เห็นทุกคนล้วนครั่นคร้ามจ้านอู๋มิ่งยิ่งนัก ถึงแม้คนต่างถิ่นพวกนั้นจะรู้สึกแปลกใจมาก แต่กลับมิ้ารามือเพียงเท่านี้
“นี่คือเื่ราวระหว่างตระกูลหวานเหยียนของพวกเรากับแคว้นบูรพา หวังว่าเ้าอย่าได้สอดมือยุ่งเกี่ยว” ชายหนุ่มต่างถิ่นก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง ไม่ยอมถอยหนีแต่อย่างใด
“โครม…โครม…” ท่าร่างจ้านอู๋มิ่งกวาดผ่านไปทางขวางอย่างรวดเร็ว ฝ่าวงล้อมโจมตีของกลุ่มคนออกมาโดยตรง การลงมือของจ้านอู๋มิ่งไม่มีลางบอกเหตุล่วงหน้าแต่อย่างใด ตลอดจนแม้แต่วาจาไร้สาระคำเดียวก็ไม่เอ่ย
“พี่ชายเบื่อหน่ายการเจรจากับผู้คนที่สุดแล้ว!” ภายใต้การโจมตีของจ้านอู๋มิ่ง ราชันาของตระกูลชนชั้นสูงหวานเหยียนไม่สามารถต่อต้านได้แม้แต่น้อย ร่างกายาเ็ถึงขั้นกระดูกแตกหัก ล้มลงห่างออกไปหลายวา ตกลงไปอยู่ในกลุ่มคนที่ต่อสู้ในระยะประชิด ไม่น่าแปลกใจที่ถูกสับเป็เศษเนื้อด้วยดาบอันชุลมุนวุ่นวาย
“ต้องขออภัย เดิมข้าคิดจะละเว้นชีวิต ไม่ได้ลงมือสังหาร ทว่าเป็พวกเขาฆ่าคนของเ้าเอง” จ้านอู๋มิ่งยักไหล่และแบมือ ยิ้มเสแสร้งกล่าวขึ้น
จ้านอู๋มิ่งดึงตัวตงหวงโยวหย่าคราหนึ่ง ให้นางมาอยู่ด้านหลังตนกล่าวขึ้นว่า “เห็นหรือยัง ชายชราที่ดุดันร้ายกาจที่สุดผู้นั้น นั่นคืออาจารย์ของข้า เ้าไปหาเขา บอกว่าเ้าก็คืออนุภรรยาของจ้านอู๋มิ่ง ลูกศิษย์ของเขา เขาจะต้องปกป้องเ้าเป็อย่างดีแน่นอน”
“อา!” ใบหน้าสวยงามของตงหวงโยวหย่าแดงก่ำ ไฉนจู่ๆ ก็กลายเป็อนุภรรยาของจ้านอู๋มิ่งไปแล้ว ด้วยศักดิ์ฐานะองค์หญิงของแคว้นมหาจักรพรรดิ กลับกลายเป็อนุภรรยาของผู้อื่นไปแล้ว คำพูดประเภทนี้พูดออกมาจากปากได้อย่างไร
“องค์หญิง!” องครักษ์ัดำจ้องตากัน ถึงแม้คำพูดนี้ของจ้านอู๋มิ่งเป็การช่วยเหลือตงหวงโยวหย่า แต่ว่าองค์หญิงของแคว้นมหาจักรพรรดิผู้สง่างามจะสามารถเรียกเป็อนุภรรยาของผู้อื่นได้อย่างไร นี่ก็คือการลบหลู่ สร้างความอัปยศอย่างใหญ่หลวงแก่แคว้นมหาจักรพรรดิบูรพาเลยทีเดียว
“ท่านพี่อู๋มิ่ง เป็ภรรยาหลวงมิได้หรือ?” ตงหวงโยวหย่าสีหน้าแดงก่ำ ถามเบาๆ ขึ้นคำหนึ่ง
จ้านอู๋มิ่งพูดไม่ออกในทันใด เขาเพียงแค่พูดล้อเล่นเท่านั้น องค์หญิงเจ็ดผู้นี้กลับถือเป็จริงเป็จังขึ้นมาแล้ว ไม่้าเป็อนุภรรยา ยัง้าเป็ภรรยาหลวงอีกด้วย แต่ว่าหญิงสาวผู้นี้ดูแล้วอายุก็ยังไม่นับว่ามากเลย อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าพูดว่า “เื่นี้ ถ้าเ้ารู้สึกว่าเสียเปรียบ นั่นก็แล้วกันไปเถิด!”
