ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป บ่าวเฝ้าประตูก็ออกมาพูดกับคนขับรถม้าด้านนอก “ในเมื่อเป็พี่สะใภ้ของนายหญิงน้อยสี่ เช่นนั้นก็เชิญเข้ามาด้านในเถอะ”
อะไรคือพี่สะใภ้จากบ้านเดิมของนายหญิงน้อยสี่? ตามหลักแล้วเพื่อเป็การแสดงความเคารพหลี่ซื่อ กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าก็ควรต้องเรียกหลี่ฮูหยินว่าเสี่ยวจิ้วไท่ไท่
หลินฟู่อินมองหลี่ฮูหยินด้วยความกังวล เห็นท่าทีคนสกุลโจวแล้ว หลี่ฮูหยิน้ามาเยี่ยมน้องสาวของสามี แต่เกรงว่าเื่คงไม่ราบรื่นนัก…
“สกุลโจวเป็อะไร? เมื่อปีก่อนยังสบายดีอยู่เลย เหตุใดปีนี้จึงกลายเป็เช่นนี้ไปได้? ไม่ใส่ใจกันเกินไปแล้ว!” หลี่ฮูหยินโมโหจนสะบัดแขนเสื้อ หันไปพูดกับเจียงหมัวมัว “ลงจากรถ สั่งเหล่าอินให้ขับรถม้าไปจอดไว้ที่คอกม้าสกุลโจว”
เจียงหมัวมัวรับคำแล้วรีบลงไปทันที
“ฟู่อิน ลงกันเถอะ” หลี่ฮูหยินพยายามข่มความโกรธเอาไว้
“ฮูหยินอย่าโกรธไปเลยเ้าค่ะ ประเดี๋ยวเข้าสกุลโจวค่อยจัดการเื่ให้เรียบร้อย” หลินฟู่อินแนะนำ รู้ว่าอารมณ์ของหลี่ฮูหยินนี้เหมือนะเิ หาไม่คนคงไม่เหม็นขี้หน้ากับนายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่กันมาหลายปีหรอก
“อืม เห็นแก่น้องสาวกับหลานตัวน้อยในท้อง วันนี้ข้าจะทนไปก่อน แล้วค่อยมาสนใจเื่นี้ทีหลัง!” ดวงตาของหลี่ฮูหยินทอแสงวาบ ในใจกังวลจริงๆ เด็กยังไม่ทันคลอด จวนสกุลโจวก็ละเลยนางเสียแล้ว
แค่เห็นบ่าวเฝ้าประตูเข้าไปรายงาน อย่างน้อยนายท่านของจวนก็ควรส่งสตรีดีๆ ในจวนมาต้อนรับ แต่นางไม่เห็นแม้แต่ผีสักตัว!
หลินฟู่อินกับหลี่ฮูหยินเดินเข้าจวนสกุลโจว เดินอยู่นานก็พบสตรีวัยสี่สิบกว่า สวมชุดกลางเก่ากลางใหม่รวบผมเป็มวยรีบร้อนออกมาจากเรือนใน ตามมาด้วยสาวใช้รุ่นเล็กสองคนที่ก้มหน้างุด
เห็นสตรีผู้นี้เดินเข้ามา หลี่ฮูหยินค่อยมีสีหน้าดีขึ้นหน่อย
ที่แท้คนผู้นี้คือเจิ้งหมัวมัว เป็สินเดิมของหลี่ซื่อน้องสาวหมอหลี่
“เสี่ยวจิ้วไท่ไท่ บ่าวหยาบคายต่อท่านจริงๆ…” เจิ้งหมัวมัวรีบร้อนวิ่งมาทักทายหลี่ฮูหยิน ร้องเรียกอีกฝ่ายว่าเสี่ยวจิ้วไท่ไท่ด้วยน้ำเสียงร้อนรนทันที สาวใช้ทั้งสองที่ก้มหน้าก้มตาต่างก็เรียกนางเช่นเดียวกัน
หลี่ฮูหยินยิ้มประคองอีกฝ่ายขึ้นแล้วถาม “น้องสาวกับเด็กเป็อย่างไรบ้าง?”
