บทที่ 166 วางแผน
ทิศากาลมืดมิดราวน้ำหมึก เมฆดำลอยเหนือเมืองชุยเสวี่ย ลมแ่พัดผ่าน อุณหภูมิเริ่มเย็นลง เหมันต์กำลังมาเยือน
ในขณะที่ฉู่อวิ๋นกำลังพบกับคนจากตระกูลหลิง ใครคนหนึ่งในห้องของจวนตระกูลเสวี่ยก็ค่อนข้างร้อนใจเช่นกัน
“ท่านพ่อ ลูกสาวตัดสินใจแต่งงานกับอวิ๋นชูเ้าค่ะ ขอท่านออกหน้าให้ข้าด้วย” เสวี่ยหรูเยียนหน้าแดงด้วยความขัดเขินและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานกับเสวี่ยจินหง ผู้นำคนปัจจุบันของจวนตระกูลเสวี่ย
“หือ? หรูเยียน ทำไมเ้าถึงตัดสินใจเร็วขนาดนี้? เรายังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของคนป่าคนนั้นเลย”
“และพ่อก็ได้อ่านหนังสือโบราณหลายเล่มแล้ว ไม่มีบันทึกข้อมูลของชนเผ่าที่มีอำนาจในป่าสีเืเลย”
เสวี่ยจินหงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาทุ่มเทกำลังทั้งหมด แต่ก็ยังสืบประวัติของฉู่อวิ๋นไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่เขาส่งสายลับติดตามไป ต่างก็กลับมามือเปล่าทุกครั้ง พลัดหลงกับอีกฝ่ายไประหว่างทางตลอด
ผู้นำตระกูลเสวี่ยไม่รู้ว่าในวงแหวนของฉู่อวิ๋นมีโยวกู่จือ ชายผู้มีพลังิญญาเก่งกล้าที่ดับสูญไปเมื่อพันปีก่อน
ในความเป็จริง ผู้าุโคนนั้นได้แอบใช้วิชาทางจิติญญาขัดขวางคนที่คอยล้อมหน้าล้อมหลังฉู่อวิ๋นมานานแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้คนเ่าั้สอดแนม
แถมหลังจากออกจากลานประลองยุทธ์ เขายังใช้เครื่องหมายิญญาเพื่อขนย้ายม้วนคัมภีร์ทั้งหมดไปยังที่เดียวกันอย่างเงียบๆ โดยให้ซิวหลัวหน้าผีหลิงเฟิงนำพวกมันกลับมา
ฉู่อวิ๋นรับรู้ถึงการเก็บกวาดเหล่านี้หลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าโยวกู่จือจะชอบคุยโวและดูไม่น่าเชื่อถือ เื่ที่เขาเป็คนประหลาดเมื่อพันปีก่อนย่อมจริง เช่นนั้นแล้วจะมองข้ามเื่เล็กๆ น้อยๆ นี้ได้อย่างไร?
“แต่ขอเพียงแค่ลูกสาวของพ่อชอบก็ย่อมไม่มีปัญหา จากที่เ้าพูด เขาเป็ผู้ชนะของการประชันห้าั ก็เพียงพอแล้วที่จะเข้าตาตระกูลเสวี่ยของเรา” เสวี่ยจินหงคิดเกี่ยวกับเื่นี้อีกครั้ง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
การที่ฉู่อวิ๋นสามารถต่อสู้ข้ามได้ห้าระดับจากระดับเก้าของขอบเขตควบแน่นพลังปราณได้ น่าใมากจริงๆ จะเรียกเขาว่าเป็อัจฉริยะคงไม่เกินไปนัก
ศักยภาพที่ว่า หากฉู่อวิ๋น้า ย่อมจะนำไปสู่การแก่งแย่งระหว่างสำนักใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ท่านพ่อ เช่นนั้นงานแต่งนี้ก็ต้องมอบให้ท่านแล้วนะเ้าคะ”
เสวี่ยหรูเยียนยกยิ้มอ่อนหวาน นางมั่นใจมาก หมุนตัวอย่างสง่างามอยู่หน้ากระจก และพูดกับตัวเองว่า “ฮิๆ ข้าเชื่อว่าด้วยความงามของข้า เขาจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
ทันใดนั้น สองพ่อลูกก็มองหน้ากันยิ้มๆ คล้ายกับว่ากำลังมีความสุขที่จะได้อัจฉริยะมาอยู่ในตระกูล
ถึงแม้ทั้งสองคนจะสุขใจเพียงใด แต่พวกเขาไม่รู้ว่าฉู่อวิ๋นจะไม่กลับไปที่จวนตระกูลเสวี่ยอีกแล้ว
กระทั่งแม้แต่คนป่า “อวิ๋นชู” ก็กำลังจะหายไปจากเมืองชุยเสวี่ย
จวนเสวี่ยเทียน ภายในลานที่หรูหราที่สุด
“เช่นนั้นก็ตามนี้! ให้พี่ซินเหยาเลือกตระกูลหลิง!”
