลูกเหอเถาสองลูกที่ถูกกลิ้งไปมาจนผิวเรียบมันวาวไปแล้วขึ้นมาวางไว้ในมือซ้ายและค่อยๆ ฝึกหมุนมันอย่างช้าๆ โดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่ ถึงแม้บิดามารดาของกงจื้อิจะตายไปั้แ่ตอนเขายังเด็ก เหลือแค่เขาที่ถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตโดยลำพัง ทว่าท่านพ่อบุญธรรมเห็นแก่มิตรภาพเก่าแก่จึงเลี้ยงดูฟูมฟักเขามาอย่างดีราวกับเป็ลูกชายแท้ๆ ของเขาเอง ข้างกายของเขาไม่เคยขาดผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ แต่ละวันผ่านไปดั่งใจนึก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะมีความเย่อหยิ่งทะนงตนไปบ้าง
แต่ในระหว่างทางที่กงจื้อิกำลังเดินทัพหลังจากได้รับชัยชนะกลับมา ชาที่ถูกใส่อะไรบางอย่างชามหนึ่งกลับทำให้เขาตกลงมาจากที่สูงอย่างแรง แต่อย่างไรก็ถือได้ว่าเหตุการณ์นี้ทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าสิ่งใดคือัที่ติดอยู่ในน้ำตื้นและสิ่งใดคือพยัคฆ์ที่ถูกสุนัขกลั่นแกล้ง[7]
อย่างไรก็ตาม มีเพียงลมพายุเท่านั้นที่จะรู้ความแข็งแกร่งของต้นหญ้า [8] หายนะในครั้งนั้นทำให้เขาได้เห็นคนที่ภักดีและคนที่ทรยศอย่างชัดเจนมากมาย หากว่าเป็เมื่อก่อนเขาคงคิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่แม่ครัวกลับซื่อสัตย์ต่อเขามากกว่าคนที่นับถือกันเป็พี่น้องหรือเพื่อนสนิทเสียอีก
นายท่านและบ่าวต่างก็กำลังใช้ความคิดของตนเอง ทันใดนั้นจู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงโกลาหลดังมาจากที่เรือนด้านหน้า ท่านลุงอวิ๋นจึงขมวดคิ้วและพูดขอโทษว่า “เหล่าคนใช้อาจก่อเื่อะไรกันอีกแล้วจนมารบกวนการพักผ่อนของนายน้อย บ่าวจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
กงจื้อิผ่านเื่ต่างๆ มามากมาย จิตใจของเขาเองก็นิ่งสงบขึ้นเยอะ ดังนั้นเขาจึงโบกมือแล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “ไม่เป็ไรเ้าอ่านจดหมายต่อเถอะ”
ทันทีที่กงจื้อิพูดจบ ท่านลุงอวิ๋นยังไม่ทันจะได้เปิดจดหมาย ซานอีกลับวิ่งเข้ามาข้างใน เสื้อผ้าของเขายุ่งเหยิงและใบหน้าของเขาก็ขาวซีดทำให้ท่านลุงอวิ๋นใจึงรีบถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
แววตาของกงจื้อิเองก็เต็มไปด้วยความสงสัย “หรือข้างนอกมีคนได้รับาเ็อย่างนั้นหรือ?”
ซานอีรีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว เขากลืนน้ำลายลงไปก่อนจะตอบว่า “ไม่ใช่คนในจวนของเรา เป็แม่นางติงที่…ล้มลงไปแล้ว!”
