บทที่ 41 ละลาบละล้วง
เซียวไห่ยืนอยู่หน้าประตูรถ พวกเขามาถึงบ้านตระกูลเซียวได้สักพักแล้ว แต่เย่จื่อเฉินก็ยังนั่งอยู่ในรถไม่ยอมออกมาสักที
"เสี่ยวเย่ ลงมาเถอะน่า"
"พี่ทำแบบนี้มันเข้าข่ายลักพาตัวรู้ไหม?"
เย่จื่อเฉินทำหน้าหยิ่งผยอง บอกแล้วนะว่าไม่มาไม่มา แต่เซียวไห่กลับจับเขาโยนใส่รถมาที่นี่เลย
นี่คือสิ่งที่พึงกระทำที่มีต่อผู้มีพระคุณเหรอ?
เขาช่วยชีวิตคุณปู่ของเซียวไห่เอาไว้ได้นะ ไม่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพแล้วยังจะกระทำการหยาบคายกับเขาอีก
ต่อให้เป็ใครก็ต้องโมโหกันทั้งนั้น
"ฮ่าฮ่า ได้ยินว่าเสี่ยวเย่มาแล้ว"
เสียงใสดังอยู่นอกประตูรถ เซียวไห่หันไปมองแล้วก็มีสีหน้าใ
"คุณปู่ ออกมาทำไมครับ"
คุณเซียวมาแล้วเหรอ
เย่จื่อเฉินที่เอนกายอยู่บนรถอย่างกับคุณชายลุกขึ้นนั่ง เขาทำตัวอวดดีกับเซียวไห่ได้ เพราะพวกเขาทั้งคู่อยู่ในวัยเดียวกัน
แต่กับคุณปู่เซียวคนนี้เขาไม่กล้า
"สวัสดีครับคุณเซียว"
เย่จื่อเฉินยืนอยู่ต่อหน้าชายชราด้วยท่าทางนอบน้อมถ่อมตน คุณปู่เซียวหัวเราะร่าแล้วพูด
"นี่เสี่ยวเย่สินะ ไม่เลวเลย บุคคลผู้มีความสามารถ"
"คุณเซียวชมเกินไปแล้วครับ"
เย่จื่อเฉินทำความเคารพ
"ฮ่าฮ่า ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอก เธอช่วยชีวิตคนแก่อย่างฉันไว้ เธอก็คือผู้มีบุญคุณกับคนแก่อย่างฉันนะ" คุณปู่เซียวหัวเราะเสียงใส แล้วพูด "มาแล้วก็เข้าบ้านกันเถอะ"
สำหรับบ้านตระกูลเซียวนั้น เย่จื่อเฉินถือว่ามาเป็ครั้งที่สองแล้ว
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังแอบตะลึงกับความหรูหราของบ้านตระกูลเซียวอยู่ดี
คฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว พื้นที่เกือบจะมีขนาดใหญ่เท่ากับโซนพื้นที่ทั้งหมดตรงที่เขาซื้อบ้านเลย
เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นของบ้าน บนโต๊ะรับแขกในห้องนั่งเล่นมีกาน้ำชาหนึ่งใบวางอยู่พร้อมด้วยถ้วยชาสามถ้วย
"นั่งสิ"
คุณเซียวชี้ไปยังตำแหน่งบนโซฟา เป็เชิงบอกให้นั่งลง
"เสี่ยวเย่ บอกตามตรงนะว่าฉันขอบใจนายมากจริงๆ ทีแรกคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนเตียงคนป่วยเสียแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่า..."
ในน้ำเสียงของคุณเซียวเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เย่จื่อเฉินเพียงแค่ยิ้มตอบด้วยความประหม่า
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนแก่ที่มีอายุมากขนาดนี้ เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำตัวอย่างไร
เซียวไห่ที่ดูภูมิฐานเมื่ออยู่ข้างนอก ตอนนี้ก็นั่งอยู่ข้างเย่จื่อเฉินเหมือนกับเด็กที่เชื่อฟัง แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่กล้าพูดออกมา
ทันใดนั้น บรรยากาศในห้องนั่งเล่นก็เริ่มมีความกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย
"เสี่ยวเย่"
"ครับ" เย่จื่อเฉินยืดตัวตรงทันที
"ได้ยินอาไห่บอกว่าสิ่งที่เธอใช้ช่วยชีวิตฉันไว้คือยาที่เรียกว่ายาวิเศษเหรอ" ตอนที่คุณเซียวพูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมา
"ใช่ครับ" เย่จื่อเฉินพยักหน้า
"ไม่ทราบว่าบรรพบุรุษของเสี่ยวเย่เป็..." คุณเซียวพูดได้ครึ่งประโยคก็ส่ายหน้ายิ้ม "ขอโทษที ฉันถามมากไปแล้ว นี่เป็ความลับของเสี่ยวเย่ ฉันไม่มีสิทธิ์ไปละลาบละล้วง"
"เอ่อ ฮะ..." เย่จื่อเฉินฉีกยิ้มหัวเราะแห้งๆ เขารู้สึกชายชราคนนี้ไม่ได้หน้าซื่อตาใสเหมือนกับบุคลิกภายนอกที่เห็น
จะว่าไปแล้วมันก็ใช่ คนที่สามารถสร้างธุรกิจใหญ่โตขนาดนี้ได้จะเป็แค่คนธรรมดาได้ยังไง
"เสี่ยวเย่ ไม่ทราบว่าเธอยังมียาวิเศษอีกไหม?"
คุณเซียวเปิดปากพูดขึ้นอีกครั้ง เส้นประสาทของเย่จื่อเฉินตึงเครียดขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน
"อย่าคิดมาก ฉันก็แค่อยากขอยาให้เพื่อนของฉัน เขาก็พอๆ กับฉันนั่นแหละ อายุมากแล้วก็มีโรคเยอะ"
"คุณเซียวครับ ยกโทษให้ผมด้วยนะครับที่ผมไม่มีความสามารถทำอะไรได้"
เย่จื่อเฉินเผยรอยยิ้มจนปัญญาออกมา เขาไม่มียาวิเศษอยู่ในมือแล้วจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้โง่
เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้ได้กลิ่นบางอย่างที่ไม่ปกติ ถ้าหากเขาพูดอะไรโง่ๆ ออกไปก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
จากที่ผู้การหลิวเคยถามเขาแปลกๆ ว่าเขาใช่คนที่มาจากที่นั่นหรือเปล่า
ที่นั่นคือที่ไหน เขาก็ไม่รู้
ในเมื่อไม่รู้ก็แปลว่าอันตราย ทางที่ดีเขาไม่ไปแตะต้องจะดีกว่า
"ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ"
คุณเซียวส่ายหน้า ก่อนจะคลึงขมับพูด
"อาไห่ แกนั่งอยู่ที่นี่เป็เพื่อนเสี่ยวเย่นะ ฉันจะกลับไปพักที่ห้องก่อน แก่แล้วสภาพร่างกายก็ไม่ดี นั่งแป๊บเดียวก็จะไม่ไหวแล้ว"
"ปู่เดินดีๆ นะครับ"
เมื่อคุณเซียวเดินกลับห้องโดยได้มีผู้ดูแลประคองไปแล้ว เซียวไห่ถึงได้ยิ้มพร้อมกับพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
"เสี่ยวเย่ นายอย่าคิดมากนะ คุณปู่ของฉันท่านก็เป็แบบนี้แหละ ท่านอยู่ในแวดวงธุรกิจมานานก็เลยชอบอ่านใจคน แต่นายเชื่อได้เลยนะว่าท่านเป็คนจิตใจดี ไม่มีทางบังคับนายหรือว่าแอบสืบหาข้อมูลนายแน่นอน"
เซียวไห่อธิบายแทนคุณปู่เซียว เย่จื่อเฉินจึงพยักหน้ายิ้มแล้วพูด
"เข้าใจครับ"
"โอเค งั้นนายอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ ฉันจะไปบอกคนให้เตรียมอาหารเย็น"
"ครับ"
หลังจากที่เซียวไห่ออกไปแล้ว ทั้งห้องนั่งเล่นจึงเหลือเย่จื่อเฉินคนเดียว
และในตอนนี้เขาจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา
คุณเซียวชอบอ่านใจคน แล้วทำไมเซียวไห่ถึงจะไม่ชอบล่ะ
มันคือธุรกิจ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีจุดเด่นของนักธุรกิจ นั่นก็คือการอ่านใจคนอื่น
เย่จื่อเฉินคิดว่าต่อไปนี้ควรคบค้ากับนักธุรกิจให้น้อยลงหน่อยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นสักวันหนึ่งแชทกลุ่มเทพเซียนของเขาอาจจะโดนเปิดเผยได้
"อาไห่ แกคิดว่าเสี่ยวเย่เป็คนยังไง?"
