เสียงของฉางไทเฮาไม่ดังมาก ทว่าความอ่อนแอในน้ำเสียง ทุกคนกลับได้ยินอย่างชัดเจน
ฮองเฮาอวี่เหวินจ้องมองแผ่นหลังนาง กลับไปชิงโหยวกว่าน?
ภายในใจของนางไม่ได้อยากกลับไปชิงโหยวกว่าน และในยามนี้...เพราะได้ยินถ้อยคำเมื่อครู่นี้ของฉู่ชิง จึงเปลี่ยนใจงั้นหรือ?
ครุ่นคิดถึงเมื่อเช้านี้ ยามที่อวี่เหวินหรูเยียนเข้าวังเพื่อนำข้อความมาให้นาง ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องไปเขตพำนักงั้นหรือ?
พิษกู่...
ในหัวของฮองเฮาอวี่เหวินครุ่นคิดถึงสองคำนี้ นางไม่รู้ว่าจะมีเื่อันใดเกิดขึ้นที่เขตพำนัก ทว่ายามนี้คิดดูแล้ว ในเขตพำนักนั่นดูเหมือนจะมีงิ้วฉากหนึ่งรอคอยพวกนางอยู่ และงิ้วฉากนั้น...
ฮองเฮาอวี่เหวินขมวดคิ้ว ทอดพระเนตรแผ่นหลังของสองแม่ลูกที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป จากนั้นจึงหันกลับไปพูดกับผู้คนนอกประตูอันชิ่งว่า “วันนี้ทำให้แขกทุกท่านต้องลำบากแล้ว ขอให้แต่ละท่านแยกย้ายกันกลับเถิด”
ฮองเฮาอวี่เหวินสั่งให้แเื่กลับไป ภายในใจของทุกคนครุ่นคิดถึงเื่ของพิษกู่ ไม่ว่าอย่างไรภายในใจก็ยากจะปกปิดความอยากรู้อยากเห็น ทว่าฮองเฮาอวี่เหวินตรัสออกมาแล้ว ผู้ใดจะยังอยู่ที่นี่ได้อีก?
ยิ่งกว่านั้น ฮ่องเต้หยวนเต๋อเรียกฉู่ชิงไปคุยที่ห้องทรงพระอักษรตามลำพัง หากอยากรู้เื่ราวภายใน เกรงว่าคงจะเป็ไปได้ยาก
ทุกคนค่อยๆ โค้งคารวะ และทยอยกันแยกย้าย ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงซึ่งอยู่ภายใต้การประคองของหนานกงฉี่ ถือไม้เท้า เพิ่งจะก้าวเดินไปทางรถม้าได้ไม่กี่ก้าว พลันมีเสียงของฮองเฮาอวี่เหวินดังขึ้นจากทางด้านหลัง...
"ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงอยู่ต่อก่อนเถิด" เสียงของฮองเฮาอวี่เหวินแฝงรอยยิ้มเบาบาง ดูเหมือนอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงขมวดคิ้ว หยุดฝีเท้า รอยยิ้มเบ่งบานบนใบหน้า หันหลังกลับไปคารวะฮองเฮาอวี่เหวินด้วยอากัปกิริยาสง่างามอย่างสุภาพ “หม่อมฉันขอคารวะ ฮองเฮาทรงมีรับสั่งอันใดเพคะ?”
อากัปกิริยาเช่นนั้น คล้ายกับว่าไม่เคยมีท่าทีก้าวร้าวอย่างในตำหนักชีอู๋เมื่อครู่นี้เลย ท่าทีดูโอนอ่อนผ่อนตามเป็อย่างยิ่ง
ฮองเฮาอวี่เหวินยิ้มตอบรับ “ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าเพิ่งรีบจากไปเลย เปิ่นกงต้องไปที่แห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงจะให้เกียรติไปด้วยกันได้หรือไม่?”
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงผู้นี้กับนางสตรีชั่วช้าฉางหนิงร่วมมือกันอย่างเห็นได้ชัด หากมีงิ้วในเขตพำนัก ย่อมไม่ควรขาดฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเป็ผู้ชม
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงคาดไม่ถึงว่าฮองเฮาอวี่เหวินจะมาลูกไม้นี้ แม้แต่คนมากประสบการณ์อย่างนาง ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะ
ไปที่แห่งหนึ่ง และต้องให้ข้าไปด้วยงั้นหรือ?
