“เรียนคุณหนู เป็รถม้าของฉู่อ๋องเ้าค่ะ” โม่เยี่ยหูไวเป็พิเศษ จึงได้ยินเสียงโม่ฮว่าเหวินคุยกับผู้ที่อยู่บนรถไกลๆ นางรีบเข้ามาประคองโม่เสวี่ยถงที่ยังคงตื่นตระหนก แล้วกดเสียงต่ำกระซิบบอก
ฉู่อ๋อง? ฉู่อ๋องผู้อ่อนโยนสง่างามจะเร่งอาชาให้วิ่งทะยานในเมืองหลวงเยี่ยงนี้ได้อย่างไร โม่เสวี่ยถงจึงย้อนถามโดยไม่ตั้งใจ “ฟังผิดไปหรือเปล่า”
“คุณหนู บ่าวหูไวเป็ที่หนึ่งนะเ้าคะ จะฟังผิดได้อย่างไร โม่อวี้ เ้าอยู่หน้าสุดแอบยกม่านดูซิว่าใช่รถม้าของฉู่อ๋องหรือไม่” เมื่อได้ยินว่าโม่เสวี่ยถงรู้สึกแคลงใจ โม่เยี่ยจึงกล่าวกับโม่อวี้พลางชี้ไปนอกรถ
โม่อวี้แอบเลิกม่านดูนานแล้ว พอได้ยินโม่เยี่ยเอ่ยถึงก็ผงกศีรษะทันที แล้วกระซิบบอกเสียงเบา “คุณหนู บ่าวไม่ได้ยินว่านายท่านคุยสิ่งใดกับพวกเขา แต่บ่าวเห็นรถม้าคันนั้นมีตราสัญลักษณ์ของจวนฉู่อ๋องเ้าค่ะ” หลังกล่าวจบ โม่อวี้ก็หันศีรษะกลับไปแล้วเอ่ยถามอย่างนึกฉงน “ได้ยินว่าฉู่อ๋องทรงสุภาพอ่อนโยน ไฉนจึงปล่อยให้ข้ารับใช้บังคับรถอย่างชะล่าใจในเมืองหลวงเยี่ยงนี้เล่า”
ในบรรดาองค์ชายสามพระองค์ เฟิงเจวี๋ยเสวียนมีชื่อเสียงดีงามที่สุด เคารพยกย่องนักปราชญ์ สุภาพอ่อนโยน แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินว่าเขาจะเคยทำสิ่งใดผิดธรรมเนียมอันดีงาม แล้วไฉนวันนี้จึงบึ่งอาชาอย่างโอหัง ทั้งที่ก็ใกล้ถึงวังหลวงแล้วเยี่ยงนี้ ไม่กลัวว่าจะถูกขุนนางฝ่ายตรวจการตรวจสอบพฤติกรรมหรืออย่างไร
“ถงเอ๋อร์ รถม้าของเราพังเสียหายแล้ว เ้าพาสาวใช้ลงมาก่อนเถิด เดี๋ยวในจวนจะส่งรถม้าคันอื่นมารับเ้าเข้าวัง” น้ำเสียงอ่อนโยนของโม่ฮว่าเหวินลอยมาจากหน้าประตู
แม้น้ำเสียงจะฟังดูสุภาพ แต่โม่เสวี่ยถงก็ฟังรู้ว่าเขารู้สึกไม่พอใจอยู่หลายส่วน ออกจากบ้านมากำลังจะไปงานเลี้ยง กลับต้องเจอเื่ร้าย เป็ใครก็ย่อมรู้สึกขุ่นเคืองทั้งสิ้น
“เ้าค่ะ ท่านพ่อ” โม่เสวี่ยถงลุกขึ้นอย่างไม่ลังเลด้วยการประคับประคองของโม่เยี่ย แล้วรับหมวกเหวยเม่าจากโม่อวี้มาสวม ก่อนจับมือนางไว้อีกด้านหนึ่ง
เมื่อลงมาจากรถแล้ว พวกนางจึงพบว่าล้อรถถูกกระแทกจนบิดเบี้ยว มีบางส่วนที่เสียหายจนไม่สามารถวิ่งไปต่อได้อีก โม่ฮว่าเหวินยืนอยู่หน้ารถ เมื่อเห็นนางลงมาแล้วก็พาไปยืนอีกด้านหนึ่ง โม่อวี่เฟิงกำลังยืนคุยอยู่กับฉู่อ๋องซึ่งสวมอาภรณ์คอกลมปักดิ้นทองลายเมฆาสีน้ำเงินเข้มอยู่อีกด้านหนึ่ง