ภายในห้องของคุณเซียว นี่ถ้าเย่จื่อเฉินรู้ว่าเซียวไห่ไม่ได้ไปเตรียมเื่อาหารเย็นแต่กลับไปที่ห้องของคุณเซียวแทน เขาจะต้องโกรธเป็ฟืนเป็ไฟแล้วสะบัดหน้ากลับไปทันทีเป็แน่
"คุณปู่ครับ เสี่ยวเย่เป็น้องชายคนหนึ่งของผม คุณปู่อย่าใช้สายตาแบบที่นักธุรกิจใช้มองศัตรูกับเขาได้ไหมครับ"
เซียวไห่รู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ชายชรากลับตบโต๊ะอย่างแรง
"โง่เง่า"
เซียวไห่ก้มหน้าทันที
"สิ่งที่เราใช้ในการทำธุรกิจก็คือการอ่านใจคน มันถึงเดินมาไกลได้ขนาดนี้ เด็กเย่จื่อเฉินคนนี้มีความลับ ถ้าฉันไม่รู้เบื้องลึกเื้ัของเขาให้แน่ชัดแล้วจะผูกมิตรกับเขาได้ยังไง อีกอย่างฉันว่าเสี่ยวเย่เองก็ไม่ได้จริงใจกับแกจริงๆ หรอก"
"คุณปู่ครับ คุณปู่จะเอาทัศนคติแบบเก่าของคุณปู่มาใช้กับเสี่ยวเย่ไม่ได้นะครับ เขาไม่เหมือนคนอื่น"
เซียวไห่คิดจะเอาเหตุผลเข้าแย้งต่อ แต่พอนึกถึงความดื้อรั้นของชายชรา เขาจึงยอมแพ้ไป
"ช่างมันเถอะครับ มื้อเย็นนี้ไม่ต้องมีก็ได้ ผมไม่อยากไปละลาบละล้วงว่าลึกๆ ในใจของเสี่ยวเย่นั้นคิดอะไรอยู่ แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วยว่าเขาจะจริงใจกับผมไหม อีกอย่างคุณปู่ไม่รู้สึกเลยเหรอครับว่าเสี่ยวเย่เหมือนเพื่อนเก่าคนหนึ่งของคุณปู่มาก?"
"ใคร"
"คุณตากู่"
สิ้นเสียงของเซียวไห่ ชายชราก็ตกอยู่ในความเงียบงันทันที
"ปู่ครับ ปู่คิดดูนะครับว่าเมื่อก่อนก็เพราะว่าปู่ชอบอ่านใจของคนอื่นแบบนี้แหละ สุดท้ายคุณตากู่ถึงได้จากไป ไม่ใช่เหรอครับ? "
"จองหอง!"
อ่อก!
ชายชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กระอักเืออกมาทันที ก่อนจะล้มลงกับพื้น
เย่จื่อเฉินนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นมานาน จึงพบว่าห้องนั่งเล่นนี้มันค่อนข้างน่ากลัว
เขาไม่กล้าแม้แต่จะยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู ใครจะไปรู้ว่าในบ้านหลังนี้จะมีกล้องวงจรปิดคอยจับภาพเขาอยู่หรือเปล่า
ตึกๆๆๆ
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นที่บันไดชั้นสองของบ้าน พอเย่จื่อเฉินเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเซียวไห่กำลังวิ่งมาทางเขาด้วยสีหน้าร้อนรน
เย่จื่อเฉินค่อนข้างงงเล็กน้อย
ั้แ่ที่เซียวไห่เดินออกไปก็ไม่เห็นเขาเข้ามาอีกเลย
แล้วทำไมถึงได้วิ่งลงมาจากชั้นสอง
"พี่ไห่ พี่จะไม่อธิบายให้ผมฟังหน่อยเหรอ?"
เย่จื่อเฉินมีสีหน้าเยือกเย็น เซียวไห่จับแขนของเขาไว้
"เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้นายฟังทีหลัง เสี่ยวเย่ ตอนนี้ไปช่วยคุณปู่ฉันก่อนเถอะ"