อาหารกลางวันและอาหารเย็นในวันนี้ ยังคงต้องไปกินกันที่บ้านของเสิ่นเฟิง เพราะยังต้องไปอยู่ช่วยงานมงคลกันอยู่
แต่กู้เจิงไม่ได้ไปด้วย เพราะนางต้องไปที่จวนตวนอ๋องแทน
แม้ว่าเื่ร้านนางจะเป็คนจัดการทุกอย่าง แต่อย่างไรก็ดีตวนอ๋องก็ยังเป็ผู้ที่อยู่เื้ัด้วย ดังนั้นสิ่งที่ควรให้เขาดูจึงควรให้ดู ยิ่งไปกว่านั้นเื่ตราประทับที่ป้องกันการปลอมแปลงก็ยังเป็สิ่งจำเป็เช่นกัน
กู้เจิงกางกระดาษที่นางวาดออกดูอีกครั้ง นอกจากโคมไฟจะมีรูปทรงแปลกตาไปบ้าง แต่ของที่เหลือนางล้วนผสมผสานศิลปะของยุคสมัยนี้เข้าไปกับสิ่งของเครื่องใช้ที่นางวาดขึ้น
“เอาตามนี้แหละ” กู้เจิงพูดกับตัวเอง
ชุนหงเดินเข้ามา “คุณหนู ท่านป้าเสิ่นกับพ่อเฒ่าเสิ่นออกไปบ้านเสิ่นเฟิงแล้ว พวกเราก็ควรไปจวนตวนอ๋องได้แล้วกระมังเ้าคะ?”
“งั้นก็ไปกันเถอะ” กู้เจิงตอบรับ
เื่ที่เกิดขึ้นระหว่างนางกับตวนอ๋องนั้นทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่คนที่รู้สึกคงจะมีเพียงนางกระมัง ตวนอ๋องผู้นั้นคงจำเหตุการณ์ในคืนนั้นไม่ได้แน่ ไม่รู้ว่าพ่อบ้านว่านจะเล่าเื่ที่เกิดขึ้นให้เขาฟังหรือไม่
“คุณหนู ท่านนั่งในรถม้าเถอะ ข้างนอกหนาวเ้าค่ะ” ชุนหงไม่ให้คุณหนูมานั่งข้างนอกเป็เพื่อนนาง
“ข้าจะดูหิมะ” กู้เจิงปฏิเสธ
“วันนี้หิมะตกหนักกว่าวันก่อนๆ อีกเ้าค่ะ” ชุนหงขับรถให้ช้าลง เพื่อจะให้คุณหนูได้ชมหิมะ
กู้เจิงเอนศีรษะพิงไหล่ชุนหง แม้หิมะตกจะหนัก แต่คนสัญจรบนท้องถนนกลับไม่ได้รับผลกระทบจากหิมะนี้เท่าไรนัก
เหล่าพ่อค้าเร่แผงลอยเอามือซุกไว้ในแขนเสื้อ แม้จะหนาว แต่ก็ยังอ้าปากะโขายของกันไม่หยุด
เมื่อเข้าไปในเขตของเมืองหลวง สิ่งปลูกสร้างโดยรอบก็ไม่ใช่บ้านชั้นเดียวอีกต่อไป บ้านเรือนอาคารมีการแกะสลักบนโครงสร้างไม้อย่างปราณีต ผู้คนบนท้องถนนสวมชุดผ้าไหมราคาแพง สตรีส่วนใหญ่ถือเตาอังมือเล็กๆ เดินจับจ่ายซื้อข้าวของ
กู้เจิงเห็นโรงน้ำชาอวิ๋นเซียงก็เงยหน้ามองโดยไม่ตั้งใจ นางพลันสบตากับเขาคนนั้นที่ได้พบกันในจวนตวนอ๋อง เขาผู้ที่มีแผ่นหลังคล้ายกับเสิ่นเยี่ยน
คนผู้นั้นก็มองเห็นกู้เจิงเช่นกัน แต่เขามองเพียงแวบเดียวก็หันหน้าไปคุยกับชายอีกคน ราวกับไม่ได้สนใจนาง
“คุณหนู มีอะไรหรือเ้าคะ?” ชุนหงเห็นคุณหนูทำตัวแปลกๆ จึงเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไร ข้าแค่เห็นคนที่โชคชะตาพานพบเจอแค่หนเดียว*” กู้เจิงจำเขาได้อย่างตราตรึง เพราะอย่างแรกคือแผ่นหลังของเขาคล้ายกับเสิ่นเยี่ยนมาก อย่างที่สองก็คือกลิ่นอายดุร้ายจากหน้าตาของชายคนนี้รุนแรงเหลือเกิน แต่นี่ก็อาจจะเป็เพราะอยู่ใน่กลางคืนด้วย อย่างน้อยตอนที่เห็นเมื่อครู่ นอกจากกลิ่นอายความน่าเกรงขามและเคร่งขรึมที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ ก็ไม่มีอะไรอื่นแล้ว
