เมื่อนึกถึงท่าทีของฉู่สยง ฉินอวี่ก็คาดว่าเขาคงรู้แต่เพียงว่าในเขตต้องห้ามมีของดีอยู่ แต่คงไม่รู้ความลับของส่วนลึกในเขตต้องห้าม ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่ปล่อยให้อสูรร้ายสายเืหยาจื้อตัวนั้นหลุดจากมือเขาแน่นอน
“ถ้าส่วนลึกในเขตต้องห้ามมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหยาจื้อ และสามารถมาได้ ข้าก็จะได้สายเืหยาจื้อที่แท้จริง! หากสามารถทำการควบรวมพลังให้กลายเป็กระบี่ัของัาได้ก่อนการประลองศิษย์ แม้จะไม่ใช้วิชาปีศาจคลั่งก็สามารถเข้าเป็สิบอันดับแรกได้!”
วิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรตเป็ท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของฉินอวี่ หากไม่ถึงสถานการณ์ที่จำเป็จริงๆ ฉินอวี่ก็ไม่้าเปิดเผยมันออกมา ไม่เช่นนั้น หากเป็ที่สนใจของใครขึ้นมา เกรงว่าคงเกิดเื่วุ่นวายขึ้นเป็แน่
เมื่อระงับความคิดภายในใจไว้แล้ว ฉินอวี่ก็ลืมตาทั้งสองขึ้น และมองเห็นฉือเซียวที่นั่งอยู่ตรงด้านหนึ่ง กำลังจ้องมองมาที่ตนเอง โดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“เ้าดื่มเืพวกนี้ไปจนหมดจริงหรือ?” ฉือเซียวมองฉินอวี่ที่เพิ่งตื่นขึ้นมา และเอ่ยปากถามออกไป
ภายใต้หน้ากาก เขามีความเขินอายขึ้นเล็กน้อย และพูดออกไป “ใช่ ขอบคุณศิษย์พี่! เืพวกนั้นข้าจะคืนให้ท่านในภายหน้า”
น้ำเต้านั่นมีเือสูรอยู่อย่างน้อยหนึ่งร้อยตัว และก็ไม่รู้ว่าฉือเซียวใช้เวลาไปนานแค่ไหนในการรวบรวมพวกมัน เมื่อดื่มมันไปจนหมด ทำให้ฉินอวี่รู้สึกเขินอยู่เล็กน้อย
“ไม่ต้องหรอก ที่นี่ยังมีอีกมาก เือสูรร้ายระดับสี่ไม่มีประโยชน์อะไรกับข้า เพียงแต่ เ้านี่แปลกคนจริงๆ นึกไม่ถึงว่าร่างของเ้าจะยังไม่ะเิ!” ฉือเซียวจ้องไปทางฉินอวี่ และยิ้มอย่างขื่นๆ ในฐานะที่เป็อันดับที่หนึ่งของศิษย์อัจฉริยะ แต่เขาก็ยังชื่นชมในตัวฉินอวี่อย่างยิ่ง ที่เขามีความแปลกประหลาดกว่าคนอื่น
“ขอบคุณศิษย์พี่!” ฉินอวี่กล่าว แม้ว่าฉือเซียวจะพูดเลี่ยง แต่เือสูรร้ายมากกว่าร้อยตัว หากนำไปขายก็นับว่าคงได้กำไรมาจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
“เรียกพลังอัคคีของเ้าออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ” ฉือเซียวสะบัดมือ และพูดออกไป
ฉินอวี่ยกมือขวาขึ้นมาทันทีอย่างไม่ลังเล เปลวเพลิงที่มีสีเทาได้ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้นราวกับพลังปราณที่เย็นจนหนาวสั่น ฉือเซียวเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย เมื่อเขามองให้ละเอียดอีกครั้ง เขาก็อดจะใไม่ได้ “นี่มันเป็อัคคีเปลวเพลิงชนิดใดกัน?”