ฉู่อวิ๋นเผยรอยยิ้มจริงใจ โค้งคำนับให้กับโยวกู่จือ และเอ่ยว่า “ถ้าข้าไม่ได้พบผู้าุโ ข้าคงไม่มีโอกาสช่วยเหลือพี่สาว ขอบคุณท่านมาก!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ โยวกู่จือก็ลอยขึ้นไปในอากาศแล้วพูดว่า “อ๊ะๆ ๆ! เ้าเด็กสารเลว ไม่ต้องขอบคุณข้า! นี่เป็เพียงเื่บังเอิญในบังเอิญ ข้าเพียงแค่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ก็เท่านั้น”
“อีกอย่าง ข้าผู้เฒ่ายุติธรรมเสมอ ในเมื่อเ้าช่วยผู้ควบคุมลมฝน ต้นไม้หยกลู่ลม[1] สง่างามและอ่อนโยนอย่างนักพรติญญาผู้ทรงพลังเช่นข้าไว้ ข้าย่อมต้องตอบแทนเ้าแน่นอน อิๆ”
ในเวลานี้ หลิงเฟิงเม้มริมฝีปากของเขาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย และพูดเบาๆ “คือว่า... บรรพบุรุษ แต่ต้องมีคนไปบอกเื่นี้กับผู้หญิงคนนั้นนะ แต่ข้าอยากจะออกไปสู้...”
“นี่!” โยวกู่จือดุออกมา และวงแหวนอวกาศก็กระทบหน้าผากของหลิงเฟิงด้วยเสียงดัง “ปัก”
“เ้าทายาทเนรคุณ! ตอนนี้ผู้มีพระคุณที่ตามหาบรรพบุรุษเ้ากลับมาได้กำลัง้าความช่วยเหลือ แต่ั้แ่เช้าจรดค่ำเ้าเอาแต่คิดต่อยตีกับชาวบ้านเขา ช่างเป็คนเนรคุณบรรพบุรุษ เ้าคนอกตัญญู!”
“อ๊ะ! ผู้น้อยรู้แล้ว อย่าเคาะ อย่าเคาะ โอ๊ะ~ เจ็บแล้วๆ!”
“ข้าไป ข้าไป! ได้แล้วใช่หรือไม่?! บรรพบุรุษ หยุดเคาะหัวข้าสักที! มันจะบวมแล้ว!”
หลิงเฟิงเอามือกุมหัวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยแล้ววิ่งไปรอบๆ ห้อง เขาถูกแหวนวงเล็กจ้อยไล่ทุบ ซึ่งทำให้ทั้งฉู่อวิ๋นและท่านผู้เฒ่าหลิงหัวเราะออกมา
แต่ฉู่อวิ๋นหัวเราะได้สองสามครั้งก็ขมวดคิ้ว พลันรู้สึกว่าแผนการนี้มีช่องโหว่
จิตใจของเขาพลุ่งพล่าน และหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตบหัวด้วยพบว่าช่องโหว่คือสิ่งใด
“ตอนนี้พี่ซินเหยามีคนคอยสอดแนมอยู่มาก ซ้ำยังถูกรายล้อมไปด้วยศัตรูจากทุกด้าน นางย่อมไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าง่ายๆ แน่ หากให้หลิงเฟิงไปคุย เกรงว่าโอกาสจะได้พบนางยังไม่มี”
หลังจากคิดถึงประเด็นสำคัญนี้แล้ว ฉู่อวิ๋นก็บอกกับโยวกู่จือและคนอื่นๆ ทำให้พวกเขาสับสนขึ้นมาในทันทีและไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรไปชั่วขณะ
“ถ้าเช่นนั้นก็ยากแล้ว… แม้ว่าแผนการนี้จะสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีคนต้องแจ้งให้พี่สาวของเ้ารู้นะ” น้ำเสียงของโยวกู่จือทุ้มต่ำ เขาคิดไม่ถึงเื่นี้เลย
ฉู่อวิ๋นเองก็ขมวดคิ้ว เหลือเวลาเพียงสี่วันก่อนเริ่มประกาศงานแต่ง ฉู่เจิ้นหนานไม่มีทางยอมให้ฉู่ซินเหยาได้แสดงพิรุธอะไรแน่นอน
เรียกได้ว่านอกจากการไปเยี่ยมเยียนแล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นในการสื่อสารอีกเลย
ดูเหมือนว่าทุกคนจะถึงทางตันแล้ว หากปัญหาสำคัญนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ แผนการนี้ก็คงไม่ได้ผล
“ใช่แล้ว เด็กไม่น้อย เ้ามีสิ่งใดที่พอจะทำให้จดจำกันได้บ้างหรือไม่? บางทีหากข้าพกมันไปด้วย นางอาจจะเชื่อสิ่งที่ข้าพูดก็ได้?” หลิงเฟิงถามอย่างไม่แน่ใจ
“เฮ้อ ไม่มีสิ่งนั้นอีกแล้วล่ะ” ฉู่อวิ๋นส่ายหัว กู่ฉินเซวียนมู่เพียงตัวเดียวก็มอบให้ไปแล้วในงานชุมนุมพยัคฆ์ั ในครั้งนั้นฉู่ซินเหยาจึงจำตัวตนของฉู่อวิ๋นได้
“เช่นนั้นก็ยากแล้ว…” หลิงเฟิงเกาหัวแกรก รู้สึกสับสนมาก
“ผู้มีพระคุณ ท่านจะยินดีฟังข้าสักคำหรือไม่?” ทันใดนั้น หลิงจื้อก็พูดขึ้นมา ทำให้ใบหน้าของฉู่อวิ๋นสว่างขึ้นและพูดว่า “แน่นอน ท่านผู้เฒ่ามีความคิดดีๆ หรือ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลิงจื้อก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อไม่มีสิ่งของใดให้จดจำกันได้ ก็เพียงได้แต่ส่งผ่านคำพูดเท่านั้น ท่านสองพี่น้องมีความทรงจำพิเศษใดร่วมกันบ้างหรือไม่?”
“ความทรงจำที่ท่านสองคนเท่านั้นที่รู้ ขอเพียงบอกให้เฟิงเอ๋อร์รู้ และให้เขานำไปส่งต่อกับพี่สาวของท่าน นางย่อมเชื่อในคำพูดของเฟิงเอ๋อร์”
ดวงตาของฉู่อวิ๋นเป็ประกายในทันที เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ความทรงจำพิเศษที่พวกข้ามีร่วมกันหรือ? มีสิ มีอยู่เยอะมากด้วย!”
หลังจากนั้น ฉู่อวิ๋นก็บอกข้อมูลสำคัญบางอย่างแก่หลิงเฟิง บอกให้เขาจดจำมัน เพื่อใช้แลกกับความไว้วางใจของฉู่ซินเหยา
“เป็อย่างไรบ้าง? จำได้หรือไม่?”
“อื้ม! ไม่ต้องห่วงนะเ้าเด็กไม่น้อย ข้าจำได้แม่น!”
“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะทดสอบเ้า” ฉู่อวิ๋นถามด้วยรอยยิ้ม “ในบรรดาอาหารที่พี่ซินเหยาทำ จานใดที่ข้าชอบที่สุด?”
หลิงเฟิงหัวเราะเสียงดังอย่างมั่นใจ และพูดอย่างสบายๆ “คำถามง่ายๆ แน่นอนว่าคือขาวัว!”
ฉู่อวิ๋น “...”
“หือ? เ้าเด็กไม่น้อย ทำไมเ้าเงียบไปล่ะ? ข้าตอบผิดหรือ?” หลิงเฟิงสับสนมาก
“คือขาไก่...”