“เสี่ยวจิ้วไท่ไท่… ท่านมาแล้ว นายหญิงน้อยของบ่าว…” เจิ้งหมัวมัวกับสองสาวใช้แม้จะอยู่ส่วนเรือนนอกของสกุลโจวกลับไม่ข่มกลั้นแม้แต่น้อย แทบจะพากันร้องไห้ออกมา
สีหน้าของพวกนางดูคล้ายจะร้องไห้ทำให้หลี่ฮูหยินใจนิญญาแทบหลุด นางรีบจับหน้าเจิ้งหมัวมัว ถามเสียงต่ำ “ทำไม เกิดอะไรขึ้น? รีบกลับไปยังเรือนนายหญิงน้อยเ้าก่อนแล้วค่อยพูดอีกที”
เจิ้งหมัวมัวกลั้นสะอื้น กล่าวด้วยท่าทางเก็บอาการ “เพียงแต่มิได้พบเสี่ยวจิ้วไท่ไท่มานานเ้าค่ะ ดีใจเหลือเกิน ผ้าห่มขนแกะดีๆ ผืนนั้นที่ได้มาเมื่อปีก่อนยังคงอุ่นถึงปีนี้…”
หลี่ฮูหยินเห็นน้ำเสียงอีกฝ่ายดูไม่ประติดประต่อก็ทราบว่าคนเพียงหาเื่กลบเลื่อนจึงอดมิได้ให้ช่วยประคองเจิ้งหมัวมัวแล้วหันไปสั่งสาวใช้ทั้งสอง “เด็กดี พวกเ้าพยุงเจิ้งหมัวมัว รีบร้อนออกมาเช่นนี้คงเวียนหัวแย่แล้ว”
สาวใช้สองคนนี้ยังเด็กหลอกล่อง่าย ได้ยินก็รีบประคองเจิ้งหมัวมัวทันที
เจิ้งหมัวมัวรู้ว่าอีกฝ่ายพยายามช่วยนางกลบเกลื่อนจึงได้แสร้งทำทีเป็เวียนหัว ทิ้งศีรษะลงให้สาวใช้รุ่นเล็กทั้งสองช่วยประคองแขนทั้งสองข้าง
หลินฟู่อินเห็นเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา
สีหน้าหลี่ฮูหยินมืดครึ้ม ดวงตาหรี่ลง เื่นี้เดาไม่ง่ายเลย
“สกุลโจวตัวดี คิดว่าสกุลหลี่เราตายกันหมดแล้วหรืออย่างไร?” นางกระซิบ ไม่กลัวหลินฟู่อินที่อยู่ด้านข้างจะได้ยิน
เจิ้งหมัวมัวได้สาวใช้สองคนประคองเข้าไปด้านใน บ้านสกุลโจวใหญ่โตกว้างขวาง ใหญ่เสียยิ่งกว่าบ้านของนายท่านเฝิงที่หลินฟู่อินเคยเห็นในเมืองชิงหยาง สกุลโจวนี่คู่ควรแล้วที่นับเป็ตระกูลดังแห่งชิงเหลียน
แต่การต้อนรับคนนี้สมควรถูกประนามโดยแท้
“ไม่ต้องเป็ห่วงเ้าค่ะฮูหยิน ประเดี๋ยวเข้าเรือนของน้องสามีท่านแล้วค่อยพูดกันอีกครั้ง” หลินฟู่อินเกรงว่าคนจะอาละวาดจึงได้ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เหตุการณ์พลิกผันไปมาเช่นนี้ ใช้เวลาเดินเพียงหนึ่งถ้วยชาก็มาถึงเรือนของหลี่ซื่อแล้ว
“เจิ้งหมัวมัวบอกข้ามาเถอะว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หลี่ฮูหยินเข้ามาถึงเรือนใหญ่ของน้องสาวสามีก็ะโเสียงดังทันที เรือนแห่งนี้ไม่มีกระทั่งเด็กรับใช้คอยกวาดพื้น
หลินฟู่อินก็ประหลาดใจที่เรือนนี้ไม่มีบ่าวเฝ้าประตู เหตุใดเจิ้งหมัวมัวถึงพาสาวใช้รุ่นเล็กสองคนออกไปต้อนรับหลี่ฮูหยินด้วย ทั้งที่ในเรือนไม่มีกระทั่งบ่าวเฝ้าประตูหรือเด็กกวาดพื้น?