เฟิงเจวี๋ยเสวียนยืนอกผายไหล่ผึ่งใบหน้าอาบด้วยรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยน ฟังโม่อวี่เฟิงพูดคุยแล้วผงกศีรษะรับเป็ครั้งคราว ทว่าสายตากลับทอดตามโม่ฮว่าเหวินไปยังร่างเล็กของดรุณีน้อยที่อยู่ด้านหลัง นางสวมหมวกเหวยเม่าที่มีตาข่ายคลุมยาวจนมองเห็นหน้าไม่ชัด มีเพียงอาภรณ์ไหมสีเขียวอ่อนที่ลอดออกมาให้เห็นอยู่รางๆ ที่ชายกระโปรงปักลายใบบัวซ้อนกันเป็ชั้นๆ ยามที่ขยับร่างบางยิ่งดูอรชรอ้อนแอ้น ใบบัวคล้ายกำลังลอยละล่องตามจังหวะการเดินของนาง
“กราบทูลฉู่อ๋อง นี่คือธิดาน้อยของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเดินมาถึงหน้าเฟิงเจวี๋ยเสวียน โม่ฮวาเหวินก็ขยับไปด้านซ้ายทำให้ขวางอยู่ด้านหน้าของโม่เสวี่ยถงพอดี เขากล่าวแนะนำแล้วหันกลับมาพูดกับบุตรสาว “ถงเอ๋อร์ นี่คือฉู่อ๋อง”
“ถวายบังคมฉู๋อ๋องเพคะ” โม่เสวี่ยถงยอบกายคารวะอย่างแช่มช้อย
“คุณหนูสามของจวนโม่หรือ? ได้ยินมานานแล้วว่าคุณหนูสามเป็สตรีมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด งามสง่ามีมารยาท วันนี้ได้พบสมคำร่ำลือจริงๆ เปิ่นหวางต้องขออภัยแทนบ่าวที่ไม่ควบคุมม้าให้ดี แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าม้าเกิดคุ้มคลั่งแตกตื่นเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ทำให้รถของคุณหนูถูกชนได้รับความเสียหาย เป็ความผิดของเปิ่นหวางแท้ๆ” ใบหน้าของเฟิงเจวี๋ยเสวียนทอยิ้มละมุนละไม อธิบายต่อนางอย่างมีมารยาท
“หม่อมฉันมิกล้ารับคำขอโทษจากท่านอ๋องหรอกเพคะ นี่เป็อุบัติเหตุเหนือความคาดหมาย จะโทษว่าเป็ความผิดของพระองค์ได้อย่างไร” โม่เสวี่ยถงรับรู้ได้ถึงสายตาสืบเสาะค้นหาของเฟิงเจวี๋ยเสวียน จึงหยัดกายตรงอาศัยเงาหลังของโม่ฮว่าเหวินบังกาย เอ่ยวาจาที่เปี่ยมไปด้วยความเกรงใจ
“น้องหญิงสาม จักรพรรดิทรงมีพระบัญชา ท่านพ่อต้องรีบเข้าวัง ฉู่อ๋องทรงออกพระโอษฐ์ขออภัยต่อพวกเราแล้ว และยังทรงอนุญาตให้เ้าอาศัยรถม้าเข้าวังไปพร้อมกับพระองค์อีกด้วย ยังไม่ขอบพระทัยในพระกรุณาอีกหรือ” โม่อวี่เฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างเดินเข้ามาอย่างลำพองใจ กล่าวกับโม่เสวี่ยถงอย่างไม่เกรงใจ
เขาคิดว่าตนเองเป็นายของจวนโม่ในอนาคตไปแล้วหรือไร พูดจาไม่รู้จักคิด ชาติที่แล้วโม่อวี่เฟิงยังนับว่าเฉลียวฉลาดอยู่บ้าง ไม่ทำเื่โง่งม หรือว่าเพราะไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกันมาก บัดนี้จึงเพิ่งพบว่าพี่ชายคนโตผู้นี้เป็พูดจาไม่เข้าเื่ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เขามีเจตนาจะกล่าววาจาเยี่ยงนั้นหรือไม่
นั่งรถม้าของฉู่อ๋องเข้าวังไปด้วยกัน? เขาช่างกล้าพูด ไม่คิดบ้างหรือว่าชายหญิงจะนั่งรถไปด้วยกันเพียงลำพังได้อย่างไร มิหนำซ้ำยังให้นางขอบคุณเฟิงเจวี๋ยเสวียนอีกด้วย พูดไม่คิด