“อ้อๆ ๆ! ฮ่าๆ! ผิดพลาดชั่วคราวน่ะ เ้าลองถามอีก ข้าต้องตอบคำถามต่อไปได้แน่!”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะถามเ้าอีกครั้ง ข้าให้โอสถล้ำค่าชนิดใดแก่พี่ซินเหยา?”
“คำถามนี้ของเ้าง่ายเกินไปแล้ว!” หลิงเฟิงส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจ้องมอง ชี้นิ้วไปหาและพูดเสียงดัง “ย่อมเป็ยาป้องกันหัวใจ! ใช่หรือไม่? ฮ่าๆ ข้านี่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
“เ้า... เ้ากำลังล้อเล่นหรือ?...”
เส้นเืสีเข้มผุดบนหน้าผากของฉู่อวื๋น หน้ามืดคล้ายจะเป็ลมลงไปตรงนั้น
แต่เขาไม่เชื่อว่าจะโชคร้าย จึงถามหลิงเฟิงไปอีกหลายคำถาม
ทว่าชายหนุ่มผู้ไร้กังวลคนนี้กลับตอบไม่ถูกเลยสักคำถามเดียว
ตอบไม่ถูกเลย... สักคำถามเดียว
ในที่สุด ฉู่อวิ๋นก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าถึงแม้หลิงเฟิงจะมีพลังิญญา แต่เขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากความทรงจำที่แสนสั้น นอกเหนือจากข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกฝนและการต่อสู้แล้ว เขาก็จำอะไรไม่ได้อีก
“ผู้าุโ! ทำไมลูกหลานของท่านถึงได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้?!” ฉู่อวิ๋นยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วนั่งลงด้วยความโมโห มืดมนอย่างถึงที่สุด
“นี่... นี่...” โยวกู่จือเองก็อับอายมากเช่นกัน จึงได้แต่ก่นด่าด้วยความโมโห “เสี่ยวจื้อ! รุ่นของเ้าอบรมคนรุ่นใหม่อย่างไรกันนี่!”
หลิงจื้อเหงื่อแตกเต็มแผ่นหลังและกำลังจะอธิบาย แต่หลิงเฟิงก็ชิงตอบก่อน “บรรพบุรุษ... ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจำ หากได้มองภาพเกี่ยวกับทักษะลับหรือวิชายุทธ์ เพียงปราดเดียวข้าก็จำได้แล้ว”
“แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ข้าจำไม่ได้จริงๆ”
เมื่อพูดจบ หลิงเฟิงก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ทำให้คนอื่นต่างอึ้งกิมกี่พูดอะไรไม่ออก นี่มันแปลกเกินไปแล้ว
ดังนั้นแผนการที่จะให้หลิงเฟิงออกไปส่งสารให้ฉู่ซินเหยาจึงล้มเหลว
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ค่ำคืนแสนยาวนาน พระจันทร์อันสุกใสลอยอยู่บนนภา
ในห้องโถง พวกเขาทั้งสามรวมหัวกันครุ่นคิดอย่างหนัก พยายามหาวิธีที่ดีกว่านี้ในการสื่อสารกับฉู่ซินเหยา
แต่หลังจากคิดแล้วคิดอีก ก็ไม่มีวิธีแก้ปัญหาใดที่คุ้มค่าแก่การลอง ครู่หนึ่งจากนั้น ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึม
ยามนี้ทุกคนทำอะไรไม่ถูก ฉู่อวิ๋นก็รู้สึกหดหู่ใจ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นหน้ากากอยู่บนโต๊ะข้างๆ หน้ากากคริสตัลสีดำที่เสียหายของเขา ดวงตาก็เป็ประกาย
“มีแล้ว!” ฉู่อวิ๋นคร่ำครวญอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็แสดงท่าทีประหลาดใจและะโออกมา ทำเอาคนอื่นๆ ใจนสะดุ้ง
เขาลุกขึ้นยืนและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดวิธีที่จะส่งข้อความให้พี่หญิงรู้และทำให้นางเชื่อใจไปพร้อมๆ กันได้แล้ว!”