“เพลิงแอ่งธรณี” ฉินอวี่ตอบ
“เพลิงแอ่งธรณี? เป็ไปได้อย่างไร?” ฉือเซียวจ้องตรงไปด้วยความใ มีสีหน้าที่ดูเหลือเชื่อเล็กน้อย เขาเหยียดมือขวาออกไป พยายามัักับเพลิงแอ่งธรณี
แต่ยังไม่ทันััมัน ฉือเซียวก็ต้องรีบดึงมือกลับมา จ้องตรงไปทางเพลิงแอ่งธรณีด้วยใบหน้าเคร่งขรึม และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “นี่ไม่ใช่เพลิงแอ่งธรณี ข้าเคยเห็นเพลิงแอ่งธรณีมาก่อน มีพลังขนาดนี้ที่ไหนกัน? เพลิงอัคคีของเ้ายังไม่ทันััก็รู้สึกสะท้านขนาดนี้แล้ว!”
ฉินอวี่ก็จ้องตรงไปทางเพลิงแอ่งธรณีของตนเองเช่นกัน แม้ว่าจะสามารถควบคุมเพลิงแอ่งธรณีได้ แต่เขาก็รู้สึกมาตลอดว่าตนเองยังไม่สามารถควบคุมหรือมีความเข้าใจต่อเพลิงแอ่งธรณีได้อย่างแท้จริง และยังรู้สึกเหมือนเพลิงแอ่งธรณีนี้จะมีความลับบางอย่างที่เขายังไม่รู้แอบซ่อนอยู่!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูดซับพลังอัคคีของเพลิงแอ่งธรณีในครั้งนี้ ทำให้ฉินอวี่ได้พบกับความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เขายังไม่เข้าใจ
ในตอนที่เขาได้รับมันมานั้น เพลิงแอ่งธรณีดูเหมือนเปลวเพลิงโดยทั่วไป และมีความเป็พิษอยู่ระดับหนึ่ง แต่เพลิงแอ่งธรณีของเขาในตอนนี้กลับมีพลังเพิ่มขึ้นเป็เท่าตัว และพิษของมันก็แทบจะหายไปทั้งหมด อีกทั้งในพลังของมันก็ดูเหมือนจะมีพลังที่แปลกประหลาดบางอย่างแฝงอยู่ พลังชนิดนี้ฉินอวี่เองก็ยังไม่อาจบอกได้แน่ชัด
“น่าเสียดาย หากรู้ว่าหวังผิงได้เพลิงแอ่งธรณีมาจากไหน บางทีอาจจะบอกได้ว่าเพลิงแอ่งธรณีมีความลับอะไรแอบแฝงอยู่กันแน่” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง
ฉินอวี่ระงับความคิดของเขาเอาไว้ในใจ จากนั้นจึงเก็บเพลิงแอ่งธรณีกลับเข้าไปในจุดตันเถียน และถอนหายใจออกมา “ใช่ เพลิงชนิดนี้มีความแปลกประหลาดจริงๆ จริงสิ ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ฉือพอจะรู้เื่เกี่ยวกับแดนขัดเกลาแห่งนี้มากน้อยเพียงใด”
ฉินอวี่ไม่ถามว่าฉือเซียวรู้เื่เขตต้องห้ามมากเพียงใด แต่กลับถามถึงแดนขัดเกลา ขอเพียงได้รู้ที่มาที่ไปของแดนขัดเกลา ก็น่าจะพอคาดเดาได้ว่ามีอะไรอยู่ในเขตต้องห้ามกันแน่