เจิ้งหมัวมัวตวัดสายตามองสาวใช้ทั้งสองคนที่จับแขนตนอยู่ หลี่ฮูหยินหาโอกาสทันที นางขยิบตาให้เจียงหมัวมัวทีหนึ่ง
เจียงหมัวมัวพยักหน้า ล้วงมือเข้าไปหยิบเงินตำลึงเล็กออกมาจากกระเป๋าแล้วยัดใส่มือสาวใช้ทั้งสอง ยิ้มพูด “เด็กดี พวกเ้าวิ่งเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทางแล้ว ฮูหยินให้เงินพวกเ้าไปซื้อขนมมากินเล่น ไปเล่นกันเถอะไป”
สาวใช้ทั้งสองไม่เคยได้รับรางวัลก้อนโตเช่นนี้มาก่อน ไม่ว่าจะหลังถูกย้ายมาดูแลนายหญิงน้อยสี่ที่กำลังตั้งครรภ์ก็ดี หรือจะั้แ่ก่อนหน้านั้นที่ยังทำงานในจวนของฮูหยินผู้เฒ่าหรือกับฮูหยินใหญ่ก็ดี พอได้เงินมาเช่นนี้ก็รีบกำเอาไว้แน่น รีบก้มศีรษะคารวะขอบคุณแล้วหมุนกายวิ่งออกไปทันที
หลี่ฮูหยินเห็นสาวใช้น้อยสองคนวิ่งออกไปแล้วก็สั่งให้เจียงหมัวมัวพาเจิ้งหมัวมัวไปยังที่ที่มีอากาศถ่ายเท มุมที่เห็นทิวทัศน์ได้ดี หากมีใครหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตามมุมก็สามารถมองเห็นได้ง่าย
“เจิ้งหมัวมัว สองคนนั้นไปแล้ว เ้าจะพูดอะไร?” หลี่ฮูหยินจ้องอีกฝ่าย เจียงหมัวมัวเองก็มองด้วย มีเพียงหลินฟู่อินที่นั่งก้มหน้าไม่รู้คิดอะไร
เจิ้งหมัวมัวมองรอบด้านอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็มองหลี่ฮูหยินแล้วร้องออกมาน้ำเสียงโศกเศร้า “เสี่ยวจิ้วไท่ไท่เ้าคะ ช่วยนายหญิงน้อยของข้าด้วยเ้าค่ะ…”
ยังไม่ทันจบคำ เจิ้งหมัวมัวก็ตั้งท่าจะคุกเข่าให้หลี่ฮูหยิน แต่คนยังไม่ทันงอขาดี หลินฟู่อินก็ยื่นมือไปประคองเอาไว้ก่อน
เจิ้งหมัวมัวมองหลินฟู่อินด้วยความตกตะลึง เด็กคนนี้มารยาทดี ไม่ใช่บุตรสาวคนโตหรือบุตรสาวคนเล็กของเสี่ยวจิ้วไท่ไท่ เห็นเสื้อผ้าก็รู้ว่าไม่ใช่คนหนู ดูไปแล้วอายุเพียงสิบสามสิบสี่ปี เหตุใดร่างกายจึงแข็งแรงปานนี้?
