“พี่เฟิง พลังปราณของท่านช่างทรงพลังยิ่งนัก!”
มู่ขวงกล่าวด้วยความรู้สึกไม่คาดคิด
“คงเป็ผลพวงจากเคล็ดวิชาที่ข้าฝึกฝน”
มู่เฟิงกล่าวพลางหัวเราะออกมา
“ในเมื่อเวลานี้เ้าสามารถฟื้นฟูวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่กลับคืนมาได้แล้ว เช่นนั้นนับจากนี้เ้าก็สามารถใช้หยกเทพชูร่าในการฝึกฝนได้”
ทันใดนั้นเสียงอันไพเราะของซีเยว่ก็พลันดังขึ้นในห้วงความคิดของมู่เฟิง
“เยว่เอ๋อร์ เ้าช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจได้หรือไม่ว่าข้าจะสามารถใช้หยกเทพชูร่านี้ฝึกฝนได้อย่างไร?”
มู่เฟิงถามอย่างคาดหวัง
“นับจากนี้เพียงเ้าส่งพลังปราณเข้าไปกระตุ้นภายในตัวหยก เ้าก็จะสามารถดูดซับพลังเืที่หยกเทพชูร่ากักเก็บเอาไว้ได้โดยตรง เมื่อใดที่เ้า้าฝึกฝน เ้าก็สามารถดูดซับพลังเืจากหยกเทพชูร่าได้ทุกเวลา นอกจากนี้ เดิมทีแล้วหยกเทพชูร่าชิ้นนี้เป็เครื่องมือเทวฤทธิ์ที่สามารถใช้ได้ทั้งการโจมตีและช่วยเหลือ โดยแบ่งออกเป็สองรูปแบบ หนึ่งคือสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ดาบเทวะ และสองคือสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์มีดแกะสลัก โดยสองสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์นี้สามารถแปรเป็ดาบเทวะโลหิตชูร่าและมีดแกะสลักลายเทวะได้”
ซีเยว่อธิบาย
หลังได้รับคำอธิบายนี้มู่เฟิงก็รู้สึกยินดีเป็อย่างมาก จากนี้เขาไม่จำเป็ต้องยุ่งยากนั่งดูดซับพลังเืจากเหยื่อหลังสังหารอีกแล้ว เพียงเขาดูดซับพลังที่กักเก็บไว้ในหยกเทพชูร่าก็จะสามารถฝึกฝนได้ทุกเวลา
“ซีเยว่ ดาบเทวะโลหิตชูร่ากับมีดแกะสลักลายเทวะคือสิ่งใดงั้นหรือ?”
มู่เฟิงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“ดาบชูร่าคือรูปลักษณ์สำหรับใช้ในการต่อสู้ของหยกเทพชูร่า มันสามารถแปลงเป็ดาบเล่มหนึ่งได้ แต่จำเป็ต้องใช้พลังเืจำนวนมากเพื่อรองรับรูปลักษณ์ของมัน เวลานี้พลังเืภายในหยกเทพชูร่านั้นยังมีไม่พอที่จะใช้เปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ ส่วนมีดแกะสลักลายเทวะนั้น เ้ารู้จักช่างแกะสลักลายเส้นหรือไม่?”