“ขอบพระทัยในพระกรุณาเพคะ แต่รถม้าในจวนอีกประเดี๋ยวก็คงมาถึงแล้ว หม่อมฉันมิกล้าประวิงเวลาของท่านอ๋อง” นางหลุบตาลงซ่อนประกายเย็นเยียบไว้ในส่วนลึก แล้วมุ่นคิ้วหันไปกล่าวกับโม่ฮว่าเหวินด้วยสีหน้าลำบากใจ “ท่านพ่อมิต้องกังวล ถงเอ๋อร์กับพี่ชายใหญ่จะรอรถม้าของจวนเราอยู่ที่นี่ ท่านพ่อล่วงหน้าเข้าวังไปก่อนเถิดเ้าค่ะ”
แม้ว่าโม่อวี่เฟิงจะน่ารังเกียจแค่ไหน ไม่ว่าอย่างไรยามนี้ก็ต้องให้เขาอยู่ด้วยจะได้ไม่เกิดข่าวลือที่ไม่น่าฟัง
“รอได้อย่างไร งานเลี้ยงจะเริ่มอยู่แล้ว หากไปสายไม่เพียงแต่เป็การเสียมารยาท ยังมีโทษลบหลู่เบื้องสูง น้องหญิงสามอย่าปฏิเสธความหวังดีของฉู่อ๋องจะดีกว่า” โม่อวี่เฟิงเห็นโม่เสวี่ยถงไม่คิดจะตามไป ซ้ำร้ายยังรั้งตนเองให้อยู่ด้วย จึงชิงกล่าวตัดหน้าด้วยอารมณ์หงุดหงิด
แต่คำพูดนี้นับว่ามีเหตุผล งานเลี้ยงที่จัดขึ้นในวังแตกต่างจากงานเลี้ยงทั่วไป มิใช่แค่เอ่ยคำขอโทษก็จบ พูดให้หนักคือเป็การลบหลู่เกียรติยศของราชวงศ์ หรือพูดให้เบาหน่อยก็คือไม่เห็นความสำคัญของงานเลี้ยงในวังหลวง แล้วใครเล่าจะกล้าทำเื่แบบนี้ สีหน้าของโม่เสวี่ยถงเผยความลำบากใจในพริบตา หันไปมองโม่ฮว่าเหวินอย่างจนหนทาง
โม่ฮว่าเหวินเริ่มลังเลใจเล็กน้อย
“คุณหนูสามไม่ต้องลำบากใจ อีกสักครู่เ้าขึ้นไปนั่งบนรถม้าเถิด เปิ่นหวางจะขี่ม้าไปพร้อมกับคุณชายใหญ่ รถของคุณหนูสามถูกชนจนเสียหาย แล้วจะให้รับความไม่ยุติธรรมอีกได้อย่างไรเล่า” เฟิงเจวี๋ยเสวียนกล่าวอย่างสุภาพ ริมฝีปากผลิยิ้มอ่อนโยน ดวงตากระจ่างสดใส มองไม่เห็นว่ามีแผนร้ายแอบแฝงแม้แต่น้อย ทั้งยังแสดงความใจกว้างอย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันก็ช่วยไม่ให้โม่เสวี่ยถงต้องวางตัวลำบาก
ชายหญิงอยู่ด้วยกันเพียงลำพังเป็การผิดประเพณีไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แต่การตัดสินใจเลี่ยงไปขี่ม้าของเฟิงเจวี๋ยเสวียนก็ช่วยคลี่คลายปัญหาทั้งหมดได้อย่างแท้จริง มิน่าเล่าชื่อเสียงภายนอกของเขาจึงดีงามนัก ดูจากสีหน้ายิ้มแย้มผ่อนคลายของบิดายามนี้ก็รู้ได้ กล่าวมาถึงขนาดนี้หากนางยังไม่รับปากก็ดูจะไร้เหตุผลเกินไป
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” ครานี้โม่เสวี่ยถงยอบกายกล่าวขอบคุณด้วยน้ำใสใจจริง
นี่คือวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่นางยังคิดไม่ออกถึงสาเหตุที่รถม้าของฉู่อ๋องเกิดแตกตื่นบนถนนในเมืองหลวง
เพียงแต่การให้พวกเขายืมรถม้าเป็วิสัยที่ฉู่อ๋องผู้มีชื่อเสียงดีงามไม่น่าจะทำได้ เื่นี้จะต้องมีเื้ัเป็แน่ หากเข้าวังไปแล้วเกิดเหตุบางประการที่แม้แต่ฉู่อ๋องก็ไม่อาจยื่นมือเข้ามาจัดการได้ตามพระทัย...