(*หมายถึง วาสนานำพามาให้พบเจอกันเพียงแค่ครั้งเดียว มาจากวรรณคดีจีน เื่ ความฝันในหอแดง)
เมื่อรถม้ามาถึงจวนตวนอ๋อง ชิวจื้อสาวใช้คนสนิทของกู้อิ๋งก็มารอพวกนางอยู่ที่หน้าประตูแล้ว น่าจะเป็เพราะเสิ่นเยี่ยนบอกคนของจวนอ๋องไว้ว่านางจะมา
“คุณหนูใหญ่” ชิวจื้อเข้ามาประคองกู้เจิงลงจากรถม้า
“พี่ชิวจื้อ” ชุนหงทักทาย
“พระชายากำลังคิดถึงคุณหนูใหญ่อยู่เลยเ้าค่ะ จึงให้บ่าวมารอคุณหนูอยู่หน้าประตู” ชิวจื้อประคองแขนกู้เจิงแล้วพูดยิ้มๆ
“น้องสามน่าจะคุ้นชินกับจวนอ๋องแล้วกระมัง?” กู้เจิงถาม
“ยังไงก็ต้องทำตัวให้เคยชินเ้าค่ะ คุณหนูสามบอกว่า หลังจากแต่งงานแล้วก็คิดถึงคนในครอบครัวนัก นางคิดถึงนายหญิง คิดถึงนายท่าน คิดถึงคุณหนูใหญ่ คุณชายรอง และคุณหนูสี่เ้าค่ะ”
ระหว่างที่คุย พวกนางก็เข้าไปในเรือนอิ๋งจวง กู้เจิงยิ้มพลางยกชายกระโปรงขึ้นแล้วเดินเข้าไปในตึกเล็ก นางเห็นกู้อิ๋งเดินสวนออกมา กู้อิ๋งแต่งกายในชุดหรูหราแม้จะดูไม่ต่างจากที่บ้านมากนัก แต่ก็มีข้อแตกต่างอยู่บ้าง ที่ตรงลวดลายดอกไม้ไม่ได้สดใสเหมือนชุดของสาวแรกแย้ม และแม้แต่ปิ่นปักผมก็ยังเลือกใช้อัญมณีทั่วไปที่สตรีออกเรือนมักจะใช้กัน
“พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงมาช้าจังเ้าคะ?” กู้อิ๋งถามขึ้น
“คารวะพระชายาตวนเพคะ” กู้เจิงทําความเคารพ
กู้อิ๋งรีบเข้าไปประคองนางขึ้นมา “ท่านเป็พี่ใหญ่ของข้า ไม่ต้องคารวะเช่นนี้หรอก”
“การคารวะนี้ไม่อาจละเว้นได้ ตอนนี้เ้าเป็พระชายาตวน ไม่ใช่คุณหนูสามแห่งจวนสกุลกู้อีกต่อไป เ้าจึงควรรับการคารวะนี้ไว้” กู้เจิงรู้สึกว่าถึงกู้อิ๋งจะเป็น้อง แต่ด้วยศักดิ์ของนางแล้วนางจำต้องให้ความเคารพ
แม่เฒ่าซุนที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายกู้อิ๋งก็เห็นด้วยกับคำพูดนี้ของกู้เจิงอยู่ในใจ
กู้อิ๋งพากู้เจิงไปเดินเล่นในสวน นี่เป็ครั้งแรกที่กู้เจิงได้เข้ามาในสวนของเรือนใน พอได้เห็นดอกไม้ใบหญ้าหลากหลายชนิดด้านใน นางก็เบิกบานใจ
“ก่อนหน้านี้ข้าคิดมาตลอดว่าจวนกู้ของเราเป็จวนที่สวยมากอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบกับจวนอ๋อง นับว่ายังห่างชั้นกันมาก” กู้เจิงเปรยขึ้น
กู้อิ๋งพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วเ้าค่ะ หลายวันมานี้ ข้าได้พบปะเครือญาติของตวนอ๋องมาไม่น้อย ถึงได้รู้ว่าเหล่าฮูหยินที่ข้าเคยคบหามาก่อนหน้านี้ก็ไม่นับว่าอะไรมาก”
สองพี่น้องยิ้มมองหน้ากัน
“น้องสามคงยุ่งอยู่กับการปรับตัวให้เข้ากับฐานะพระชายา แต่เ้าต้องอย่าให้ตัวเองเหนื่อยเกินไปล่ะ”