“อา…”
“จ้านอู๋มิ่ง เ้ากระทำเกินไปแล้ว…” ผู้พิทักษ์ัดำโกรธจัด แต่ว่าเขายังมิทันได้พูดจบ บนร่างก็ถูกฟันใส่อีกดาบหนึ่ง
“อา…ลงมือช่างโเี้จริงๆ ดูแล้วเ้าจงใจหาเื่กับข้า จ้านอู๋มิ่งนะ” จ้านอู๋มิ่งดึงตัวตงหวงโยวหย่า ทะยานร่างถอยออกไปหลายวา หลบจากการโจมตีของราชันาตระกูลหวานเหยียน
“พาโยวหย่าไปหาอาจารย์ข้าตรงนั้น!” จ้านอู๋มิ่งสั่งตานกงกงที่รีบเร่งเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ
ตานกงกงมองๆ จ้านอู๋มิ่ง แล้วผงกศีรษะ เขาทราบว่าภายใต้สภาพแวดล้อมที่ถูกกดดันเช่นนี้ จ้านอู๋มิ่งมีข้อได้เปรียบยิ่งกว่าเขา และถ้าจ้านอู๋มิ่งไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ตระกูลชั้นสูงหวานเหยียนไม่แน่ว่าจะสามารถรั้งตัวเขาไว้ได้
“เ้าก็ระวังด้วยเช่นกัน!” ตานกงกงผงกศีรษะ แล้วก็พาตงหวงโยวหย่าล่าถอยออกไปทันที
“เ้าก็คือราชันหมาป่า หวานเหยียนจ้งผู้นั้นกระมัง ข่มเหงรังแกสตรีผู้หนึ่งนับเป็ความสามารถอันใดกัน ข้าทราบว่าพวกเ้าสิบราชันความจริงเล็ดลอดออกมากางเกงตัวเดียวกัน[1] เ้าเองก็คง้าสังหารข้ามากเช่นกัน นี่อย่างไร ข้ามาแล้วมิใช่หรือ พวกเรามาเล่นกันให้สนุกสักครา!” จ้านอู๋มิ่งก้าวเข้าขวางคราหนึ่ง ขัดขวางการติดตามของราชันาตระกูลชนชั้นสูงหวานเหยียน หัวเราะเสียงเย็นเยียบ
ท่าร่างจ้านอู๋มิ่งรวดเร็วยิ่งนัก ยามเคลื่อนไหวร่างกาย รังสีฆ่าฟันเข้มข้นสายหนึ่งครอบคลุมผู้คนตระกูลหวานเหยียนทั้งหมด ทุกคนล้วนมีความรู้สึกชนิดหนึ่ง หากพวกเขาไล่ตามไปอีกก้าวหนึ่ง จะต้องประสบกับการโจมตีของจ้านอู๋มิ่งอย่างแน่นอน เมื่อครู่นี้จ้านอู๋มิ่งลงมือจัดการราชันาหลายาเ็ล้มตายอย่างง่ายดาย ไม่มีผู้ใดสามารถหลบพ้นการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว
“ปรากฏว่าเป็ราชันปีศาจป่วนโลกจริงๆ อาศัยพลังเพียงคนเดียวก็ตรึงคนตระกูลหวานเหยียนทั้งหมดไว้แล้ว…” ด้านข้างมีคนพูดชมขึ้นเสียงต่ำ