จากนั้น ท่ามกลางสายตาสงสัยของทุกคน ฉู่อวิ๋นก็เดินไปหาหลิงเฟิงแล้วถามว่า “แม้ว่าเ้าจะเป็ทายาทของตระกูลหลิง แต่เ้าคงไม่เคยเปิดเผยตัวตนมาก่อนกระมัง?”
“ใช่ ทันทีที่ข้ามาถึงเมืองชุยเสวี่ย ข้าก็ใส่หน้ากากเดินไปเดินมาตลอด ไม่มีใครเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของข้า” หลิงเฟิงพยักหน้า
“ถ้าเป็เช่นนั้น ขอเพียงข้ากลายเป็ซิวหลัวหน้าผี ก็แก้ปัญหาทั้งหมดได้ไม่ใช่หรือ?”
“อ๋า?” ทุกคนนิ่งอึ้ง ไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของฉู่อวิ๋น
ฉู่อวิ๋นรีบอธิบายด้วยรอยยิ้มทันที “ความจริงแล้ว ขอเพียงแค่ผู้เฒ่าหลิงปล่อยข่าวว่าซิวหลัวหน้าผีเป็ทายาทของตระกูลหลิง เช่นนั้นข้าก็สามารถสวมหน้ากากนี้แล้วไปพบกับพี่หญิงในคราบซิวหลัวหน้าผีได้แล้ว”
“ด้วยวิธีนี้ ข้าก็จะสามารถเข้าไปในเรือนกลิ่นกำจรได้อย่างถูกต้อง และอธิบายแผนการให้พี่หญิงฟังได้ด้วยตนเอง ยิงหินหนึ่งก้อนได้นกสองตัว!”
หลังจากฟังแผนการของฉู่อวิ๋น ทุกคนก็พยักหน้าช้าๆ และเห็นด้วยกับมัน
“อืม นี่เป็วิธีเดียวจริงๆ! แต่พลังของซิวหลัวหน้าผีอยู่ที่ระดับห้าขั้นมหาสมุทร... นี่จะให้ใครพบเข้าไม่ได้นะ” หลิงจื้อพบข้อบกพร่อง
“นี่ไม่ใช่ว่าจะไร้ทางแก้ ข้าอยู่ในวงแหวนอวกาศ เพียงแค่ต้องใช้วิชาทางจิตปิดกั้นรัศมีของเ้าหนูฉู่และคอยป้องกันไม่ให้คนอื่นมาสอดรู้สอดเห็น”
“แต่ข้าสูงกว่าเด็กไม่น้อยอยู่ครึ่งหัวนะ นี่จะทำอย่างไร?”
“แค่ซื้อรองเท้าส้นหนาๆ มาสวมสักคู่ก็ไม่มีใครรู้แล้ว” ฉู่อวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ต่อมาทุกคนก็พบช่องโหว่มากมาย แต่หลังจากคิดกันตลบหนึ่ง ปัญหาเหล่านี้ล้วนสามารถแก้ไขได้
ในที่สุด หลังจากการพูดคุยกัน แผนการที่จะปลอมตัวเป็ซิวหลัวหน้าผีของฉู่อวิ๋นก็เป็ที่ยอมรับ!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลิงเฟิงก็หัวเราะ หยิบหน้ากากผีชั่วร้ายออกมา มอบให้ฉู่อวิ๋น แล้วพูดว่า “เฮ้อ ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป เ้าเด็กไม่น้อย เ้าก็คือซิวหลัวหน้าผี!"
ยามนี้ ฉู่อวิ๋นหายใจเข้าเต็มปอด แล้วรับหน้ากากมา สีหน้าของเขาเริ่มจริงจังขึ้น ดวงตาคู่คมสั่นไหว ริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้ม
“มาถึงตอนนี้ ในเมื่อข้าเป็ “ซิวหลัวหน้าผี” แล้ว เช่นนั้นคนป่า “อวิ๋นชู” ก็ไม่จำเป็ต้องมีอีกแล้ว ลาก่อนจวนตระกูลเสวี่ย!”
ฉู่อวิ๋นถือหน้ากากผีร้ายแล้วกำหมัดแน่น ในใจตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว วันที่จะช่วยพี่สาวออกมา ดูเหมือนจะใกล้เข้ามาแล้ว!
----------
[1] ผู้ชายที่มีหน้าตาหล่อเหลา บุคลิกองอาจสมชายชาตรี