ณ จวนเ้าเมือง
คำพูดของเยียนหลิงซานทำให้เกิดผลตรงกันข้ามอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกับถังจงเวยและถังเหล่ย
ถึงแม้พวกเขากับเยียนหลิงซานจะไม่เคยรู้จักกัน แต่เมื่อได้ยินจากคำบอกเล่าจากอวิ๋นเมิ่งกับการกระทำของเยียนหลิงซานในสองวันนี้ การที่เขาทาบทามถังเหล่ยเป็ศิษย์ต้องไม่ใช่เื่ดีแน่
ถังเหล่ยจึงหาเหตุผลบอกปัดไป เยียนหลิงซานก็ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้พวกเขาต่อ
ทุกคนต่างชมการแสดงร้องเพลงเต้นระบำไปด้วยดื่มสุราไปด้วย บรรยากาศดูไม่เลวเลย
แต่ทันใดนั้นเอง องครักษ์คนหนึ่งก็มากระซิบข้างหูเยว่มู่จือ หลังจากพูดสองสามประโยคแล้ว สีหน้าของเยว่มู่จือพลันเผือดสี
ถังจงเวยกับถังเหล่ยสบตากัน
“ท่านเ้าเมืองเยว่ เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ถังจงเวยถามขึ้นทันที เขากังวลเื่ตระกูลถังอยู่ตลอด แต่ไม่อาจปลีกตัวออกไปตรวจสอบตอนนี้ได้ เมื่อเขาเห็นสีหน้าขององครักษ์เมื่อครู่นี้ ก็เดาว่าต้องเกิดเื่ในเมืองอวิ๋นหลิวแน่
ขณะที่เยว่มู่จือกำลังจะพูด เยียนหลิงซานกลับพูดแทรกขึ้น
“ฮ่าๆๆ เมืองอวิ๋นหลิวมีข้าอยู่จะเกิดเื่อะไรขึ้นได้ เ้าเมืองเยว่มาดื่มสุรากัน!”
เยว่มู่จือที่กำลังจะอ้าปากก็ค่อยๆ หุบปากลง เมื่อเห็นสายตาดุร้ายจากเยียนหลิงซาน เขาก็ทำได้เพียงยกจอกสุราขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ทว่าถังจงเวยยามนี้จะมีอารมณ์มาดื่มสุราหรือ?
“ท่านเ้าเมืองเยว่ เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่? โปรดบอกข้าเถิด!”
ถังจงเวยถามอีกครั้ง ถังเหล่ยสังเกตเห็นสีหน้าของเยียนหลิงซานที่มืดมนขึ้นมา
“คืนนี้พวกเราสนแค่ดื่มสุราก็พอ เื่ด้านนอกไม่สำคัญหรอก ผู้นำถังจะกังวลเื่อะไรนักหนาเล่า?”
ทว่าถังจงเวยไม่ได้ตอบเยียนหลิงซานกลับ ไม่แม้กระทั่งมองอีกฝ่าย ดวงตาเขาจ้องไปที่เยว่มู่จือผู้เดียวเท่านั้น
ถังเหล่ยลอบโคจรปราณแท้พลังยุทธ์ในร่าง หลินเนี่ยนก็เตรียมตัวลงมือ
“ออกไปให้หมด ไม่ต้องเต้นแล้ว!”
เยว่มู่จือสั่งให้นางรำในตำหนักออกไปให้หมด
ยามนี้ทั้งตำหนักเหลือเพียงหกคน เสียงในห้องเงียบลงอย่างรวดเร็ว แต่ภายใต้ความเงียบนั้นกลับซ่อนคลื่นใต้น้ำที่รุนแรงเอาไว้
“เ้าเมืองเยว่ ในเมื่อท่านผู้นำถังอยากรู้ขนาดนั้น ทำไมท่านไม่บอกเขาไปเลย ข้าก็เริ่มสงสัยเหมือนกัน”
เยียนหลิงซานมองเยว่มู่จือด้วยรอยยิ้มจอมปลอม พร้อมแกว่งจอกสุราในมือเบาๆ
ในใจหลินอวี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างเยว่มู่จือกำลังร้อนรน คำพูดของเยียนหลิงซานเต็มไปด้วยการข่มขู่ อีกทั้งเยียนหลิงซานคือยอดฝีมือระดับยอดยุทธ์ ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าพวกเขาสองคนรวมกันก็ไม่ไหว
แต่มีเื่บางเื่ที่ไม่พูดไม่ได้!
“ตระกูลถังถูกตระกูลตงฟางกับตระกูลซินเข้าโจมตี ในจวนเกิดไฟลุกไหม้าเ็ล้มตายนับไม่ถ้วน!”