นางเงยหน้าขึ้นฉับพลันท่าทางตะลึงพรึงเพริด จากนั้นก็ยิ้มเย็น ไม่คิดว่าเื่บางเื่จะเตรียมออกโรงเร็วถึงเพียงนี้
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ไฉนจึงมาอยู่ที่นี่เล่า นั่นน้องหญิงสามมิใช่หรือ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” น้ำเสียงอ่อนหวานไม่สูงไม่ต่ำอุทานขึ้นอย่างประหลาดใจ สมกับเป็คำถามของสตรีที่ได้รับการอบรมมาเป็อย่างดีเมื่อรู้สึกใ รถม้าคันไม่ใหญ่มากหยุดอยู่ด้านข้าง โม่ซิ่วประคองโม่เสวี่ยิ่ค่อยๆ ลงมาจากรถ
ใบหน้างามลออมีรอยยิ้มฉาบฉาย ปล่อยมือจากโม่ซิ่ว แล้วก้าวเข้ามาคารวะโม่ฮว่าเหวิน
“ิ่เอ๋อร์เ้ากำลังจะไปไหน” โม่ฮว่าเหวินขมวดคิ้ว วางสีหน้าเคร่งขรึมกับบุตรสาวคนโต ถูกกักบริเวณอยู่ชัดๆ เหตุใดจึงแล่นออกมาข้างนอกได้ แต่ต่อหน้าผู้อื่นบางคำพูดไม่อาจแสดงออกมา
“ท่านพ่อ ิ่เอ๋อร์ได้ยินมาว่าท่านพ่อไออย่างหนักในห้องหนังสือมาสองวันแล้ว กินยาก็ไม่เห็นผล หากเป็เช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะเป็ผลร้ายต่อปอด นึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นที่บ้านสกุลอวี้มียาเม็ดแก้ไอ ‘ไป่ไฮ่’ ที่ได้ผลชะงัดนัก จึงคิดจะไปขอมาสักหนึ่งเม็ด คืนนี้ค่อยละลายน้ำแล้วนำมาให้ท่านพ่อเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยิ่ยิ้มละมุน ทำเหมือนไม่เห็นสีหน้าบึ้งตึงของโม่ฮว่าเหวิน
บัดนี้ล่วงเข้ายามสนธยา บนท้องถนนเริ่มจุดโคมสว่างไสว สะท้อนให้เห็นเสื้อผ้าสีพื้นสะอาดตาที่นางสวม ปรกติโม่เสวี่ยิ่จะแต่งตัวงดงามหรูหรา ไหนเลยจะดูสมถะเรียบง่ายเช่นนี้ โม่เสวี่ยถงกวาดตามองปราดหนึ่ง เห็นหัวคิ้วของนางมุ่นขมวดเล็กน้อย ใบหน้าแต่งแต้มเพียงบางๆ แม้ใบหน้าจะดูกระจ่างใส แต่ก็ทำให้คนอดรู้สึกสงสารมิได้
บุตรสาวที่มักปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอย่างสง่างามมาโดยตลอด บัดนี้กลับเหลือเพียงความเรียบง่าย แววตายังมีความทุกข์ระทมอย่างปิดไม่มิด เห็นได้ชัดว่ากำลังลำบากแต่ยังฝืนยิ้ม แล้วจะไม่ให้ผู้เป็บิดารู้สึกสงสารได้อย่างไร นอกจากนี้คำพูดของนางยังเผยให้เห็นความห่วงใยอยู่หลายส่วน สีหน้าของโม่ฮว่าเหวินจึงค่อยอ่อนลง