คนฉลาดเช่นฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง ทันใดนั้นก็ได้กลิ่นความผิดปกติบางอย่าง ฮองเฮาอวี่เหวินจะยอมให้ข้าไปเป็เพื่อนโดยไม่มีสาเหตุได้อย่างไร?
“ขอบพระทัยในความกรุณาของฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันย่อมไปเป็เพื่อนได้แน่นอนเพคะ” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงย่อกายโค้งคารวะด้วยใบหน้าแสดงความเคารพ
“เช่นนั้นก็ดี ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงขึ้นรถม้าไปรอสักเดี๋ยว เปิ่นกงจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก็จะรีบมา” รอยแย้มสรวลบนมุมปากของฮองเฮาอวี่เหวินยกยิ้มลึกยิ่งกว่าเดิม นางเหลือบมองฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง และหันหลังกลับไป ดวงตากลับดูเย็นเยียบ จากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปที่ประตูอันชิ่งกับองค์หญิงใหญ่ชิงเหอ
เหนียนยวี่ในกลุ่มนางกำนัลด้านหลัง เดินตามหลังคนเ่าั้ เหลือบมองอวี่เหวินหรูเยียนที่อยู่ข้างกายของฮองเฮาอวี่เหวิน เหนียนยวี่ครุ่นคิดถึงแผนการในคืนนี้ของตนเอง ด้วยฤทธิ์ยานั่น ในเขตพำนักยามนี้คงกำลังมีงิ้วสนุกอยู่เป็แน่!
เหนียนยวี่ครุ่นคิด ั์ตาพาดผ่านแสงสว่างเบาบาง
ข้างหน้า ฮองเฮาอวี่เหวินก้าวเดินพลางตรัสสั่งบางอย่างกับเจินกูกูไปพลาง องค์หญิงใหญ่ชิงเหอฟังและไม่กล่าวอันใด ดูเหมือนมีความสุขกับเื่ราวมากมาย
ณ ตำหนักฉางเล่อ
ฉางไทเฮาผู้ซึ่งกลับมายังอาณาบริเวณของตัวเองแล้ว ในที่สุดก็มิอาจรักษาท่าทีอ่อนโยนที่มีเสมอมาไว้ได้ ยามที่ประตูห้องพระปิดลง สีพระพักตร์ของฉางไทเฮาดำมืดอย่างสมบูรณ์ ราวกับไม่สามารถระบายโทสะในใจออกมาได้ นางยกมือขึ้นจนลูกประคำในพระหัตถ์ลื่นหลุดไป เสียงเพล้งกระทบองค์พระอย่างจัง ด้ายของสายประคำขาดสะบั้น ลูกประคำตกกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ในห้องพระ
"เป็เช่นนี้ได้อย่างไร...เป็ไปได้อย่างไร!" ฉางไทเฮากัดฟันอย่างแค้นเคือง ใบหน้าขาวผ่องเต็มไปด้วยความดุร้าย
เมื่อครู่นี้นางก็เผชิญหน้ากับอวี่เหวินซินในห้องพระแห่งนี้ นางยังกุมอำนาจเหนือกว่าอยู่เลย ทว่ายามนี้...ตำแหน่งแม่ทัพหลวงกลับล้มเหลว ยังมีคำพูดของฉู่ชิงที่กล่าวถึงพิษกู่นั่นอีก...
ในเวลานี้จิตใจของอวี่เหวินซินคงจะพอใจอยู่เป็แน่!
“เสด็จแม่ ท่านโปรดใจเย็นลง...”
ในใจของจ้าวเยี่ยนเองก็ปั่นป่วน เขาไม่เคยเห็นมารดามีท่าทีเกรี้ยวกราดเช่นนี้มาก่อน ทว่าวันนี้...ครั้นนึกเื่พิษกู่ จ้าวเยี่ยนเองก็ไม่มีอารมณ์สนใจจะปลอบประโลมฉางไทเฮาเช่นกัน เขาลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดจึงเอ่ยปากถาม “พิษกู่ในค่ายเสินเช่อ เป็เสด็จแม่...”
จ้าวเยี่ยนยังไม่ทันกล่าวจบ สายตาเฉียบคมของฉางไทเฮาหันไปจ้องมอง ความดุดันในสายตานั้นแทบจะทำให้จ้าวเยี่ยนหุบปากไปชั่วขณะ คนฉลาดเช่นเขามองจากสายตาของฉางไทเฮาก็เข้าใจบางอย่างได้
“ข้ายังไม่ถึงขั้นเลอะเลือนเพียงนั้น!” ฉางไทเฮากล่าวอย่างเ็า เข้าใจความหมายของจ้าวเยี่ยน นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง “ค่ายเสินเช่อ...แม้ข้าจะพอใจตำแหน่งแม่ทัพหลวง ทว่าการวางยาพิษกู่ในค่ายเสินเช่อ หากถูกคนพบเจอเข้า ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจรับผิดชอบไหว!”