เยว่มู่จือเอาข่าวที่ได้รับจากลูกน้องเมื่อครู่บอกออกไป
ปัง!
ถังจงเวยลุกขึ้นตบโต๊ะ แม้จะรู้ว่าคืนนี้ตระกูลถังจะมีอันตราย แต่พอเกิดเื่เข้าจริง ก็ยากจะสงบใจได้ ถึงอย่างไรตระกูลถังก็คือสิ่งที่บรรพบุรุษทุ่มเทสร้างกันขึ้นมา ถ้ามันถูกทำลายในมือของเขาแล้ว เขาจะมีหน้าไปพบกับบรรพบุรุษได้อย่างไร!
“ตระกูลถังกำลังมีอันตราย พวกเราต้องไปเดี๋ยวนี้ ท่านทูตเยียน ท่านเ้าเมืองเยว่ พวกเราค่อยจัดงานเลี้ยงวันหลัง!”
ถังจงเวยหันหน้าเตรียมจากไป
ปัง!
ประตูของตำหนักจวนเ้าเมืองถูกปิดทันใด
“เหตุไฉนถึงต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วย? สุราในวันนี้ยังดื่มไม่หมดเลย!”
เสียงเกียจคร้านดังขึ้น
ใบหน้าของถังจงเวยฉายแววเดือดดาล
“ท่านทูตเยียน ท่านหมายความว่าอย่างไร!?”
ถังเหล่ยกับหลินเนี่ยนก็ลุกขึ้น ฉากหน้าของงานเลี้ยงครั้งนี้ถูกฉีกออก แผนการร้ายเื้ักำลังจะถูกเปิดเผย
“ไม่มีอะไร เพียงแค่คิดว่าที่ผู้นำถังรีบร้อนจากไปเช่นนี้ ไม่เป็การไม่ไว้หน้าผู้แซ่เยียนหรอกหรือ?”
“ไสหัวไปซะ!”
ถังจงเวยคร้านจะเถียงกับเยียนหลิงซาน ปราณแท้ิญญายุทธ์ทั่วร่างถูกรวบรวมเอาไว้ ดาบยาวหนึ่งจั้งปรากฏในมือของเขา
“คิดจะลงมือหรือ? ผู้นำถังข้าเตือนเ้าว่าเก็บิญญายุทธ์กลับไปดีกว่า จะได้ไม่ทำลายมิตรภาพระหว่างกัน!”
ถังจงเวยหาได้อยู่ในสายตาเยียนหลิงซานไม่ เขายังคงจิบสุราอยู่ช้าๆ
ถังจงเวยไม่สนใจมิตรภาพหรือเื่อะไรทั้งนั้น เขาเดินตรงๆ ไปทางประตู
ฟ่อ ฟ่อ...
แต่เพิ่งเดินได้สองก้าว งูหลามสีม่วงเขียวยาวสิบกว่าเมตรตัวหนึ่งพลันปรากฏตัวกลางอากาศ และพันรอบประตู มันแลบลิ้นมาทางถังจงเวย
“ไปตายซะ!”
ถังจงเวยกังวลเื่สถานการณ์ของตระกูลถัง ใครขวางทางเขา เขาไม่สนใจทั้งนั้น
ถังจงเวยฟันดาบในมือออกไปทางงูหลามั์ตัวนั้น
“ท่านปู่ระวัง!”
ถังเหล่ยรู้ความเก่งกาจของยอดฝีมือระดับยอดยุทธ์ดี ถึงแม้เยียนหลิงซานจะเป็ยอดยุทธ์ขั้นที่หนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่คนที่ถังจงเวยจะเทียบเคียงได้
งูหลามั์ที่กำลังมองถังจงเวยโจมตีตัวมัน ก็อ้าปากพ่นมีดสายลมหลายสายออกมา
ถังจงเวยไม่เคยสู้กับยอดฝีมือระดับยอดยุทธ์มาก่อน และไม่รู้ฝีมือของอีกฝ่ายด้วย เมื่อมีดสายลมกำลังจะโดนตัว มือข้างหนึ่งที่เร็วราวกับสายฟ้าก็ดึงถังจงเวยออกจากด้านหลัง มีดสายลมหลายสายเฉียดร่างถังจงเวยไปกระแทกเสาในตำหนักเป็รูลึกหลายรู
ขณะที่ถังเหล่ยเพิ่งดึงถังจงเวยออกมา เท้าที่ยังไม่ทันยืนได้มั่นคง ก็ััถึงอันตรายสายหนึ่งโจมตีมาจากด้านหลัง
เยียนหลิงซานพุ่งมาราวกับวิหคั์ตัวหนึ่ง เขาบินมาด้านหลังของถังเหล่ย และกำลังยื่นฝ่ามือออกไปจับที่คอของถังเหล่ย เขาคิดจะผนึกิญญายุทธ์ของถังเหล่ยก่อนจะดึงตัวออกไป
เยว่มู่จือใ คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์ในตำหนักจะกลายเป็เช่นนี้ เขาเป็ผู้ทรงยุทธ์ขั้นที่สาม ถึงอยากจะช่วยแค่ไหนก็ขวางเยียนหลิงซานไม่ได้
เมื่อเห็นฝ่ามือของเยียนหลิงซานกำลังจะจับคอของถังเหล่ย เสียงวิหคก็กู่ร้องดังกังวานขึ้น
เยียนหลิงซานใ เขาชักมือออก และลอยกลับไปด้านหลังทันที แล้วขนนกสีฟ้าหลายเส้นบินเฉียดตัวเขาไป
“ใครกัน!?”
