หลังซักผ้าเสร็จ เจิ้งหยวนไปทำอาหารเย็นต่อจวบจนใกล้ถึงมื้อเย็น เจิ้งเจวียนก็กลับมาอย่างมีความสุข
เจิ้งหยวนมองท่าทางน้องสาวเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเจิ้งเจวียนเข้ากันได้ดีกับพวกยุวปัญญาชนโดยที่ไม่ต้องถาม
เจิ้งเจวียนเข้ามาช่วยเจิ้งหยวนย้ายโต๊ะและยกชามตะเกียบ พลางเล่าสิ่งที่พบเห็น่บ่ายวันนี้อย่างอดใจไม่อยู่ “พวกยุวปัญญาชนที่มาใหม่ใช้ได้เลยละ สหายหญิงสองคนก็ดีมาก ไม่อวดตน แถมยังไม่ดูถูกคนชนบทอย่างเราๆ สักนิด พวกเธอเข้ามาถามฉันว่าในกองมีงานอะไรให้ทำบ้างทันทีที่มาถึง แล้วยังขอให้ฉันสอนพวกเธอทำนาด้วย ฉันว่าพวกเธอมีจิตสำนึกสูงมากเลยละ ต้องเป็คนกระตือรือร้นทำงานแน่นอน ถึงตอนนั้นฉันจะบอกกับพี่หลิว ให้พี่หลิวคอยดูแลสหายหญิงทั้งสองคนนะ” พี่หลิวเป็หัวหน้าหญิงของกองหลิวหยาง พี่หลิวคนนี้พูดเก่งและวางตัวดี เธอไม่เหมาะจะผูกสัมพันธ์กับเจิ้งเฉวียนกังที่เป็หัวหน้ากอง เลยมักจะมาหาเฉินชุ่ยอวิ๋นที่บ้านและนำอาหารที่ทำเอง รวมถึงข้าวของอื่นๆ ติดมาให้ด้วย พี่หลิวมีรสมือดี เจิ้งเจวียนจึงชื่นชอบในตัวพี่สาวคนนี้มากเพราะอาหารอร่อยๆ พวกนี้
“แล้วสหายชายล่ะ?”
“สหายชาย?” เจิ้งเจวียนวางชามบนโต๊ะกลมตัวเล็ก ก่อนยู่ปาก “ฉันรู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องถาม”
เจิ้งหยวนวางตะเกียบบนชามข้าวแล้วเหล่ตามองเธอ
เจิ้งเจวียนสบตากับพี่สาวอย่างหมดคำพูดเล็กน้อย แต่เมื่อไม่มีสิ่งใดต้องปกปิดหรือน่าอับอาย เธอจึงเอ่ยตามตรง “คราวนี้มีสหายชายมาสามคน คนหนึ่งชื่อซ่งปิง อีกคนชื่อสวีเจี้ยนกั๋ว ส่วนคนสุดท้ายชื่อแปลกมาก เขาชื่อซั่งกวนเชิน ตอนแรกฉันนึกว่าเขาแซ่ซั่ง แต่เขาดันบอกว่าเขาแซ่ซั่งกวน! เฮ้ พี่ มีคนแซ่ซั่งกวนอยู่จริงๆ ! แซ่นี้หายากมากเลยนะ”
“หายากตรงไหนกัน หากแกอ่านหนังสือเยอะๆ ก็จะรู้ว่าสมัยราชวงศ์ถังมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ชื่อเสียงโด่งดังนามซั่งกวนอี๋ ซั่งกวนอี๋มีหลานสาวนามว่าซั่งกวนหวั่นเอ๋อร์ เป็นางข้าหลวงที่มีความสามารถภายใต้ฝ่าพระบาทของพระนางอู่เจ๋อเทียน”
“โอเคๆๆ พี่รู้เยอะกว่า!” เจิ้งเจวียนกลัวพี่สาวพูดพร่ำให้เธอไปเรียนหนังสืออีก จึงรีบกลับไปที่หัวข้อก่อนหน้านี้ “ผู้ชายที่ชื่อซั่งกวนเชินคนนั้นมีความสามารถทางการประพันธ์มากด้วยนะ สวีเจี้ยนกั๋วสหายร่วมชั้นเรียนของเขา บอกว่าเขาเคยเขียนบทความให้สำนักงานหนังสือพิมพ์จนได้รับค่าลิขสิทธิ์มาด้วยละ! พ่อเราดูชอบเขามากเลย บอกว่าหากอนาคตในกองเราทำกระดานข่าวหรือเขียนบทความอะไรจะไปหาเขา”
เป็พวกบังคับปลายปากกาสินะ เจิ้งหยวนพลันหวาดระแวงขึ้นมา เธอไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ กับนักประพันธ์เลยสักครั้ง แม้จะไม่อาจปัดตกไปทุกคน แต่ก็มักจะมีนักประพันธ์บางส่วนที่ทำตัวแย่มากในเื่ความรัก
ทว่าเจิ้งเจวียนดูรู้สึกดีกับคนที่ชื่อซั่งกวนเชินมาก หากเขาคนนี้เอาบทความลงหน้าหนังสือพิมพ์ได้ แสดงว่าต้องเป็บุรุษที่เก่งกาจมีความสามารถพอตัว แต่เจิ้งเจวียนที่ดวงตาเปล่งประกายยามพูดถึงเขา จู่ๆ ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความเสียดายอย่างชัดเจน “ติดอยู่อย่างเดียว... หน้าตาไม่ค่อยดีเท่าไร”
“...”