“อะไรนะ?” ท่านลุงอวิ๋นรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที และยกเท้าวิ่งออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง
“ตึง!” เหอเถาในมือของกงจื้อิหล่นลงบนเตียงเช่นกัน เขาอยากจะลุกขึ้นมาแต่ก็ลุกไม่ได้ ดวงตาของเขาฉายแววหงุดหงิดขึ้นมาครู่หนึ่ง โชคดีที่ซานอียังพอมีไหวพริบอยู่บ้างและเฟิงจิ่วก็ปรากฏตัวออกมาทันที ทั้งสองคนช่วยกันประคองกงจื้อิไปไว้บนรถเข็นอย่างรวดเร็วและพากันไปยังเรือนเล็ก
……
ในตอนนั้นเองหลินลิ่วก็พาองครักษ์เงาไปด้วยสองคนเพื่อที่จะรีบไปชิงตัวหมอตำแยทั้งสองคนที่ถูกนัดหมายไว้ก่อนหน้านี้มาที่จวน หมอตำแยทั้งสองนางกำลังคิดจะตำหนิสักหน่อย แต่เมื่อพวกนางเห็นสีหน้าของคนที่อยู่ทั้งภายในและภายนอกห้องจึงรีบปิดปากเงียบ หนึ่งในนั้นขอให้เสี่ยวชิงไปยกน้ำร้อนมา และอีกคนก็เลิกกระโปรงของติงเหว่ยขึ้นเพื่อจะตรวจสอบดู
ปรากฏว่าเมื่อหมอตำแยทั้งสองนางดูแล้ว สีหน้าของพวกนางก็แย่ลงไปมากกว่าเดิม
“ทำไมเืไหลออกมามากขนาดนี้กัน? แล้วน้ำคร่ำก็ไหลออกมามากกว่าครึ่งแล้ว ทำไมปากมดลูกถึงยังไม่เปิดอีก…เกรงว่าน่าจะคลอดยากเสียแล้ว?”
เมื่อท่านป้าหลี่เห็นว่าหมอตำแยาุโทั้งสองคนต่างก็ถอยออกไปยืนห่างจากเตียงสองก้าวด้วยท่าทีที่เหมือนว่าจะไม่ช่วยเหลืออีกต่อไป นางโกรธจนอยากจะก้าวออกไปข้างหน้าและข่วนหน้าพวกนางเสีย ดังนั้นท่านป้าหลี่จึงโยนผ้าขนหนูในมือลงไปที่พื้นพร้ะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “พวกเ้าเป็หมอตำแย ที่เชิญพวกเ้ามาก็เพื่อให้มาทำคลอดไม่ใช่ให้มาดูเื่สนุกสนาน หากวันนี้แม่นางติงคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย พวกเ้าจะได้รับประโยชน์จากเื่นี้อย่างแน่นอน แต่หากพวกเ้าไม่ทำอย่างเต็มที่ ข้านี่แหละจะเป็คนแรกที่จัดการพวกเ้าซะ พวกเ้าไม่ลองไปสืบข่าวดูล่ะว่าพวกเราสกุลอวิ๋นไม่ใช่ว่าจะถูกรังแกได้ง่ายๆ นะ!”
เมื่อหญิงชราทั้งสองได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่ค่อยพอใจ ในขณะที่พวกนางกำลังจะพูดอะไรบางอย่างท่านลุงอวิ๋นก็มาถึงพอดี แต่เขาเองไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ เขาจึงยืนอยู่ด้านนอกหน้าต่างและได้ยินสิ่งที่ป้าหลี่ะโเสียงดังขึ้นมาเมื่อครู่ “ท่านป้าหลี่พูดถูกแล้ว หากแม่ลูกปลอดภัยทั้งคู่ข้าจะให้รางวัลคนละ 20 ตำลึง แต่หากว่ามีอะไรผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว พวกเ้าอย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอดอีกเลย!”