“ฮูหยิน เจิ้งหมัวมัว เดินไปคุยไปเถอะเ้าค่ะ” หลินฟู่อินพูดเบาๆ
ไม่รู้เหตุใด นางรู้สึกได้ว่ามีสายตามากกว่าสองคู่กำลังจับจ้องอยู่ ทำให้นางรีบยื่นมือไปขัดขวางไม่ให้เจิ้งหมัวมัวคุกเข่า
หลี่ฮูหยินรู้ว่าหลินฟู่อินหาใช่ผู้ที่จะขัดคำผู้อื่นไม่ เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ย่อมต้องมีบางสิ่งไม่เหมาะสม จึงได้พยักหน้า “เช่นนั้นก็เดินไปคุยไปเถอะ สรุปความให้สั้นเข้า!”
“เสี่ยวจิ้วไท่ไท่เ้าคะ คนสกุลโจวนี้ล้วนเสแสร้งทำตัวเป็คนใจกว้างใจบุญ แต่แท้จริงแล้วล้วนแต่เป็หมาป่าเหี้ยมโหด พวกมัน… เชิญหมอตำแยหลายคนมาให้พูดว่านายหญิงน้อยจะคลอดยาก เกรงว่าจะตายทั้งแม่ทั้งลูก จึงได้ปฏิบัติต่อนายหญิงน้อยย่ำแย่ ปล่อยให้นายหญิงน้อยต้องต่อสู้ปกป้องตัวเองเ้าค่ะ!” เจิ้งหมัวมัวสะอื้นอย่างไม่อาจควบคุม
ทั้งทอดทิ้ง ทั้งปล่อยให้ทำลายตัวเองล้วนมีทั้งสิ้น
“รังแกกันเกินไปแล้ว! คิดว่าสกุลหลี่ของข้าตายกันหมดแล้วหรืออย่างไร?” หลี่ฮูหยินเดือดดาลจนคิ้วตั้ง กล่าวด้วยความโมโห “มิน่าตอนข้าอยู่หน้าประตู บ่าวเฝ้าประตูถึงได้หยาบคายนัก ที่แท้สกุลโจวก็คิดเช่นนี้เอง!” สิ้นคำของหลี่ฮูหยิน คนก็ถามต่อเสียงขรึม “โจวมู่หลิงอยู่ที่ใด ไปเรียกตัวมาหาข้า ข้าอยากถามอย่างละเอียด หลี่ซื่อกับสกุลหลี่ของเราทำผิดอะไรต่อเขา? จึงปล่อยให้คนสกุลโจวมารังแกคุณหนูแห่งสกุลหลี่เช่นนี้?”
“เื่นี้…” เจิ้งหมัวมัวได้ยินชื่อโจวมู่หลิงก็ลูบหน้าผากแล้วสูดหายใจเฮือก “อย่าไปพูดถึงนายท่านเลยเ้าค่ะเสี่ยวจิ้วไท่ไท่ นายท่านผู้นั้นเลวร้ายที่สุด!”
“พูดเช่นนี้ได้อย่างไร? เขาทำอะไร?” หลี่ฮูหยินฟังจากน้ำเสียงของเจิ้งหมัวมัวแล้วมีหรือจะไม่ทราบ ต้องเป็โจวมู่หลิงที่ละเลยน้องสามีของนางกับเด็กในท้องเป็แน่
แต่หลินฟู่อินไม่ได้คิดอะไรเรียบง่ายเช่นนั้น ดวงตาของนางฉายประกายวูบหนึ่ง มองเจิ้งหมัวมัวแล้วถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เช่นนั้นท่านก็เล่าเื่นายท่านเจิ้งผู้นี้ให้ฮูหยินของพวกเราฟังเถอะเ้าค่ะ อย่าโกหกหรือปั้นแต่งเื่เพิ่มแม้แต่อย่างเดียว”
เจิ้งหมัวมัวมองหลินฟู่อินด้วยสายตางงงวยอีกครั้ง แต่เห็นคนมีบรรยากาศไม่ธรรมดา ดูสงบสำรวมยิ่งนักจึงพูดทันที “ปิดบังเสี่ยวจิ้วไท่ไท่กับแม่นางน้อยก็คงไม่มีประโยชน์อันใดเ้าค่ะ”
หลี่ฮูหยินเปิดปากแนะนำ “ผู้นี้คือแม่นางหลิน เป็หมอที่ข้าเชิญมา ตั้งใจให้มาจับชีพจรน้องสาว เ้าหาทางปิดบังเอาไว้”
ฟังคำของหลี่ฮูหยิน ดวงตาของเจิ้งหมัวมัวก็ลุกโชนสว่างไสว เป็หมออัจฉริยะ! ดีจริงๆ นายหญิงน้อยของนางมีทางรอดแล้ว!