เจิ้งหยวนหมดคำจะพูด แต่เอาเถอะ ถ้าหน้าตาอัปลักษณ์เธอก็วางใจแล้ว “แล้วซ่งปิงล่ะ แล้วสวีเจี้ยนกั๋วด้วย ทั้งสองคนเป็ยังไงบ้าง?”
เจิ้งเจวียนครุ่นคิดตามก่อนเอ่ยตอบ “สวีเจี้ยนกั๋วเหรอ เขาก็ดูธรรมดานะ ผิวดำคล้ำ ดวงตาเล็กตี่ แต่งตัวไม่ได้ดีมาก แถมบนเสื้อก็มีรอยปะชุนอยู่ ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากคนชนบทอย่างเราๆ เลย”
“แล้วแกคิดว่าไงล่ะ? ทุกคนล้วนเป็ลูกหลานของพระเ้าหวงและพระเ้าเหยียน [1] กันทั้งนั้น คนในเมืองอย่างพวกเขาจะมีจมูก มีตางอกมากกว่าเาาวชนบทเหรอ?” เจิ้งหยวนหัวเราะออกมาเบาๆ เห็นคนในเมืองกินข้าวซื้อกันอย่างนั้น ความจริงก็มีหลายครอบครัวที่ชีวิตยากจน เช่นคนที่ต้องหาเงินเข้าบ้านคนเดียว แต่กลับต้องเลี้ยงลูกห้าหกคนและผู้เฒ่าสองคนเห็นกันได้ดาษดื่น คนเหล่านี้ไม่ต่างจากคนชนบทนัก ลูกคนโตใส่เสื้อผ้าคับก็ยกให้ลูกคนรองใส่ต่อ เมื่อเล็กไปสำหรับลูกคนรองก็ยกให้ลูกคนที่สามใส่ พอเก่าหรือชำรุดก็ปะชุนเอา ไม่ค่อยซื้อเสื้อผ้าใหม่กันหรอก
“แต่ซ่งปิงคนนั้นน่ะ บ้านเขาต้องมีเงินแน่นอน!” ดวงตาเจิ้งเจวียนทอประกายอีกครั้ง เธอจับแขนของเจิ้งหยวนแล้วขยับเข้ามาใกล้ “พี่ บนข้อมือเขาใส่นาฬิกาด้วย บอกว่าเป็นาฬิกาเหมยฮวา [2] ของเมืองนอก ราคาตั้งหลายร้อยหยวน! แล้วกระเป๋าของเขาก็ไม่เหมือนคนอื่น มันดูสวยมากเลยละ! เห็นเขาว่าซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าของปักกิ่ง พระเ้าช่วย ขนาดกระเป๋ายังต้องซื้อในห้างแน่ะ เอาผ้าสองชิ้นมาเย็บเองก็ได้นี่นา แถม... แถมรองเท้าของเขา!” เจิ้งเจวียนเหมือนไม่รู้ว่าจะพรรณนาออกมาอย่างไรเลยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เจิ้งหยวนเห็นท่าทางน้องสาวแล้วอดที่จะอึดอัดไม่ได้ “รองเท้ามันทำไมเหรอ?”
“รองเท้าเขาดูดีมากเลย!”
“หือ?”