หลายสำนักนิกายหลักล้วนมีศิษย์กระจัดกระจายรอชมการต่อสู้อยู่ด้านข้าง ล้วนถูกสภาวะพลังหนึ่งคนเฝ้าด่านของจ้านอู๋มิ่งทำให้ตกตะลึงและครั่นคร้าม ลอบคำนึงในใจ ในอนาคตอย่าไปตอแยราชันปีศาจป่วนโลกผู้นี้อย่างเด็ดขาด เกรงแต่ว่าสิบราชันพั่วเหยียนล้วนต้องไปพบผีสางแล้ว ราชันปีศาจป่วนโลกผู้นี้จึงจะเป็ราชันที่แท้จริง ไม่เห็นหรือว่าราชันหมาป่าและคนกลุ่มหนึ่งยามเผชิญหน้ากับจ้านอู๋มิ่ง กลับไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวไปไล่ติดตามคน
“ตูมมม!” พลันหวานเหยียนจ้งลงมือกะทันหัน
ความหยิ่งทระนงของจ้านอู๋มิ่ง ทำให้เขาโกรธเคือง เห็นได้ชัดว่าคนของตนมิใช่คู่ต่อสู้ของจ้านอู๋มิ่ง เขากลับ้าจะเห็นพลังของคนผู้นี้ ทันทีที่เขาลงมือก็รู้สึกถึงพลังความแข็งแกร่งของจ้านอู๋มิ่ง เทียบกับเขาแล้วมีแต่เหนือกว่า มิมีด้อยกว่า
จ้านอู๋มิ่งยืนตระหง่านเสมือนเสาค้ำฟ้า ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย หวานเหยียนจ้งกลับถอยหลังทันทีถึงห้าก้าว ภายใต้การโจมตีครั้งเดียว ตัดสินความแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยกว่าออกทันที แสดงให้เห็นชัดเจน ด้านพลังความแข็งแกร่งจ้านอู๋มิ่งเหนือกว่าหวานเหยียนจ้ง ทันทีที่หวานเหยียนจ้งถอย ราชันาของตระกูลชนชั้นสูงหวานเหยียนก็จู่โจมจ้านอู๋มิ่งพร้อมกัน
จ้านอู๋มิ่งหัวเราะเสียงต่ำคราหนึ่ง ไม่ร่วมต่อสู้พัวพันด้วย ถอนตัวล่าถอยกล่าวว่า “พี่ชายไม่สนใจจะเล่นกับพวกเ้าที่นี่ นั่นเป็การทำให้ผู้อื่นฉวยโอกาสไป เ้าลูกหมาป่าตัวน้อย ถ้าหากเ้าสนใจ นัดหมายกับราชันที่เหลืออีกหลายคนก็ไม่เป็ไร ให้ทุกคนมาต่อสู้กันให้สำราญใจสักครั้ง อย่าให้เหมือนเช่นวันนี้ที่ไม่รู้สึกเจ็บและคัน แม้แต่พลังแห่งชีพจรสายเืก็มิกล้าใช้!”
หวานเหยียนจ้งเหลือบมองไปยังทิศทางของสำนักบริบาลเดรัจฉานคราหนึ่ง วันนี้เขาไม่กล้าลงมือต่อสู้อย่างเต็มที่กับจ้านอู๋มิ่งจริงๆ กล่าวถึงที่สุดแล้วด้วยความหยิ่งผยองของกองทัพสัตว์อสูรของสำนักบริบาลเดรัจฉาน สามารถสังหารคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดของตระกูลชนชั้นสูงหวานเหยียนได้อย่างง่ายดาย การประมือกันเมื่อครู่นี้ทำให้เขารู้สึกว่า ในน่านน้ำมหาสมุทรคุนเผิงแห่งนี้ ้าจะเอาชนะจ้านอู๋มิ่งก็มิใช่เื่ง่ายเช่นกัน
ได้ยินจ้านอู๋มิ่งพูดเช่นนี้ หวานเหยียนจ้งพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ชีวิตของเ้า ข้าจะลงมือปลิดมันเอง!”