หลี่ฮูหยินคิดว่าสกุลโจวเป็ตระกูลบัณฑิต ย่อมต้องดูแลลูกสะใภ้เป็อย่างดี ยามนี้ได้รู้แล้วว่าตระกูลนี้โหดร้ายเพียงใด เช่นนี้นางก็ไม่ต้องคิดหาทางให้หลินฟู่อินแอบจับชีพจรน้องสาวแล้ว ก่อนหน้านี้ยังเกรงว่าจะเป็การทำให้สกุลโจวเสียหน้า แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็เช่นนี้ นางก็ไม่ต้องรักษาหน้าให้พวกเขาเช่นกัน!
คิดถึงแค่น้องสามีกับหลานของนางก็พอแล้ว!
“แม่นางหลิน แม่นางหลิน ขอร้องท่านแล้วเ้าค่ะ ได้โปรดช่วยนายหญิงน้อยกับคุณชายน้อยในท้องนายหญิงด้วยนะเ้าคะ!” เจิ้งหมัวมัวแทบจะคุกเข่าอีกครั้ง หลินฟู่อินจึงรีบร้อนประคองนางเอาไว้
นางกล่าวเสียงเข้ม “รีบเล่าเื่นายหญิงน้อยของท่านมาเถอะเ้าค่ะ”
ดวงตาของเจิ้งหมัวมัวพลันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง กระทั่งน้ำเสียงยังเค้นออกมา “คุณชายตัวดีนั่นเป็ผู้ดีบัดซบเ้าค่ะ ไม่สนใจขนบธรรมเนียม ไม่มียางอายแม้แต่น้อย!” เจิ้งหมัวมัวโกรธจนไอเสียแรง เจียงหมัวมัวที่ยืนอยู่ข้างหลังหลี่ฮูหยินรีบลุกขึ้นมาช่วยตบหลังอีกฝ่ายทันที
หลินฟู่อินขมวดคิ้ว บ่าวไพร่ในยุคโบราณเช่นนี้ส่วนใหญ่ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เ้านาย โดยเฉพาะเ้านายบุรุษ ไม่อย่างนั้นอาจถูกตีจนตายหรือขายทิ้งได้ เกรงว่าคนคงจะโมโหเสียจนไม่กลัวถูกสกุลโจวสังหารแล้ว
โจวมู่หลิงทำอะไร เจิ้งหมัวมัวถึงได้เกลียดชังเพียงนี้?
“เสี่ยวจิ้วไท่ไท่เ้าคะ เกรงว่าท่านได้ยินแล้วจะโมโหจนเป็ลมเอาได้ พยายามทำใจให้สบายนะเ้าคะ” เมื่อเจิ้งหมัวมัวหยุดไอก็พูดออกมา น้ำตาไหลรินเป็สาย “นายท่านตัวดีนั่นมีบ้านเล็กั้แ่เมื่อสองปีก่อน อนุนอกบ้านนั่นเป็คุณหนูจากจวนขุนนางขั้นสองในเมืองหลวง สองคนนั้นลอบมีสัมพันธ์กันโดยไม่สนใจความเหมาะสม ไร้ซึ่งยางอาย ยามนี้มีลูกแฝดอายุหนึ่งขวบกว่าแล้ว…”
“อะไรนะ?” สิ้นคำของเจิ้งหมัวมัว หลี่ฮูหยินก็ตกตะลึงจนไม่รู้จะทำอย่างไร น้ำเสียงแหลมสูงจนหลินฟู่อินต้องเขย่าแขนนางน้อยๆ เพื่อให้ข่มอารมณ์
“ฮูหยิน เื่เป็เช่นนี้ เราก็ต้องหาทางช่วยคนให้ได้” สีหน้าหลินฟู่อินหม่นครึ้มยามมองหลี่ฮูหยิน “หากข้าเดาได้ถูกต้อง ต่อให้นายหญิงน้อยไม่มีสัญญาณครรภ์ไม่ดี ก็ต้องมีคนพยายามกำจัดนางกับเด็กเพื่อปูทางให้ผู้อื่นกับเด็กในท้องคนผู้นั้นอยู่ดี!”