“รองเท้าเขาเป็สีขาว! มีแถบสีแดงวาดอยู่ข้างบน สวยสุดๆ !” เจิ้งเจวียนว่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แววตาเต็มไปด้วยประกายอิจฉายุวปัญญาชนคนนั้น
เจิ้งหยวนนึกอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยถาม “แกกำลังพูดถึงรองเท้าผ้าใบหุยลี่ [3] ใช่ไหม?” จากนั้นค่อยยิ้มแล้วบอกว่า “รองเท้านั้นดูดีเลยทีเดียว”
รองเท้ายี่ห้อหุยลี่น่ะ เป็ความฝันสูงสุดของนักเรียนมัธยมต้นทุกคน แม้รองเท้าผ้าใบจะสีขาวเปื้อนง่ายมาก แต่ใครที่ใส่ต่างก็ทะนุถนอมมันทั้งนั้น ขนาดเด็กผู้ชายซนๆ ยังระมัดระวังไม่ไปย่ำพื้นโคลนตอนใส่รองเท้าคู่ใหม่เลยด้วยซ้ำ แถมรองเท้ายี่ห้อนี้ยังทรงสวย ใส่คู่กับกางเกงหรือกระโปรงก็เข้าหมด เจิ้งหยวนชอบรองเท้าผ้าใบสีขาวของหุยลี่มากจนซื้อให้ตัวเอง หลังหาเงินได้เองในชาติก่อน และใส่อย่างทะนุถนอมตลอดเวลา แต่ที่น่าเสียดายคือเมื่อแบรนด์ดังของต่างชาติหลากหลายแบรนด์หลั่งไหลเข้ามาในประเทศก็ไม่มีใครสนใจหุยลี่อีก
ปัจจุบันมีคนใส่รองเท้าผ้าใบแบบนี้ในอำเภอน้อยมาก ด้วยความยากจนทุกคนไม่ใส่รองเท้าเจี่ยฟ่าง [4] ก็ใส่รองเท้าผ้าทำเอง อาสะใภ้สามยังซื้อให้ลูกใส่ไม่ลง ดังนั้น เจิ้งเจวียนเลยไม่เคยเห็นรองเท้าผ้าใบสไตล์นี้
“พี่ พี่เคยเห็นด้วยเหรอ?” เจิ้งเจวียนหันหน้ามาหา
เจิ้งหยวนวางตะเกียบคู่สุดท้ายและเอ่ย “ในห้างสรรพสินค้ามีขายอยู่น่ะ” เว้น่ครู่หนึ่งก่อนจะยกยิ้ม “ต่อไปถ้าพี่มีเงินแล้ว จะซื้อให้แกคู่หนึ่งนะ!”
“จริงเหรอคะ!?”
“จริงสิ” เจิ้งหยวนพยักหน้ายิ้มๆ แล้วดันแขนเจิ้งเจวียน “ไป ไปยกกับข้าวในครัวกันเถอะ”
“อื้อ!” เจิ้งเจวียนะโโลดเต้นเข้าไปในห้องครัว ก่อนจะยกจานออกมาอย่างมีความสุข “พี่สาวรองฉันยังเล่าให้พี่ฟังไม่จบ ซ่งปิงคนนั้นน่ะ เขานำห่อผ้าใบเบ้อเริ่มมาด้วยนะ เห็นว่าข้างในเป็ของกินที่พ่อแม่ใส่ให้เขาเอามากินที่นี่แหละ แล้วเขายังบอกฉันว่าเขาเป็ฝ่ายขอมาชนบทแทนพี่สาวตนเองด้วยแหละ เดิมทีที่บ้านอยากให้พี่สาวเขามา แต่เขาคิดว่าเด็กผู้หญิงอย่างพี่สาวไม่ควรตกระกำลำบากขนาดนั้น เขาในฐานะผู้ชายมีแรงกายมากกว่าพี่สาว ลำบากหน่อยแต่ก็ไม่เป็ไร คุณแม่เขาโกรธแทบแย่หลังจากรู้ว่าเขาเปลี่ยนชื่อคนไปชนบท แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อถูกส่งไปแล้ว ความจริงเขาก็อายุยังน้อยอยู่ เพิ่งสิบหกปีพอๆ กันกับฉัน แม่รักและห่วงเขามาก เลยให้เขาพกของดีๆ มาทุกอย่าง เขายังบอกด้วยว่า่นี้คุณแม่เขาน่าจะส่งของมากมายให้เขาสักพักหนึ่ง”