เมื่อหยุดร่างกายลง เยียนหลิงซานมองสาวใช้ข้างกายถังเหล่ยด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
เขาที่ไม่ได้ให้ความสนใจเด็กสาวคนนี้มาตลอด กลับคิดไม่ถึงว่าเด็กสาวคนนี้จะเป็ถึงยอดฝีมือ แล้ววิหคั์สีฟ้าก็เกาะอยู่บนไหล่ของเด็กสาว และกลิ่นอายของเด็กสาวก็แผ่กระจายออกมา
ผู้ทรงยุทธ์ขั้นที่หก!
เยียนหลิงซานจ้องเด็กสาวคนนั้นเขม็ง ผู้ทรงยุทธ์ขั้นที่หกไม่นับเป็อะไรสำหรับเขาทั้งนั้น แต่ไยิญญายุทธ์ของเด็กสาวถึงมีสติปัญญาและต่อสู้เองได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ยอดฝีมือระดับยอดยุทธ์มีหรอกหรือ?
ยิ่งดูจากการโจมตีของเด็กสาวแล้ว ไม่เหมือนการโจมตีที่ผู้ทรงยุทธ์ขั้นที่หกสามารถทำได้แน่
“เ้าหมอนี่มันเลวจริงๆ คนอย่างเ้ายังเป็ทูตของจักรวรรดิอยู่หรือ? ถุ้ย!”
เมื่อครู่หลินเนี่ยนฟังทุกคนสนทนาอยู่ตลอด ซึ่งนางรู้สึกรำคาญเยียนหลิงซานเป็อย่างมาก
และเมื่อครู่ยอดยุทธ์อย่างเยียนหลิงซานยังกล้าลอบโจมตีผู้ชำนาญยุทธ์อย่างถังเหล่ยอีก หากเื่นี้กระจายออกไป ไม่รู้จะถูกใครหัวเราะเยาะบ้าง
“น่าสนใจ ยังไม่ถึงระดับยอดยุทธ์ ิญญายุทธ์ก็มีสติปัญญาแล้ว อีกทั้งยังเป็ิญญายุทธ์ระดับปฐี โชคของข้าดีจริงๆ เจออัจฉริยะสองคนในครั้งเดียว ไม่ถูกสิ ต้องบอกว่าเป็สมบัติสองชิ้น!”
เยียนหลิงซานมองประเมินเด็กสาวอย่างละเอียด แล้วเหยียดรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา
“เหอะ มาเจอกับข้า นับว่าเ้าโชคร้ายนัก แค่ิญญายุทธ์ระดับิญญาของเ้า คงไม่ใช่คู่มือของข้าหรอก!”
เมื่อหลินเนี่ยนถูกดวงตาของเยียนหลิงซานมองจนรู้สึกไม่สบายใจ จึงแผดเสียงโต้ตอบ
“ิญญายุทธ์ระดับิญญา ไม่ผิด แต่ไม่นานิญญายุทธ์ของข้าก็จะไม่ใช่ระดับิญญาแล้ว ถึงตอนนั้นข้าคงต้องขอบคุณพวกเ้า!”
เยียนหลิงซานหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง งูหลามั์บิดร่างกายพันรอบตัวเขา ร่างกายของมันขยายใหญ่อีกครั้ง ปากใหญ่ั์ของมันเผยให้เห็นลำคอที่ลึกราวกับหลุมไร้ก้นก็มิปาน
หลินเนี่ยนกลืนน้ำลาย ของสิ่งนี้ดูไปแล้วน่ากลัวยิ่งนัก