จ้านอู๋มิ่งยิ้มๆ มิกล่าววาจามากความอีกต่อไป ทะยานร่างตรงไปยังทิศทางของสำนักบริบาลเดรัจฉาน ยังคงต้องไปทักทายคนคลั่งเฒ่าสักคำ อย่างไรก็ตามคนคลั่งเฒ่าก็ยังคงปกป้องตนมากอย่างยิ่ง เขามาสถานที่แสนอันตรายนี้ด้วยตนเอง เข่นฆ่าจนดวงตาแดงก่ำดั่งเื อย่าได้ก่อกวนจนกลายเป็เื่เลวร้าย
……
จ้านอู๋มิ่งปรากฏตัวขึ้น สำนักบริบาลเดรัจฉานได้แผ่นป้ายศิลาแผ่นที่สองมาอย่างรวดเร็ว เลวี่ยเหวินซิวเข่นฆ่าจนดวงตาแดงฉานแล้ว ยัง้ามุ่งหน้าไปทางแผ่นป้ายศิลาแผ่นที่สาม กลับถูกจ้านอู๋มิ่งดึงตัวเอาไว้ก่อน
เลวี่ยเหวินซิวงวยงงอย่างยิ่ง ถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ศิษย์ผู้ประเสริฐ หรือว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือ?”
“ไปไกลเกินไปก็แย่พอๆ กับไปไม่ถึง ความพอดีสำคัญที่สุด อาจารย์ ท่านดูปลาเปลวเพลิงแกนปฐีนั่น เพราะจิตใจละโมบเกินไป ้าฮุบแผ่นป้ายศิลาทั้งหมดในคราวเดียว ในที่สุดประสบความสูญเสียอย่างหนัก สุดท้ายได้แผ่นป้ายศิลามาเพียงสองแผ่นต้องล่าถอยไปอย่างเศร้าสร้อยแล้ว ถึงแม้พลังของพวกเราแข็งแกร่ง แต่เปรียบกับปลาเปลวเพลิงแกนปฐีฝูงนั้นแล้ว ยังคงอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง ได้แผ่นป้ายศิลามาสองแผ่นก็มีคนอิจฉาแล้ว ถ้าพวกเราโลภมากขึ้นอีก จะปลุกเร้าความโกรธเคืองของผู้คนขึ้นอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น ถูกรวมกลุ่มโจมตีจะไม่เป็ผลดี หากอาจารย์้าแผ่นป้ายศิลามากยิ่งขึ้นจริงๆ ไยต้องออกหน้าในตอนนี้ด้วยเล่า?” จ้านอู๋มิ่งยิ้มเรียบๆ คราหนึ่ง
“เ้าหมายถึง?” เลวี่ยเหวินซิวเหมือนจะถูกลมหนาวพัดผ่าน อารมณ์เยือกเย็นลงในทันใด
“ที่นี่เป้าหมายใหญ่เกินไป ผู้ใดโดดเด่นมากที่สุด จะต้องถูกจดจำไว้อย่างแน่นอน ดังคำกล่าวที่ว่า ปกปิดความร่ำรวยมั่งคั่ง เงยหน้าขึ้นร้องบอกยากจน นั่นจึงจะเป็คนร่ำรวยที่แท้จริง! พวกเราถอยห่างอยู่ด้านข้าง ดูให้ชัดเจนว่าผู้ใดได้แผ่นป้ายศิลาที่เหลืออยู่ แล้วจดจำไว้ ข้าเชื่อมั่นว่าต่อให้สุดท้ายแผ่นป้ายศิลาล้วนถูกคนเอาไปหมดแล้ว ออกไปด้านนอกสถานพำนักคุนเผิง ยังต้องเกิดการต่อสู้นองเื คนที่ได้รับแผ่นป้ายศิลาในที่นี้ สุดท้ายไม่แน่ว่าจะสามารถรักษาแผ่นป้ายศิลาไว้ได้!” จ้านอู๋มิ่งยิ้มคราหนึ่งพูดเสียงเบา
“ศิษย์ประเสริฐ ปรากฏว่ายังคงเป็เ้าที่ฉลาด!” พลันเลวี่ยเหวินซิวยิ้มด้วยความปีติยินดี เข้าใจขึ้นมาทันใด เื่ราวกระหน่ำตี กระแทกด้วยกระบอง[2]เช่นนี้ ปรากฏว่าลูกศิษย์ยังคงมีประสบการณ์มากที่สุด ปกปิดความร่ำรวยมั่งคั่ง เงยหน้าขึ้นร้องบอกยากจน เป็คติพจน์วรรคทอง เป็ความจริงที่ถูกต้องและคำพูดที่เฉียบขาดที่สุด