เจิ้งหยวนรู้สึกดีกับซ่งปิงขึ้นมาฉับพลัน เด็กคนนี้เพิ่งอายุสิบหก ก็ขอมารับความลำบากที่ชนบทแทนพี่สาวแล้ว ดูท่าจะเป็คนดีเลยทีเดียว ซึ่งคนประเภทนี้มักจะดีกับภรรยาตัวเองหลังแต่งงานด้วย อนาคตต่อให้มีโอกาสกลับเข้าเมืองก็ไม่น่าจะทิ้งภรรยาไว้แล้วหนีกลับตามลำพัง พื้นฐานครอบครัวดี ยอมรับความลำบาก เห็นความสำคัญของสตรี มีใจรับผิดชอบ แถมอายุเพียงแค่สิบหกปี เหมาะสมกันพอดี เจิ้งหยวนคิดพลางเหลือบมองน้องสาวตนเอง หากเจิ้งเจวียน้าจะคบหากับยุวปัญญาชนจริงๆ เ้าเด็กคนนี้ก็เป็ตัวเลือกที่ไม่เลว
“แล้วเขาหน้าตาเป็ยังไงเหรอ?” เจิ้งหยวนถาม
เจิ้งเจวียนหัวเราะ “คิกๆ ไม่รู้เขากินยังไง ตัวขาวอ้วนท้วมเชียวละ !พี่ไม่รู้อะไร ผิวเขาขาวมากจริงๆ นะ!” เธอกวาดตามองใบหน้าเจิ้งหยวนก่อนจะส่ายหัว “ฉันคิดว่าเขาขาวกว่าพี่เสียอีก ทั้งขาวทั้งอวบ หากเป็หมู แล่ออกมาคงได้เนื้อไม่น้อยเลย”
“…”
เจิ้งหยวนพูดไม่ออกอีกครา น้องฉัน อย่าเปรียบแบบนี้จะดีกว่านะ?
เชิงอรรถ
[1] ลูกหลานของพระเ้าหวงและพระเ้าเหยียน หมายถึง ประโยคที่คนจีนมักใช้เรียกตนเอง เนื่องจากมีตำนานเล่าว่าในยุคสมัยนั้นลุ่มแม่น้ำฮวงโหมีชนเผ่าอยู่ด้วยกันหลายร้อยเผ่า แต่มีหัวหน้าเผ่าที่มีชื่อเสียงมากคือพระเ้าเหยียนและพระเ้าหวง ต่อมาทั้งสองเผ่าได้ผนวกรวมกัน หลอมวัฒนธรรมวิถีชีวิตเข้าด้วยกันจนกลายเป็บรรพชนของชาวหัวเซี่ย หรือชาวจีนในปัจจุบัน
[2] นาฬิกาเหมยฮวา หมายถึง แบรนด์นาฬิกา Titoni ของสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็แบรนด์เก่าแก่ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1919 ชื่อ Titoni นั้นปรากฏเป็ครั้งแรกในฐานะคอลเลกชันย่อยที่เปิดตัวเมื่อปี 1952 เช่นเดียวกับสัญลักษณ์ของแบรนด์ที่เป็รูปดอก ‘Meihua’ หรือ ดอกพลัม หรือ ดอกบ๊วย
[3] หุยลี่ หมายถึง แบรนด์ Warrior ก่อตั้งที่เซี่ยงไฮ้ ในปี 1927 เมื่อ บริษัท เซี่ยงไฮ้เจิ้งไท (Zhengtai Shanghai) ได้ขยายธุรกิจยางไปสู่ตลาดรองเท้ากีฬา 回力 (หุยลี่) หมายถึง อำนาจหรือพลังที่จะเอาชนะความยากลำบาก ซึ่งเป็ชื่อที่เหมาะกับสถานการณ์ต่อสู้ของสังคมและเศรษฐกิจในเวลานั้น
[4] รองเท้าเจี่ยฟ่าง หมายถึง รองเท้าแห่งการปลดแอก เป็รองเท้าผ้าใบพื้นยางสีเขียวที่เปิดตัวพร้อมกับเครื่องแบบทหารโดยกรมโลจิสติกส์ทั่วไปของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนในปี 1950 รองเท้าดังกล่าวเป็ที่นิยมในประเทศจีนมานานหลายทศวรรษ ไม่เพียงแค่ในการทหาร แต่ยังได้รับความนิยมจากเหล่าเกษตรกรในด้านการใช้งานได้จริง รวมไปถึงการกลายมาเป็แรงบันดาลใจสำหรับแฟชั่นสไตล์ Military อีกด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้