“ช่างแกะสลักลายเส้น เ้ากำลังหมายถึงผู้สลักลายเส้นงั้นรึ แน่นอนว่าข้าย่อมรู้จัก คนโบราณเ่าั้ต้องเฝ้ามองวสันตฤดูผันเปลี่ยนไปยังสารทฤดู และคอยมองสุริยันจันทราดวงดาราที่เคลื่อนคล้อยอยู่ตลอดกว่าจะสามารถบรรลุลายเส้นได้สำเร็จ อีกทั้งลายเส้นเหล่านี้ยังสามารถใช้สร้างเครื่องมือ อาวุธ หลอมโอสถ สร้างค่ายกล เครื่องรางและตราผนึก รวมถึงสิ่งของที่มีคุณประโยชน์ได้อีกมากมาย นับว่ามีสถานะที่สูงส่งเป็อย่างมาก ในตระกูลมู่ของข้ามีผู้สลักลายเส้นระดับปราณขั้นสองอยู่ผู้หนึ่ง”
มู่เฟิงกล่าว
“ถูกต้องแล้ว เป็ผู้สลักลายเส้น นอกจากนี้รูปแบบของลวดลายนั้นยังมีการแบ่งตามระดับอยู่อีกด้วย โดยระดับเทวฤทธิ์คือระดับสูงสุด จากนั้นจะเป็ระดับกายสิทธิ์ ตามด้วยระดับจิติญญา และมีระดับปราณเป็ระดับต่ำสุด ซึ่งการบรรจงวาดลายเส้นลงไปนั้น มีดแกะสลักเป็สิ่งจำเป็ที่ไม่อาจขาดได้ และมีดแกะสลักเทวะโลหิตที่แปรขึ้นมาจากหยกเทพชูร่านี้ก็เป็สิ่งที่สามารถใช้สลักลายเส้นอย่างบรรจงออกมาได้ในระดับสูงสุด เ้าว่ามันยอดเยี่ยมหรือไม่เล่า”
มู่เฟิงหรี่ตาลงหลังจากได้ยินดังนั้น จากนั้นเขาก็ถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “เ้าหมายความว่า เ้า เ้าสามารถแกะสลักสิ่งเ่าั้ขึ้นมาได้งั้นรึ?”
“หึๆ ถูกต้อง ในตอนนั้นเปิ่นเสียวเจี่ย*เป็ผู้สลักลายเส้นระดับเทวฤทธิ์ขั้นเจ็ดผู้หนึ่ง และภายในหยกเทพชูร่านี้ก็มีบันทึกรูปแบบลายเส้นของเผ่าชูร่าเอาไว้ด้วย โดยลายเส้นระดับเทวฤทธิ์นั้นมีแปดประเภท ลายเส้นระดับกายสิทธิ์มียี่สิบสี่ประเภท ลายเส้นระดับจิติญญามีหกสิบสี่ประเภท ส่วนลายเส้นระดับปราณมีหนึ่งร้อยแปดประเภท ซึ่งการจะหลอมเครื่องมือ หลอมโอสถ สร้างตราผนึกหรือกระทั่งสร้างค่ายกลทุกสิ่งอย่างเหล่านี้ล้วนมีตราสัญลักษณ์ลายเส้นของมันทั้งสิ้น”
(*คำเรียกตนในฐานะคุณหนูผู้สูงศักดิ์ แทนตัวข้าคุณหนูผู้นี้)
ซีเยว่กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
หลังจากได้ยินดังนั้นมู่เฟิงก็รู้สึกตื่นเต้นมากจนพูดอะไรไม่ออก ลายเส้นนั้นเป็สิ่งที่มีความสำคัญต่อผู้สลักลายเส้นเป็อย่างมาก เปรียบเสมือนวิธีการฝึกยุทธ์ของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์นั้นเอง
ลำพังเพียงผู้สลักลายเส้นระดับปราณผู้หนึ่งก็นับว่ามีคุณสมบัติที่ไม่เลวแล้ว คาดไม่ถึงว่าภายในหยกเทพชูร่าจะมีบันทึกแบบลายเส้นเอาไว้มากมาย กระทั่งลายเส้นระดับสูงอย่างเทวฤทธิ์ก็ยังมี
“ยะ เยว่เอ๋อร์ เ้า หากว่าเ้ามีเวลา เ้าสามารถช่วยสอนรูปแบบลายเส้นให้ข้าได้หรือไม่?”
มู่เฟิงถูมือของตัวเองพลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“การจะเป็ผู้สลักลายเส้นนั้นมีข้อกำหนดเื่พลังิญญาอยู่ หากมีเวลา ข้าจะลองทดสอบพลังิญญาของเ้าดูว่ามีคุณสมบัติตรงตามที่กำหนดหรือไม่”
ซีเยว่กล่าวตอบ
“ขอบคุณมาก ขอบคุณเ้ามาก”
มู่เฟิงกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายอย่างดีใจ
มู่ขวงที่อยู่ด้านข้างหันมามองท่าทีของมู่เฟิงด้วยความฉงน เด็กหนุ่มรู้สึกว่า่นี้พี่เฟิงของเขามีท่าทีแปลกประหลาดอย่างยิ่ง บางครั้งอีกฝ่ายก็ตื่นเต้นขึ้นมา บางครั้งก็มีท่าทีดีใจ และบางครั้งก็ใขึ้นมาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ
มู่ขวงแตะมือลงบนหน้าผากของมู่เฟิงพลางกล่าวพึมพำกับตัวเอง
“ไม่ได้ป่วย พี่เฟิง ท่านไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?”