กู้อิ๋งพยักหน้ารับคำ
หลังจากพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก็มีหญิงรับใช้เข้ามารายงาน “ทูลพระชายา ท่านอ๋องกลับมาแล้ว ใต้เท้าเสิ่นก็อยู่ด้วย กำลังดื่มชาอยู่ในห้องโถงเล็กเพคะ”
ตอนที่กู้เจิงกับกู้อิ๋งมาถึงที่โถงเล็ก ก็เห็นตวนอ๋องกับเสิ่นเยี่ยนกำลังนั่งดื่มชากันอยู่ในชุดเฉาฝู
(*แปลว่า ชุดราชสำนัก เป็ชุดทางการแบบเต็มยศใช้ในพิธีการสำคัญ รองลงมาจะเป็ชุดจี๋ฝูที่จะมีคล่องตัวขึ้น)
ทั้งสองคนมีสีหน้าเคร่งขรึม กู้เจิงเคยเห็นเสิ่นเยี่ยนแต่งชุดเฉาฝูแล้ว แต่นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้เห็นชุดอ๋องเต็มยศของตวนอ๋อง ชุดตัวยาวคอกลมที่แสดงถึงฐานะและตำแหน่ง ทำให้ยิ่งดูห่างชั้นกับคนธรรมดาอย่างพวกนางมากขึ้นไปอีก
กู้เจิงย่อตัวคารวะ เสิ่นเยี่ยนก็โค้งคำนับให้กู้อิ๋งเช่นกัน
หลังจากทำความเคารพแล้ว กู้เจิงก็เอาม้วนกระดาษจากชุนหงมาวางลงบนโต๊ะ นางนั่งลงข้างๆ สามีและยิ้มให้เขาอย่างหวานชื่น หากเป็เมื่อก่อน นางคงไม่กล้านั่ง แต่ตอนนี้นางกับตวนอ๋องถือเป็ญาติกันแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะให้นางยืน
ตวนอ๋องปรายตามองความใกล้ชิดของสองสามีภรรยา เขาเม้มปากแน่น ก่อนจะกางกระดาษออกดู
พ่อบ้านว่านรีบเข้ามารินชา สายตาเขาจับจ้องไปที่ฮูหยินน้อยเสิ่นอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากรินชาเสร็จก็รีบถอนตัวออกไป ทุกคนทำท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เ้าวาดมันทั้งหมดเลยหรือ?” ตวนอ๋องถามขึ้นลอยๆ โดยไม่ได้มองกู้เจิง
“ใช่แล้วเพคะ ท่านอ๋องลองดูว่าชอบหรือไม่เพคะ?” กู้เจิงตอบตามปกติ
กู้อิ๋งที่อยู่ด้านข้างก็เห็นภาพวาด “ตำแหน่งการจัดวางโต๊ะและเก้าอี้ของพี่ใหญ่ใช้ประโยชน์จากหน้าร้าน ไม่ปล่อยพื้นที่ให้เสียเปล่า แต่โคมไฟนี้ดูแปลกตาไปหน่อย”
“หอสมุดนี้เป็หอหนังสือแห่งแรกในเมืองเยว่เฉิง ข้าจึงคิดทำโคมไฟให้ดูสะดุดตาผู้คน” กู้เจิงบอกเล่าถึงความตั้งใจของนาง
กู้อิ๋งพยักหน้า การที่พี่ใหญ่และพี่เขยใหญ่ช่วยเหลือท่านอ๋องเช่นนี้ นางรู้สึกดีใจมาก ในใจจึงยิ่งยอมรับพี่สาวคนนี้มากขึ้น
เสิ่นเยี่ยนวางถ้วยชาลง เขาถามตวนอ๋องเสียงเรียบว่า “ท่านอ๋องคิดอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
หลังจากกู้เจิงเข้ามา แม้เขาจะทำเป็ไม่สนใจนาง แต่ความจริงเขากลับมองนางทางหางตาอยู่ตลอด เมื่อนึกถึงเื่ในคืนนั้นที่พ่อบ้านว่านได้เล่าให้เขาฟัง ตวนอ๋องก็รู้สึกว่าช่างเหลวไหลทั้งเพ เขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะทำเป็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น?