“ท่านพ่อ ถึงอย่างไรรถของิ่เอ๋อร์ก็มาแล้ว ให้ิ่เอ๋อร์ไปส่งน้องหญิงสามเถิด จะได้ไม่เป็การรบกวนฉู่อ๋อง อีกประเดี๋ยวท่านอ๋องยังต้องไปถวายบังคมจักรพรรดิ หากสละรถม้าให้กับน้องหญิงสามเกรงว่าจะไม่เหมาะสม” โม่เสวี่ยิ่หันมาพูดกับโม่ฮว่าเหวิน
“คารวะฉู่อ๋องก่อน” โม่ฮว่าเหวินยังไม่ตอบรับ แต่กลับบอกนางเสียงเรียบ
“ถวายบังคมฉู่อ๋อง” โม่เสวี่ยิ่ทำทีเหมือนเพิ่งเห็นเฟิงเจวี๋ยเสวียนที่ยืนสง่าอยู่ด้านข้าง จึงยอบกายถวายคำนับอย่างอ่อนน้อม ดวงตางดงามพราวระยับทอดมองไปที่เฟิงเจวี๋ยเสวียนอย่างเจียมตัวแฝงไปด้วยความเก้อเขิน
โม่เสวี่ยถงอดเลื่อมใสในฝีไม้ลายมือการแสดงละครของพี่สาวผู้นี้ไม่ได้ เกิดเื่ราวใหญ่โตในวังหลวงถึงเพียงนั้น ทั้งยังเกี่ยวข้องกับฉู่อ๋อง แต่ทำท่าราวกับสตรีในห้องหอที่เพิ่งเคยพบฉู่อ๋องเป็ครั้งแรก ต้องจอมปลอมอย่างถึงที่สุดจริงๆ จึงจะสามารถแสดงบทบาทนี้ออกมาได้
“ไม่ต้องมากพิธี ท่านนี้คือธิดาคนโตของใต้เท้าโม่กระมัง สมควรแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็สตรีผู้ทรงภูมิผู้งดงามอ่อนโยน ครานี้คงจะเป็หน้าเป็ตาให้ใต้เท้าโม่ได้เฉิดฉายในงานเลี้ยงวังหลังค่ำคืนนี้ เอาเถิด เปิ่นหวางยังมีธุระสำคัญ วันหน้าค่อยไปแสดงความขอโทษที่จวนโม่ด้วยตนเองอีกครั้ง เชิญคุณหนูทั้งสองไปร่วมงานเลี้ยงด้วยกันตามสบาย แม้ว่ารถม้าจะเล็กไปสักหน่อย แต่คุณหนูทั้งสองไม่ต้องใส่ใจนัก”
เฟิงเจวี๋ยเสวียนมิได้เอ่ยถึงเื่ที่โม่เสวี่ยิ่สร้างปัญหาให้เขาเมื่อคราที่แล้วแม้แต่น้อย ทำราวกับพบเจอคุณหนูสกุลโม่ทั้งสองพี่น้องเป็ครั้งแรก ทั้งยังเชื้อเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงอย่างมีมารยาท ฉู่อ๋องผู้นี้ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
คำพูดประโยคหลังเฟิงเจวี๋ยเสวียนกล่าวกับโม่ฮว่าเหวิน กล่าวจบก็ไม่รอให้เขาตอบรับแต่อย่างใด ยกมือขึ้นโบก ขันทีที่อยู่ด้านหลังก็รีบเดินเข้ามาอย่างรู้งาน
“ข้างหน้าไม่ไกลจากที่นี่มีทั้งห้องเสื้อและร้านเครื่องประดับที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง คุณหนูใหญ่กับคุณหนูสามแต่งกายเรียบง่ายไปหน่อย เชิญคุณหนูทั้งสองไปที่นั่นเลือกเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับสักสองสามชุดได้ตามสบาย ถือว่าเป็ของขวัญที่เปิ่นหวางมอบให้ เดี๋ยวเ้าพาคุณหนูทั้งสองไปที่นั่น” เฟิงเจวี๋ยเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านอ๋อง ความจริงพวกเราก็มิได้เสียหายมากมายนัก...” โม่ฮว่าเหวินคิ้วขมวด พยายามปฏิเสธ