“อา? ไม่ ข้าไม่ได้เป็อะไร ไปกันเถอะ ในเมื่อเราทั้งคู่สามารถทะลวงขึ้นสู่ระดับจื่อฝู่ได้แล้ว เช่นนั้นเรามาล่าอสูรร้ายอีกสักสองตัวกันเถอะ ครั้งนี้พวกเราออกมานานถึงสองเดือนแล้ว ถึงเวลาควรกลับเสียที”
มู่เฟิงพลันได้สติ เขาจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่เด็กหนุ่มทั้งสองสามารถทะลวงขึ้นสู่ระดับจื่อฝู่ได้แล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเขาย่อมเพิ่มขึ้นเป็ธรรมดา คราวนี้พวกเขาสามารถล่าอสูรร้ายได้เพิ่มอีกสามตัว ภายใต้สายตาตกตะลึงของมู่ขวง เขาพบว่ามู่เฟิงกำลังยกฝ่ามือไปทางศพของอสูรร้าย จากนั้นหยกเทพชูร่าก็ได้กลายเป็ลำแสงสีโลหิตสายหนึ่งปรากฏออกมาจากฝ่ามือของมู่เฟิง ลำแสงนั้นพุ่งเข้าไปในร่างของอสูรร้ายอย่างรวดเร็ว จากนั้นร่างของมันก็พลันแห้งเหี่ยวลงภายในพริบตา เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงสองวินาที จากนั้นลำแสงก็ได้กลับคืนสู่ร่างกายของมู่เฟิง
แต่ในสายตาของมู่ขวงนั้น พี่เฟิงของเขาถือเป็ยอดคนผู้หนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าการกระทำนี้ของอีกฝ่ายเป็เื่แปลกอะไร
หลังจากดูดซับพลังเืจากอสูรร้ายทั้งสามตัวเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มทั้งสองก็ได้มุ่งหน้าออกจากเทือกเขาอันหนาน แต่หลังจากออกมาถึงด้านนอกแล้ว พวกเขากลับต้องพบเื่น่าเศร้าเื่หนึ่ง
“ให้ตายเถอะ ม้าหายไปไหนแล้ว?”
มู่ขวงมองไปยังเสาที่ใช้ผูกม้าที่ตอนนี้กำลังว่างเปล่าพลางสบถด่าออกมาทันที
“เราขึ้นเขาไปนานถึงสองเดือน ม้าพวกนั้นคงถูกคนอื่นพาไปแล้ว ไม่เป็ไร พวกเราวิ่งกลับกันเถอะ”
มู่เฟิงขมวดคิ้ว
“ให้ตายเถอะ อย่าให้ข้ารู้นะว่าเป็ฝีมือผู้ใด ไอหยา ให้วิ่งกลับไป เทือกเขาอันหนานนี้อยู่ห่างจากเมืองอันหนานถึงสามร้อยลี้เลยนะขอรับ”
“ฮ่าๆ คิดเสียว่าเป็การฝึกซ้อมร่างกายแล้วกัน ให้ขาของเ้าได้ออกกำลัง มา ข้าจะวิ่งนำไปก่อน มาดูกันว่าใครจะไปถึงเมืองอันหนานก่อนกัน!”
ฟิ้ว!