ฉือเซียวชำเลืองมองฉินอวี่ และคิดอยู่ในใจว่าฉินอวี่คงจะเพิ่งเข้ามาเป็ศิษย์ของอาจารย์ได้ไม่นานเท่าไร ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยรู้เื่ความลับต่างๆ มากนัก หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้น “เื่ของเขตต้องห้าม ข้าก็ไม่รู้อะไรนัก แต่เคยได้ยินอาจารย์บอกว่า แดนขัดเกลาเป็เศษเสี้ยวของดินแดนที่แตกสลายซึ่งที่ปรมาจารย์ปู่หวังชิงได้มาจากพื้นที่อันไร้ที่สิ้นสุด”
“ดินแดนที่แตกสลายในพื้นที่อันไร้ที่สิ้นสุด?” ฉินอวี่หรี่ตาลง ในตอนที่เขาเพิ่งเข้ามาถึงแดนขัดเกลา เขาคาดเดาไว้ว่าที่แห่งนี้จะต้องเป็แดนเซียนอู่ในอดีตที่แตกสลาย และตอนที่เขาเห็นรอยวิถีทำลายล้างที่รอยต่อของเขตต้องห้าม เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็ไปได้อย่างมากที่แดนขัดเกลาคือส่วนที่เหลืออยู่ของแดนเซียนอู่
และคำตอบที่ฉือเซียวมีให้กับฉินอวี่ยิ่งทำให้ฉินอวี่ตกตะลึงมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุดนั้นมีอยู่ั้แ่ยุคต้นแห่งแดนเซียนอู่แล้ว! แต่แดนขัดเกลาแห่งนี้เป็สิ่งที่หวังชิงได้มาจากความว่างอันไร้ที่สิ้นสุดหรือ? ก็อาจบอกได้ว่า... พื้นที่ของแดนขัดเกลาแห่งนี้จะต้องมีความลับและสิ่งวิเศษบางอย่างที่เหนือจากจินตนาการของตนเอง!
“เช่นนั้น... แดนขัดเกลามีเขตต้องห้ามอยู่กี่แห่ง?” ฉินอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“มีอยู่ห้าแห่ง! ที่นี่คือเขตต้องห้ามทางเหนือ! ผู้คนต่างลือกันว่า เคยมีอสูรร้ายที่แข็งแกร่งตัวหนึ่งมาตายอยู่ที่นี่ เืของมันได้ซึมลงไปในผืนดิน และด้วยพลังของอารมณ์ััแห่งเต๋าอันลึกล้ำและเข้มข้นของที่แห่งนี้ จึงทำให้เกิดอสูรร้ายที่เกี่ยวข้องกับอัคคีเกิดขึ้นเป็จำนวนมาก เมื่อเวลาล่วงเลยไป ที่แห่งนี้จึงกลายเป็เขตต้องห้ามทางด้านทิศเหนือ” ฉือเซียวตอบอย่างเรียบเฉย
“ห้าแห่งหรือ?” ฉินอวี่ถามกลับไป แต่ในใจกลับกำลังครุ่นคิดว่าเขตแดนต้องห้ามทั้งห้าแห่งที่ฉือเซียวพูดถึงจะเป็อะไรกันแน่
“มันถูกแบ่งออกเป็ออกตกเหนือใต้ ทิศละแห่ง และมีอยู่ตรงกลางอีกหนึ่งแห่ง แต่จุดที่อันตรายที่สุดคือเขตต้องห้ามทางตอนเหนือ ทางตะวันออก และทิศตรงกลาง!” ฉือเซียวพูด และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เ้าคงจะรู้จักหวังถู ผู้นำศิษย์รุ่นสอง และหวงถิงผู้าุโใหญ่แห่งสายชีพจรดินใช่หรือไม่!”