หลี่ฮูหยินรู้สึกวิงเวียน เื่นี้เกินจินตนาการของนางจริงๆ จึงได้บังคับให้ตัวเองสงบลงได้อย่างง่ายดาย พูดด้วยท่าทีสิ้นหวัง “ไม่รู้เ้าจะคาดเดาถูกหรือไม่ แต่ตอนนี้จะทำอย่างไรกันดี?” ชะงักไปครู่หนึ่ง หลี่ฮูหยินก็พูดออกมาอีกครั้ง “นี่ เ้าพวก เ้าพวกสกุลโจวมันกล้าดีอย่างไร? ไม่กลัวคนสกุลหลี่เราทั้งบุรุษสตรีมาทุบตีถึงหน้าจวนหรืออย่างไร?”
ดวงตากลมโตของหลินฟู่อินหรี่ลงเล็กน้อย ดวงตาเย็นะเื
สกุลโจวเห็นว่าบุตรชายมีลูกกับอนุแล้ว ย่อมสามารถไต่เต้าบ้านขุนนางระดับสองของเมืองหลวงขึ้นไปได้!
“ฟู่อิน เราจะทำอย่างไรกันดี? สมองข้าตื้อไปหมดแล้ว เหตุใดเื่จึงกลายเป็เช่นนี้ไปได้?” หลี่ฮูหยินเหงื่อแตกพลั่กแล้วบ่นออกมา “มิใช่นายท่านผู้เฒ่ารักน้องสาวคนเล็กที่สุดหรืออย่างไร เหตุใดกัน? ท่านไม่รู้เื่เหล่านี้หรือ? เขยสะใภ้ที่บ้านมีมากมาย เหตุใดไม่เคยมีใครมา?”
“ท่านไม่รู้อะไรเ้าค่ะเสี่ยวจิ้วไท่ไท่ คนสกุลนี้ล้วนหาดีไม่ได้!” เจิ้งหมัวมัวร้องไห้
ที่แท้เพื่อป้องกันนายท่านผู้เฒ่ากับบรรดาคนสกุลหลี่ ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลโจวดูแลหลี่ซื่อเป็อย่างดี ทั้งอาหารทั้งเครื่องดื่มตลอดแปดเดือนล้วนเป็ของดี พูดง่ายๆ คือดูราวกับแม่สามีที่ดีต่อลูกสะใภ้ยามตั้งครรภ์
กระทั่งไม่นานมานี้จึงได้จงใจจ้างหมอตำแยหลายคนเข้ามาตรวจสอบเด็กในท้อง ทุกคนล้วนแต่บอกว่าเด็กอยู่ในท่าไหล่ทำให้ยากต่อการทำคลอด จากนั้นนายท่านผู้เฒ่าสกุลโจวจึงเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่ รายงานว่าหลี่ซื่อจะคลอดยาก ทั้งยังเขียนหาหมอสกุลหลี่ ขอให้นายท่านผู้เฒ่าและผู้เชี่ยวชาญด้านโรคสตรีช่วยหาทางช่วยหลี่ซื่อกับเด็กในครรภ์ ดังนั้นตอนนี้นายท่านผู้เฒ่าจึงยังศึกษาหาหนทางอยู่กับเหล่าผู้เชี่ยวชาญของตระกูล ว่ามีวิธีใดจะสามารถทำให้เด็กในครรภ์ที่อยู่ในท่าอันตรายกลับหัวได้บ้าง
ส่วนสะใภ้ทั้งหลายในจวนสกุลหลี่ล้วนแต่มีหน้าที่ของตัวเอง ต่อให้อยากมาพบคนก็ไม่สามารถเร่งร้อนมาได้ เกรงว่ากว่าจะมาถึงคงจะพบแต่คนตายแล้ว!