“เปลี่ยนโคมไฟให้เป็แบบธรรมดาก็ดี สถานที่อ่านหนังสือ ไม่จำเป็ต้องสะดุดตามาก” ตวนอ๋องตอบอย่างเ็า
กู้เจิงแอบเบ้ปาก ก่อนจะฉีกยิ้มหวานแล้วกล่าวว่า “คนที่มาอ่านหนังสือล้วนเป็คนหนุ่มสาวทั้งนั้น ตกแต่งสถานที่ให้มีจุดเด่นหน่อยไม่ดีหรือเพคะ?”
“โคมไฟแปลกประหลาดเช่นนี้นับเป็จุดเด่นด้วยหรือ?” ตวนอ๋องหันมามองกู้เจิงด้วยดวงตาเ็า
“ในเมื่อมันแปลกประหลาด ก็ถือเป็จุดเด่นไม่ใช่หรือเพคะ?” กู้เจิงยิ้มตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เปิ่นหวังบอกแล้วว่า เปลี่ยนโคมไฟให้เป็แบบธรรมดาก็จะดี” ตวนอ๋องวางกระดาษลงบนโต๊ะ ถือเป็อันจบเื่โคมไฟ
กู้เจิงยิ้ม “ได้เพคะ” นางจะไม่โมโหเขาด้วยเื่เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ยังมีมุมอื่นอีกมากมายให้ตกแต่งเพิ่ม ไม่ใช่แค่โคมไฟ นางทำท่าเป็สัญญาณให้ชุนหงเก็บกระดาษกลับไป
กู้อิ๋งรู้สึกว่าท่านอ๋องมีท่าทีแปลกๆ อยู่บ้าง แต่นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
เสิ่นเยี่ยนคิดในใจว่าจะพาภรรยาไปดูบ้านที่สำนักราชเลขาจัดไว้ให้ดีหรือไม่ แต่คิดอีกทีก็เอาไว้วันหลังเถอะ วันนี้ที่สำนักราชเลขางานยุ่งมาก
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ เสิ่นเยี่ยนก็กลับไปทำงานต่อ
กู้เจิงนั่งคุยกับกู้อิ๋งอยู่ครู่หนึ่ง ก็ขอตัวกลับ
แม่เฒ่าซุนมาส่งนางที่หน้าประตูก่อนเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ต้องมานั่งพูดคุยในจวนอ๋องบ่อยๆ นะเ้าคะ คุณหนูสามเป็พระชายาแล้ว ไม่เหมือนตอนอยู่บ้านที่จะมีอิสระเหมือนเดิม นางไม่ได้ออกจากจวนไปได้ง่ายๆ และในจวนก็มีบ่าวรับใช้ของพวกเราแค่ไม่กี่คน ไม่มีคนที่สามารถคุยด้วยได้เ้าค่ะ” คุณหนูรองหนิงผู้เป็สหายสนิทที่สุดก็มาไม่ได้แล้วด้วย
“ข้าจะพยายามนะ น้องสี่น่าจะแวะมาเล่นบ่อยๆ กระมัง?”
“คุณหนูสี่ถูกนายหญิงสั่งห้ามไว้อีกแล้วเ้าค่ะ”
กู้เจิงประหลาดใจ “หรือว่านายหญิงทราบเื่ในวันแต่งงานแล้วอย่างนั้นหรือ?”
แม่เฒ่าซุนพยักหน้ารับ