ภายใต้หน้ากาก ฉินอวี่มีสีหน้าที่ตกตะลึง หันมองทางฉือเซียวพลางพยักหน้าเล็กน้อย
“มีข่าวลือกันมาว่าผู้นำของศิษย์รุ่นสองได้รับกลเซียนกระบี่ชั้นสูงจากเขตต้องห้ามทางตะวันออกั้แ่ยังเล็ก จากนั้นจึงได้เป็ผู้นำศิษย์ ส่วนผู้าุโหวงถิงได้รับรู้รอยวิถียุทธ์อันน่าอัศจรรย์จากเขตต้องห้ามตอนกลาง ตอนนี้เขาจึงเป็ผู้แข็งแกร่งที่มีอำนาจสูงสุด เป็รองเพียงผู้นำรุ่นสามเท่านั้น” ฉือเซียวกล่าว
“ส่วนเขตต้องห้ามทางเหนือ อาจารย์ก็เคยเข้ามาแล้วเช่นกัน สถานที่แห่งนี้มีรอยวิถีแห่งอัคคี และมีโอกาสมากที่จะมีอสูรร้ายระดับสูงตายอยู่ในที่แห่งนี้ ดังนั้น เป้าหมายของข้าในครั้งนี้คือการเข้าไปในส่วนลึกที่สุดของเขตต้องห้าม เพื่อเข้าถึงอารมณ์ััแห่งเต๋าที่เหลืออยู่ในเืของอสูรร้ายตัวนั้น นี่เป็โอกาสครั้งสุดท้ายของพวกเราแล้ว หากข้าเข้าถึงขั้นกุมารทิพย์ก็คงหมดสิทธิ์ที่จะเข้ามาในแดนขัดเกลาแห่งนี้แล้วล่ะ เพราะที่แห่งนี้มีเพียงศิษย์ขั้นกุมารทิพย์ลงมาเท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้”
เมื่อได้รับคำตอบจากฉือเซียว ฉินอวี่ก็ยิ่งแน่ใจว่าอสูรร้ายที่พูดถึงจะต้องเป็อสูรร้ายหยาจื้ออย่างแน่นอน เพียงแต่ สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่คาดไม่ถึงเลยก็คืออาจารย์หวงถิงได้รับรอยวิถียุทธ์จากแดนขัดเกลามาก่อนเช่นกัน
รอยวิถีอัคคีที่ถูกทิ้งไว้เหนือฟากฟ้า น่าจะเป็สิ่งที่ถูกทิ้งไว้หลังจากการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งและหยาจื้อ และที่ต้องมีข้อจำกัดให้เป็ผู้ฝึกตนระดับขั้นกุมารทิพย์ลงมา น่าจะเป็เพราะดินแดนที่แตกสลายนี้มีความเปราะบางเป็พิเศษ ซึ่งไม่สามารถจะรองรับการเข้ามาของผู้ฝึกตนในระดับฝึกฝนขั้นสูงได้
“หากเป็เช่นนี้ ก็มีความเป็ไปได้อย่างยิ่งที่จะมีสายเืของหยาจื้อหลงเหลืออยู่ในส่วนลึกของเขตต้องห้ามจริงๆ? ขอเพียงเข้าไปถึงส่วนลึกของเขตต้องห้ามได้ ก็น่าจะสามารถนำมาได้แน่นอน”
“ไม่ใช่สิ ในส่วนลึกของเขตต้องห้ามมีอสูรร้ายระดับห้าอาศัยอยู่แน่นอน การมีข้อจำกัดให้ผู้ฝึกตนที่อยู่สูงกว่าขั้นเทียนชุ่ยเข้าไปด้านในก็เพื่อป้องกันการแตกสลายของดินแดนแห่งนี้ เช่นนั้นเื่ของอสูรร้ายระดับห้าล่ะ จะอธิบายอย่างไร? หรือว่า... นี่เป็เจตนาของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ที่มีจุดประสงค์สำคัญเพื่อฝึกฝนศิษย์รุ่นหลัง?”
“ได้ยินมาว่าในทุกหนึ่งเดือนที่ปิดแดนขัดเกลา จะมีกระแสอสูรเกิดขึ้น หากไม่สามารถเดินทางออกไปได้ทันเวลาจะต้องตายอย่างอนาถอยู่ที่นี่... แต่สิ่งนี้ไม่สามารถที่จะยืนยันได้ทั้งหมด ในทุกปีจะมี่เวลาการเปิดพื้นที่ อสูรร้ายในแดนขัดเกลาก็จะมีจำนวนลดลงทุกปี จนกระทั่งไม่มีเหลืออยู่เลย!”
“แต่ตอนนี้ อสูรร้ายในแดนขัดเกลายังมีอยู่อีกมาก แม้ว่าจะมีกระแสอสูรเกิดขึ้นใน่หนึ่งเดือนที่ปิดพื้นที่ เช่นนั้นแล้วอสูรร้ายเหล่านี้มาจากไหนกันแน่?”