จิตใจโเี้อำมหิตยิ่งนัก เพียงเพื่อเกียรติยศและความร่ำรวยที่ยังมาไม่ถึง สกุลโจวถึงกับจะสละสองชีวิตไปง่ายๆ เช่นนี้!
เื่นี้ไม่ได้เป็เพียงทฤษฎีสมคบคิดของหลินฟู่อิน บางทีเด็กในท้องหลี่ซื่ออาจอยู่ในท่าไหล่จริง แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าสกุลโจวยังวางแผนอะไรไว้อีก
อย่างไรกลวิธีการแพทย์ยุคโบราณก็มีทั้งที่ล้าหลังและล้ำหน้า มีทั้งถูกต้องตามทำนองคลองธรรม มีทั้งที่ชั่วร้ายโสมม
แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลามานั่งคิดเื่พวกนี้ เห็นหลี่ฮูหยินทำตัวไม่ถูก หลินฟู่อินจึงถือโอกาสนี้ถามออกไป “หลี่ฮูหยินมอบเื่นี้ให้ข้าจัดการหรือไม่เ้าคะ?”
สีหน้าของนางดูจริงจัง มอบบรรยากาศที่บอกว่าไม่ว่าเื่จะยากเย็นเพียงใด ขอเพียงเ้ากล้าไว้ใจฝากฝัง ข้าก็จะรับผิดชอบเอง
“ฟู่อิน ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว เ้ายังเด็กและฉลาดนัก เื่น้องสาวคนนี้ต้องฝากเ้าแล้ว”
หลินฟู่อินพยักหน้า หันไปถามเจิ้งหมัวมัวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “หมัวมัวมีหนทางแจ้งเื่ที่เกิดกับนายหญิงน้อยของท่านให้สกุลหลี่ทราบหรือไม่เ้าคะ?”
เจิ้งหมัวมัวส่ายหัวไปมา ใบหน้าซีดเผือด “พวกสกุลโจวขายบ่าวที่นายหญิงน้อยพามาจากบ้านเดิมออกไปจนหมดเ้าค่ะ ขายไปให้ทางเป่ยหรง พอััถึงความตั้งใจของสกุลโจวได้ บ่าวก็แสร้งทำท่าทีไม่ชอบนายหญิงน้อยชัดเจน พูดเื่ไม่ดีของนายหญิงน้อยต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลโจวกับสาวใช้คนสนิทของฮูหยิน ดังนั้นจึงยังเหลือบ่าวได้อยู่รับใช้นายหญิงน้อย เด็กสองคนนั้นที่เพิ่งออกไป คนหนึ่งฮูหยินผู้เฒ่าโจวส่งมา อีกคนเป็ของฮูหยิน แม้จะไม่ค่อยรู้ความแต่ก็ยังนำคำพูดและการกระทำของบ่าวไปแจ้งนายของพวกนางได้”
ยามนี้หลินฟู่อินจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดหน้าเรือนของนายหญิงน้อยสี่สกุลโจวจึงร้าง ไร้กระทั่งบ่าวเฝ้าประตู เหตุใดอยู่ๆ เจิ้งหมัวมัวจึงต้องพูดเื่ผ้าห่มขนแกะอะไรนั่น เช่นนี้เมื่อไปถึงหูฮูหยินผู้เฒ่าของจวนนี้ก็จะกลายเป็เจิ้งหมัวมัวละโมบโลภมากอยากได้ของดีๆ จากหลี่ฮูหยิน
โชคดีที่หลี่ฮูหยินใจกว้างไล่เด็กสองคนนั้นออกไปด้วยเงินคนละสองตำลึงเงิน
แต่ฟังคำของเจิ้งหมัวมัวแล้วก็ทำให้รู้อีกเช่นกันว่าหลี่ซื่อไม่มีใครเลยนอกจากคนผู้นี้