“พวกเ้าต้องเรียนรู้เพิ่มเติมจากศิษย์น้องเล็กให้มากไว้ พวกโง่เขลาเบาปัญญาทั้งกลุ่ม มีคุณธรรมเดียวกันกับอาจารย์ของพวกเ้า!” เลวี่ยเหวินซิวชี้ไปที่บรรดาศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานรอบตัวและะโขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางภาคภูมิใจ
บรรดาศิษย์กลุ่มนั้นผงกศีรษะด้วยสีหน้าท่าทางแปลกๆ แม้แต่อาจารย์ก็ยังถูกเหมารวมด่าไปด้วยแล้ว ลูกศิษย์เหมือนอาจารย์ พวกเราและอาจารย์ของพวกเราล้วนโง่เขลา มีแค่ลูกศิษย์ของเ้าที่ฉลาด แล้วยังถือโอกาสเอ่ยชมเชยตัวเองครั้งหนึ่ง บรรดาศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานพบว่า ั้แ่อาจารย์อาเลวี่ยเหวินซิวรับจ้านอู๋มิ่งคนนี้เป็ลูกศิษย์แล้ว ระดับมาตรฐานการพูดจาพัฒนาขึ้นมากมาย ยังรู้จักการพูดจาเสียดสีด่าคนแล้วอีกด้วย
กลับถึงสำนักแล้วต้องบอกบรรดาอาจารย์เงียบๆ ต่อไปอย่าได้ไปล่วงเกินอาจารย์อา
“ไป พวกเราไปชมความครึกครื้นกัน เห็นคนที่ขัดหูขัดตาก็ถือโอกาสแย่งชิงเสียเลย พวกเ้าเด็กเหลือขอกลุ่มนี้ เมื่อครู่นี้ตอนที่สังหารคน พวกเ้าจำเื่ที่ต้องถอดแหวนจักรวาลของพวกเขาออกมาด้วยหรือไม่?” เลวี่ยเหวินซิวเชิดจมูกมองท้องฟ้ากล่าวขึ้น
ฝูงชนที่อยู่ด้านข้างพอได้ยิน “เฮ” วงแตกสลายตัวพร้อมกันทีเดียวจนหมดสิ้น ปรากฏว่ามีศิษย์เช่นนี้ก็ย่อมต้องมีอาจารย์แบบนี้จริงๆ ด้วย ฆ่าคนยังไม่ลืมแหวนจักรวาลบนมือของผู้อื่น ศิษย์ของสำนักบริบาลเดรัจฉานล้วนเป็คนเช่นไรนะ
ผู้คนอีกส่วนหนึ่งจึงได้เข้าใจ เมื่อครู่ตอนที่พวกเขาคิดจะจับปลาตอนน้ำขุ่น พบว่าสนามรบที่สำนักบริบาลเดรัจฉานเคยผ่านไป เหมือนเช่นสายลมของสารทฤดูพัดพาใบไม้ที่ร่วงหล่นก็ปาน เกลี้ยงเกลาสะอาดหมดจด อย่าว่าแต่แหวนจักรวาลบนซากศพเลย แม้แต่เหรียญทองสักเหรียญก็ไม่เหลือ ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธและเกราะของผู้ตายล้วนถูกถอดออกจนหมดเกลี้ยง นี่ไหนเลยจะมีลักษณะของสำนักนิกายอันเที่ยงแท้อีกเล่า นี่ก็คือกลุ่มโจรที่ยากจนและหิวโหยดีๆ นี่เอง
เลวี่ยเหวินซิวเห็นลูกศิษย์แต่ละคนพากันคนยิ้มอย่างเคอะเขิน มีบางคนยังค่อยๆ ซ่อนสิบนิ้วที่สวมแหวนไว้เข้าไปในแขนเสื้ออย่างเงียบๆ และระมัดระวัง เข้าใจแจ่มแจ้งในทันที พูดสนับสนุนขึ้นว่า “เป็คน จะต้องมิปล่อยให้สิ้นเปลือง เรียนรู้จากศิษย์น้องเล็กของพวกเ้าไว้ ข้าล้วนสนับสนุนพวกเ้า!”