หลังกล่าวจบ มู่เฟิงได้ดีดฝ่าเท้าก่อนจะพุ่งทะยานตัวออกไปไกลห้าถึงหกเมตรอย่างรวดเร็วราวกับลูกศรที่ถูกปล่อยออกจากคันธนู จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าวิ่งต่อไปด้วยความเร็ว โดยอัตราความเร็วของเขานั้นไม่ได้ช้าไปกว่าเวลาที่หลิวเสียง*แข่งวิ่งร้อยเมตรเลย
(*หลิวเสียงคือนักกีฬาวิ่งข้ามรั้วชาวจีน เ้าของเหรียญทองโอลิมปิก)
“ไอหยา พี่เฟิง รอข้าด้วย”
จากนั้นมู่ขวงได้รีบวิ่งตามหลังมาอย่างรวดเร็ว
ระยะทางสามร้อยลี้ เด็กหนุ่มทั้งสองใช้เวลาในการวิ่งทั้งหมดสามชั่วยามเต็ม ในตอนที่พวกเขาวิ่งมาถึงเมืองอันหนาน ขาของมู่ขวงก็อ่อนปวกเปียกหมดแรงจนแทบจะคลานตามพื้น มู่เฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแบกมู่ขวงขึ้นหลังและตรงกลับจวนตระกูลมู่ ในตอนที่เขาอยู่ในกองทัพ การเดินทัพในระยะทางกว่าร้อยลี้เช่นนี้นับเป็เื่ปกติ
ในเวลานี้ มู่ไห่ ลุงฝูและผู้าุโระดับหนิงกังของตระกูลมู่อีกเก้าคนกำลังรวมตัวกันภายในโถงรับรองของจวนตระกูลมู่ แต่ละคนต่างหน้านิ้วคิ้วขมวดอย่างเคร่งเครียด
“ท่านลุงฝู เสียหายไปเท่าไร?”
มู่ไห่เอ่ยถามเสียงเข้ม
“เป็เครื่องมือปราณระดับต่ำจำนวนสิบห้าชิ้นและอาวุธธรรมดาอีกหลายสิบชิ้นขอรับ นอกจากนี้ยังมียาพลังปราณอีกหนึ่งร้อยเม็ด ครั้งนี้รวมแล้วเสียหายไปมากกว่าเจ็ดหมื่นเหรียญตำลึงทองขอรับ”
ลุงฝูกล่าวตอบอย่างเคร่งขรึม
“บัดซบ เป็ผู้ใดกันที่กล้าลงมือปล้นชิงสินค้าตระกูลมู่ของข้า หากจับได้ข้าจะฉีกร่างมันให้กลายเป็ชิ้นๆ!”
ผู้าุโร้องคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
ใน่เวลาไม่กี่วันก่อน สินค้าจำนวนหนึ่งของตระกูลมู่ที่ส่งออกไปขายยังเมืองอื่นได้ถูกปล้นชิง ทำให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ขึ้น
“ท่านผู้าุโสี่ เื่นี้ข้าขอมอบหมายให้ท่านกับท่านผู้าุโห้าไปตรวจสอบดูให้แน่ชัดว่าแท้จริงแล้วเป็คนกลุ่มใดกันที่ปล้นชิงสินค้าจากตระกูลมู่ของเราไป”
มู่ไห่สั่งการด้วยใบหน้ามืดครึ้ม
“ขอรับ!”
ผู้าุโระดับหนิงกังทั้งสองต่างหยัดกายลุกเพื่อรับคำสั่ง
“ท่านผู้นำ หากสินค้าชุดเก่าของเราขายออกไปจนหมด เกรงว่าคงไม่มีสินค้าใหม่วางขายในร้านแล้ว ถึงเวลานั้นตลาดของเราก็จะถูกผู้อื่นเข้ามาแทรกแซงได้ นอกจากนี้หนี้สินที่เราติดค้างหอไป่ปิงเอาไว้ หากว่าไม่ชำระภายในหนึ่งเดือนเกรงว่าคงเกิดปัญหายุ่งยากตามมาแน่ขอรับ”
ลุงฝูกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เื่นี้ข้าทราบอยู่แล้ว ตอนนี้คงทำได้เพียงตรวจสอบหาสินค้าที่หายไป ดูว่าจะสามารถนำกลับคืนมาได้หรือไม่”
ใบหน้าของมู่ไห่ดูมืดมนอย่างยิ่ง
“แท้จริงแล้วเป็ผู้ใดกันที่คิดจะสร้างปัญหาให้กับตระกูลมู่ของเรา”
มู่ไห่หรี่ตาลง พลางคิดหากลุ่มคนที่เป็ปรปักษ์กับตระกูลมู่
ตระกูลมู่นั้นมีผลประโยชน์ทับซ้อนทางการค้ากับทางตระกูลหวงและตระกูลหวัง พวกเขาทั้งสามตระกูลต่างทำการค้าในแบบเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรทั้งสามตระกูลต่างก็มีช่องทางการค้าเป็ของตัวเอง แม้ส่วนตัวจะมีเื่สกปรกบ้าง แต่ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
“ช้าก่อน หรือว่าอาจเป็เพราะเื่นั้น!”