หลังจากลองครุ่นคิดเื่นี้ ฉินอวี่ก็ยิ่งรู้สึกว่าการหาคำตอบเกี่ยวกับสำนักยุทธ์ว่านจ้งมีความยากขึ้นเรื่อยๆ และในตอนนี้เกรงว่าตนเองน่าจะยังรู้จักสำนักยุทธ์แห่งนี้เพียงยอดูเาน้ำแข็งเท่านั้น
ขณะที่ความคิดของฉินอวี่กำลังโลดแล่นอยู่นั้น ฉือเซียวก็หยุดลงกะทันหัน เงยหน้าขึ้นมองไปทางด้านขวา ท่าทางของเขาก็ดูเหมือนไม่อยากเชื่ออะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดขึ้น “หยางเทียน หยางเต้า!”
“หยางเทียน หยางเต้า!” ฉินอวี่รู้สึกงุนงง เขาเคยได้ยินชื่อทั้งสองชื่อนี้มาก่อน พวกเขาคือศิษย์อัจฉริยะอันดับสี่ และศิษย์อัจฉริยะอันดับห้า
“มาอยู่หน้าพวกเราได้อย่างไร? อีกอย่างตลอดทางที่ผ่านมาพวกเรายังไม่พบกับพวกเขาสองคนเลย” ฉือเซียวพึมพำด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
“หรือว่า... พวกเขายังไม่ได้ออกไปจากแดนขัดเกลาั้แ่การปิดพื้นที่ในครั้งก่อน? และยังคงอยู่ในแดนขัดเกลา? เป็ไปไม่ได้! เป็ไปไม่ได้แน่นอน!” ฉือเซียวพูดพลางพ่นลมหายใจอันเยือกเย็นออกมา
ฉินอวี่หรี่ตาลง ยังไม่ออกไปหรือ? หรืออาจบอกได้ว่าพวกเขายังติดอยู่ในแดนขัดเกลาั้แ่ปิดพื้นที่ในครั้งก่อน? พวกเขาหลบหลีกกระแสอสูรได้อย่างไร?
“ไปกันเถอะ พวกเราเข้าไปดูกัน!” ฉินอวี่นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงต่ำ
“ช้าก่อน!”
ฉือเซียวได้คว้าตัวฉินอวี่เอาไว้ และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “อย่าเพิ่งเข้าไปง่ายๆ แบบนั้น สองคนนี้เป็พี่น้องกัน และมีความเข้าใจที่สื่อต่อกันได้อย่างไม่มีข้อแม้!”
“จำไว้ ไม่มีคนธรรมดาคนไหนที่สามารถติดต่อกับศิษย์อัจฉริยะห้าอันดับแรกได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเป็อันดับสองอย่างจ้าวจิงหลง หรืออันดับสามอย่างหลิงเฉียนคุนต่างก็เป็ผู้ที่ยากหยั่งถึง!” ฉือเซียวพูดอย่างเคร่งขรึม เขาเคยประมือกับจ้าวจิงหลงมาก่อน จึงรู้จักความแข็งแกร่งของเขาเป็อย่างดี
“เป้าหมายของพวกเขาก็น่าจะเป็ส่วนลึกของเขตต้องห้ามเช่นกัน แม้ว่าทั้งสองคนจะมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังยากจะเข้าไปได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากพวกเราร่วมมือกัน แม้ว่าอาจยังไม่สามารถเข้าถึงส่วนลึกได้ แต่ความเป็ไปได้ก็สูงขึ้นมิใช่หรือ? ในเื่นี้ พวกเขาสองคนก็น่าจะรู้ดีเช่นกัน” ฉินอวี่กล่าวอย่างมีความหมาย
หากสองพี่น้องนี้สามารถเข้าไปได้จริงๆ ก็น่าจะเข้าไปจนถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ทำไมจึงยังอยู่ตรงหน้าเช่นนี้?