ยิ่งกว่านั้น พิษกู่ชนิดนั้นเป็ของต้องห้ามที่สุดในราชวงศ์เป่ยฉี นางเองก็ไม่ได้จับของสิ่งนั้นมานานแล้ว ทว่า...
“ทว่ายามนี้เมื่อได้ยินคำว่าพิษกู่ ผู้คนมากมายคงจะจับจ้องมาที่เสด็จแม่” จ้าวเยี่ยนเอ่ยปาก บอกความจริงที่โหดร้ายที่สุด คิ้วงดงามขมวดแน่น เขาในยามนี้ไม่ได้จืดจางไร้ปรารถนาเหมือนเมื่อก่อน จึงยิ่งไม่เห็นความทะเยอทะยานที่วาววับ เขาในยามนี้มีความกังวลอย่างที่ไม่เคยมี
ฉู่ชิงกับฝ่าาเข้าไปในห้องทรงพระอักษร ยามนี้ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้กับขุนนาง ทั้งสองคนกำลังพูดคุยอันใด ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขาเข้าใจ ครั้งนี้ต่อให้เสด็จแม่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเื่พิษกู่นั่น พวกเขาคงจะได้รับผลกระทบไปด้วยแน่ และในยามนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ผลกระทบของเื่นี้น้อยที่สุด
วันนี้พวกเราล้มเหลวในตำแหน่งแม่ทัพหลวง ไม่สามารถสูญเสียมากไปกว่านี้ได้!
ฉางไทเฮาเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ในยามนี้นางที่สงบโทสะลงได้เล็กน้อย รู้สึกใจเย็นขึ้นมาแล้ว ครุ่นคิดถึงสถานการณ์ในยามนี้ เยี่ยนเอ๋อร์พูดถูก ในตอนนี้ผู้คนมากมายล้วนจับจ้องมาที่นาง คงถึงขั้นที่สงสัยในตัวนาง...
ทว่าเื่นี้อย่างไรนางก็ทนไม่ได้!
ทันใดนั้น ดูเหมือนนางจะคิดอะไรขึ้นได้ ร่างกายพลันสั่นสะท้าน
“เป็เขา! ข้าควรจะนึกออกนานแล้ว...ข้าควรจะนึกออกนานแล้ว เขาไม่มีทางมาเป่ยฉีด้วยตัวเองโดยไม่มีเหตุผลแน่...” ฉางไทเฮาพึมพำ ในหัวผุดภาพเงาร่างของคนผู้นั้น สีหน้ายิ่งดูซีดเผือด
จ้าวเยี่ยนจ้องมองปฏิกิริยาของฉางไทเฮา และกังวลว่า “เขา...เป็ผู้ใด? เสด็จแม่รู้หรือว่าผู้ใดอยู่เื้ั?”
ความหวังจุดประกายในดวงตาของจ้าวเยี่ยน ในเมื่อรู้แล้ว เช่นนั้นหากพวกเขาพบบุคคลนั้น ก็จะขจัดความสงสัยได้ ทว่าฉางไทเฮากลับหัวเราะขึ้นมาแ่เบา “เป็เขา ต้องเป็เขาแน่ ทว่า...ทว่าเหตุใดเขาถึงได้เลอะเลือนเยี่ยงนี้!”
ครั้นเอ่ยจบ เสียงหัวเราะกลับแปรเปลี่ยนเสียงตวาดลั่นทันใด ความตื่นตระหนกฉายชัดในดวงตา
จ้าวเยี่ยนจ้องมอง คิ้วขมวดแน่นยิ่งกว่าเดิม สัญชาตญาณบอกเขาว่า ตัวตนของคนผู้นั้นไม่ธรรมดา อย่างน้อยเสด็จแม่ก็ไม่อยากให้เขาเป็อันตราย
"เป็ใคร!" จ้าวเยี่ยนเอ่ยปากอีกครั้ง ในหัวมีความคิดหนึ่ง “เป็ราชทูตของแคว้นหนานเยวี่ยที่มาครั้งนี้หรือไม่?”