นี่คืออำนาจและข้อได้เปรียบของสกุลโจวเช่นกัน ดูแลตามใจหลี่ซื่อมาหลายปี กระทั่งคนไม่คิดสานสัมพันธ์วางเส้นสายเอาไว้ในจวน ผลสุดท้ายก็เป็เช่นนี้ ขอเพียงสกุลโจวขายบ่าวไพร่ของนางออกไปให้ไกลถึงเป่ยหรงก็ไม่เหลือใครให้ใช้งาน กลายเป็ปลาบนเขียง จะถูกสับถูกหั่นอย่างไรก็ขึ้นกับความเมตตาของสกุลโจวแล้ว
ความคิดของหลินฟู่อินแล่นอย่างรวดเร็ว
นางรู้ว่าตัวนาง หลี่ฮูหยินและเจียงหมัวมัวต่างก็เข้ามาในเขตเรือนหลังของจวนสกุลโจวแล้ว จะก้าวออกไปย่อมเป็ไปไม่ได้ กระทั่งเหล่าอินคนขับรถม้าของสกุลหลี่ก็ยังอยู่เขตเรือนหน้า ให้ไปพบนั้นเป็ไปไม่ได้
ตอนนี้พวกนางกลายเป็เหมือนเต่าในแจกัน ชีวิตอาจตกอยู่ในอันตราย นับจากนี้จำเป็ต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว…
ในหัวหลินฟู่อินเต็มไปด้วยความคิดมากมาย ไม่นึกว่าแค่หลี่ฮูหยินพาหมอมาหาคนแล้วจะได้พบการต่อสู้รุนแรงในบ้านเช่นนี้?
ดูเหมือนหลังบ้านคนรวยกับครอบครัวสูงส่งจะหาที่สะอาดสะอ้านยากจริงๆ ด้วย!
“อืม เข้าใจแล้วเ้าค่ะ ข้าจะลองหาหนทางดู ไม่ต้องกังวลไป ไปพบนายหญิงน้อยก่อนเถอะเ้าค่ะ” หลินฟู่อินเปลี่ยนคำเมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงห้องในของหลี่ซื่อแล้ว
พอเห็นหลี่ซื่อ ดวงตาก็ทอประกาย คนเป็สตรีวัยยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี ใบหน้างดงามสวมชุดปักลายสีน้ำเงิน ในมือถือหนังสือ เอนกายพิงหมอน อ่านด้วยความสนุกสนาน มือข้างหนึ่งจับหนังสือเอาไว้ อีกมือลูบท้องกลมๆ ใบหน้าเปล่งประกายด้วยรัศมีความเป็มารดา
หลินฟู่อินเห็นหลี่ซื่อเช่นนี้ก็รู้สึกว่าโจวมู่หลิงอะไรนั่นตาบอดสิ้นดี ภรรยาดีๆ เช่นนี้ไม่้า ต้องไปหาอนุจากบ้านขุนนางพวกนั้นจนมีลูกออกมา…
คนไม่ได้คิดสักนิด หากเป็ลูกรักของขุนนางระดับสูงในเมืองหลวงจริงๆ จะถูกส่งมาเมืองชายแดนอันห่างไกลเช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่รู้ไปก่อเื่อะไรเข้าด้วยซ้ำ
ดวงตาหลี่ซื่อร้อนผ่าวทันทีที่ได้เห็นอีกฝ่าย ก่อนจะร้องเรียกเสียงเบา “เจียโหรว!”
แม่นางน้อยผู้นั้นชะงักไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นหลี่ฮูหยินก็อดะโด้วยความใไม่ได้ “พี่สะใภ้? เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้เ้าคะ?” จากนั้นจึงมองหลินฟู่อินด้วยสายตาเฉียบคม “เด็กคนนี้ดูคุ้นตายิ่งนัก พี่สะใภ้พามาหรือเ้าคะ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้