“ใต้เท้าโม่ หากยังปฏิเสธอีกก็แสดงว่าดูิ่น้ำใจของเปิ่นหวาง ครานี้ด้วยมีธุระเร่งร้อนจริงๆ จึงให้คนพาไปแทน อย่างไรก็รับไว้สักสองสามชิ้น เปิ่นหวางจะได้ไม่ถูกเสด็จพ่อตำหนิได้ ควบม้าทะยานในเมืองหลวงเช่นนี้ต้องทรงไม่ละเว้นเปิ่นหวางแน่” เฟิงเจวี๋ยเสวียนขึ้นไปนั่งบนหลังอาชางามสง่าที่ข้ารับใช้จูงมาให้ ประสานมือยิ้มกล่าวกับโม่ฮว่าเหวิน แล้วบังคับม้าพาคนของตนเองจากไป
ขันทีท่าทางคล่องแคล่วที่ยังรั้งอยู่ เดินเข้ามาหาโม่ฮว่าเหวิน ผายมือกล่าว “ใต้เท้าโม่...”
ความหมายบ่งบอกว่าหากยังไม่ไปก็จะเป็การดูิ่พระเกียรติของฉู่อ๋อง มาถึงขั้นนี้แล้วหากโม่ฮว่าเหวินยังดื้อดึงก็ดูจะไร้เหตุผล เขามองบุตรสาวคนโตอย่างจนใจ เห็นนางยังคงยิ้มกว้าง ไม่มีแง่งอน ไม่มีสีหน้าไม่พอใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่างานเลี้ยงในคืนนี้ไม่มีที่สำหรับนาง
“ท่านพ่อ ิ่เอ๋อร์นำรถมาให้น้องสามแล้ว ประเดี๋ยวจะเลยไปเอายาที่บ้านสกุลอวี้ คิดว่ารอทางโน้นเรียกรถม้ามาให้แล้วค่อยกลับก็ได้ เพราะอย่างไรก็มิได้รีบร้อน คืนนี้กว่าท่านพ่อจะกลับก็คงดึกมาก ถึงเวลาิ่เอ๋อร์จะนำยาไปละลายน้ำให้ดื่มนะเ้าคะ”
โม่เสวี่ยิ่เห็นโม่ฮว่าเหวินมีสีหน้าลำบากใจก็รีบเอ่ยปาก เผยรอยยิ้มกลบเกลื่อนอารมณ์บนใบหน้า ทว่าดวงตากระจ่างใสแฝงแววหม่นหมอง ทั้งดูน่าสงสารและระทมทุกข์
“เฟิงเอ๋อร์ เ้าตามน้องสาวของเ้าทั้งสองคนไปร้านเสื้อผ้า เลือกอาภรณ์มาหนึ่งชุดให้ิ่เอ๋อร์ผลัดเปลี่ยน ส่วนเครื่องประดับเลือกมาสองชุด แล้วค่อยพาพวกนางเข้าวังไปด้วยกัน พ่อต้องรีบล่วงหน้าไปเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลต่อฝ่าาก่อน รถของิ่เอ๋อร์แม้จะเล็กไปหน่อย แต่ก็ยังใช้เดินทางได้อยู่”
โม่ฮว่าเหวินมองสีหน้าบุตรทั้งสามแล้วก็ทอดถอนใจอยู่ลับๆ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาล้วนเป็บุตรธิดา ตนเองย่อมปรารถนาให้พี่น้องรักใคร่กลมเกลียว ไม่ว่าฟางอี๋เหนียงจะเลวร้ายเพียงใด แต่บุตรสองคนที่นางคลอดออกมาเขาต้องใส่ใจ
“ท่านพ่อ ท่านหมายความว่าิ่เอ๋อร์...” โม่เสวี่ยิ่ช้อนตามองด้วยความประหลาดใจ น้ำตาแห่งความยินดีคลอหน่วยเป็ประกายวับวาวภายใต้แสงโคม