จ้านอู๋มิ่งเกือบจะล้มลงเสียงดังตึง
“อาจารย์ อีกสักครู่เวลาที่พวกท่านผ่านประตูถ้ำคุนเผิงไป ให้บรรดาศิษย์พี่น้องทุกคนกระแทกประตูถ้ำคุนเผิงพร้อมกัน และให้กองทัพราชันสัตว์อสูรคอยปกป้องทุกคนไว้ให้อยู่ตรงกลาง ให้ดีที่สุดคือต้องปิดกั้นการมองเห็นของผู้อื่น” จ้านอู๋มิ่งพูดกระซิบที่ข้างหูเลวี่ยเหวินซิว
“ทำไมกัน ลูกศิษย์ผู้ประเสริฐ เ้ามีแผนการอะไรอีก? เมื่อครู่อาจารย์ไปทดลองดูแล้วไม่ได้ผล ถ้ำนี้อาถรรพ์ชั่วร้ายอย่างยิ่ง ห้ามมิให้คนเข้าไปเด็ดขาด” เลวี่ยเหวินซิวพูดอย่างอับจนปัญญา
“ข้าสามารถเข้าไปได้ แต่ข้าไม่้าให้ผู้อื่นทราบว่าข้าเข้าไปแล้ว ดังนั้น อีกสักครู่ เมื่อถึงเวลา พวกเ้าต้องปกปิดอำพรางให้ดี อย่าให้ผู้ใดทราบว่าข้าหายไป ขอเพียงให้กองทัพกองทัพราชันสัตว์อสูรล้อมพวกเราไว้ สมควรไม่มีผู้ใดพบว่าข้าหายไป” จ้านอู๋มิ่งพูด
“จริงหรือ ไม่มีปัญหา ดูแล้วคุนเผิงนี้ยังมองการณ์ไกลอยู่บ้าง มีเพียงคนอย่างลูกศิษย์ข้าแบบนี้เท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติที่จะเข้าไปได้” เลวี่ยเหวินซิวหัวเราะแล้ว ในใจไม่มีความอิจฉาเลยแม้แต่น้อย ถามเสียงเบาๆ ว่า “ศิษย์ประเสริฐ อนุภรรยาของเ้าคนนั้นเื่ราวเป็มาอย่างไร? กลับเป็องค์หญิงเจ็ดของแคว้นมหาจักรพรรดิบูรพา บิดาของนางเป็ถึงจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สูงสุด อย่าได้ก่อกวนจนผู้อื่นมาหาถึงประตูสำนักได้ หากรบกวนถึงท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่าก็ไม่สนุกแล้ว”
“ไม่มีอะไร นางบอกว่านางคืออนุภรรยาของข้า ข้าไม่ได้บีบบังคับเสียหน่อย หากบิดานางมาแล้ว อย่างเลวร้ายที่สุดข้าก็แค่ขอน้อมเข้าพบท่านพ่อตา พ่อตาเป็ถึงจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สูงสุด พิธีแรกพบหน้าจะไม่ทำให้ดีได้หรือ?” สีหน้าท่าทางจ้านอู๋มิ่งเหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนไปแล้ว กล่าวด้วยรอยยิ้มเ้าเล่ห์
เลวี่ยเหวินซิวรู้สึกใวูบ พูดไม่ออกแล้ว ศิษย์คนนี้ไร้เทียมทานแล้วจริงๆ เขาในฐานะอาจารย์ยังจะพูดอะไรได้อีก ช่วยตามล้างตามเช็ดให้ก็แล้วกัน
“บัดซบ เ้าถ้ำคุนเผิงผายลมสุนัขนี่ กลับยังไม่ยอมให้เข้าไปอีก เปิดออก เปิดออก คนของสำนักบริบาลเดรัจฉานข้ากลับไม่เชื่อเื่อาถรรพ์ชั่วร้ายนี้ มาลองดูอีกครั้ง หากยังไม่ยอมให้เข้าไปอีก ช่างหัวท่านยายมันเถิด ข้านายใหญ่ก็จะไม่เล่นกับเ้าแล้ว กลับไปนอนหลับพักผ่อน” เลวี่ยเหวินซิวะโโวยวาย มุ่งหน้าเบียดเข้าไปทางปากถ้ำคุนเผิง
[1] นิสัยแบบเดียวกันหรือเป็คนประเภทเดียวกัน
[2] การแย่งชิงสิ่งของ ทรัพย์สิน