หญิงชราสองคนใกลัวจนตัวสั่น และพวกนางก็แอบบ่นในใจเงียบๆ ว่าแค่พริบตาเดียวจากที่พวกนางกำลังจะข่มขู่กลับกลายเป็ว่าแม้แต่ชีวิตของตนเองก็จะรักษาไว้ไม่ได้
ทั้งสองคนสบตากันต่างก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่เล็กน้อย แต่เมื่ออวิ๋นอิ่งหยิบไม้ที่อยู่ข้างเตียงเตาขึ้นมาหักเป็เสี่ยงๆ พวกนางก็หวาดกลัวจนตัวสั่น จากนั้นคนหนึ่งก็รีบพับแขนเสื้อขึ้นทันทีและช่วยทำความสะอาดให้ติงเหว่ย ส่วนอีกคนหนึ่งก็ไปนวดที่ท้องของติงเหว่ย
กงจื้อินั่งรถเข็นไปจนถึงเรือนเล็ก เหล่าคนรับใช้ที่เดิมทีกำลังรอดูเื่สนุกๆ ต่างพากันใ พวกเขารีบคำนับและถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ซานอีวิ่งกลับไปหยิบยามาต้ม เฟิงจิ่วก็เข็นเก้าอี้ของนายน้อยไปที่ข้างหน้าต่าง ท่านลุงอวิ๋นเองก็ร้อนใจจนเหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผาก ในขณะที่กำลังเดินไปเดินมาเขาเห็นนายน้อยมาที่นี่ก็ยิ่งร้อนใจขึ้นไปอีก เขาวิ่งไปข้างหน้าและตำหนิว่า “นายน้อย ท่านมาได้ยังไง ที่นี่มีคนนอก…”
ทว่ากงจื้อิกลับโบกมือขึ้นอย่างแรง แล้วถามว่า “ข้างในเป็เช่นไรบ้าง?”
-----------------------------------------
[1] อยู่เดือน 坐月子 หมายถึง การดูแลแม่ลูกอ่อนตามขนบแบบจีนเก่า มีข้อปฏิบัติและข้อห้ามหลายอย่าง โดยรายละเอียดจะอิงตามคติความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น หลักๆ คือห้ามแม่ลูกอ่อนสระผมและแช่น้ำเย็น ให้กินอาหารบำรุง ห้ามโดนลม ฯลฯ
[2] ฝ่าลมฝ่าฝน 凄风苦雨 หมายถึง เผชิญกับอุปสรรคหรือความยากลำบาก
[3] เปลี่ยนแม่น้ำให้กลายเป็ทะเล 翻江倒海 แต่เดิมหมายถึงฝนตกอย่างหนัก มักใช้บรรยายถึงอำนาจหรือพลังอันยิ่งใหญ่ที่ทั้งแข็งแกร่งและทรงพลัง
[4] ผลิง่วงร่วงเพลียร้อนงีบ 春困秋乏夏打盹 หมายถึง สุภาษิตพื้นบ้าน “่ฤดูใบไม้ผลิจะรู้สึกง่วงนอนได้ง่าย ่ฤดูใบไม้ร่วงจะรู้สึกอ่อนเพลียได้ง่าย และ่ฤดูร้อนจะงีบหลับได้ง่าย”
[5] หงถังสุ่ย 红糖水 หมายถึง น้ำเชื่อม(น้ำผสมน้ำตาลทรายแดง)
[6] โก่วฮวงตี้ 狗皇帝 ใช้เปรียบเปรยถึง ผู้ที่ทำแต่ความชั่ว จ้องแต่จะเอารัดเอาเปรียบประชาชน ละโมบโลภมากในเงินทองและตัณหา ไม่สมควรเป็ฮ่องเต้(โก่วในที่นี้หมายถึงสุนัข ฮวงตี้หมายถึงฮ่องเต้)
[7] ัที่ติดอยู่ในน้ำตื้น 龙困浅滩 และ พยัคฆ์ที่ถูกสุนัขกลั่นแกล้ง 虎遭犬戏 หมายถึง เป็คำอุปมาถึงผู้ที่มีอำนาจ ผู้ที่มีตำแหน่ง หรือ มีสถานะบางอย่าง เมื่อพวกเขาสูญเสียอำนาจไปพวกเขาจะถูกกดขี่ข่มเหงโดยคนธรรมดาทั่วไป และยังมีความหมายอีกอย่างหนึ่งว่าเมื่อคนคนหนึ่งสูญเสียอำนาจไปแล้ว ต่อมาก็ไม่อาจกลับมาสู้กับคนธรรมดาทั่วไปได้อีก
[8] มีเพียงลมพายุเท่านั้นที่จะรู้ความแข็งแกร่งของต้นหญ้า 疾风知劲草 หมายถึง เมื่อมีลมแรงเท่านั้นเราจึงจะเห็นว่าหญ้าชนิดใดแข็งแกร่ง ใช้อุปมาถึงความมุ่งมั่นแน่วแน่ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค(ผ่านการทดสอบต่างๆ)