บทที่ 165 ซิวหลัวหน้าผี
ในห้องโถงส่องแสงสว่างไสว แม้แต่โต๊ะและเก้าอี้ไม้อันล้ำค่าก็ยังสะอาดเหมือนใหม่ เป็ประกายเงางาม
ฉู่อวิ๋นมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะเบือนสายตากลับมาแล้วพูดโดยไม่ต้องคิดว่า “เ้าไม่ใช่เ้าหน้าผีนั่นหรอกหรือ? คิดว่าถอดหน้ากากแล้วข้าจะจำไม่ได้หรือไง?”
ได้ยินเช่นนี้ ซิวหลัวหน้าผีก็หัวเราะอย่างเปิดเผย เดินเข้ามาแล้วพูดว่า “นี่ ใครชื่อเ้าหน้าผีกัน!? เด็กไม่น้อย อย่ามาซี้ซั้วตั้งชื่อให้คนอื่นสิ”
แม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะสูงกว่าฉู่อวิ๋นอยู่ครึ่งศีรษะ แต่จริงๆ แล้วทั้งคู่มีส่วนสูงใกล้เคียงกัน แต่เพราะซิวหลัวหน้าผีภูมิใจตัวเองมากจนแม้แต่ตอนเดินยังต้องพกลมไปด้วย[1] ร่างกายที่ตั้งตรงของเขาจึงดูสูงขึ้น
ในเวลานี้ เขาดูอยากรู้อยากเห็น จ้องมองที่จุดตันเถียนของฉู่อวิ๋นอีกครั้ง และพูดอย่างจริงจัง “นี่ เด็กไม่น้อย ในเมื่อเ้าหาบรรพบุรุษของข้าพบ และดูเหมือนจะสนิทกับเขาดีไม่น้อย เช่นนั้นจากนี้ไปเราจะเป็สหายกัน”
“ถ้าอย่างนั้นเ้า... เ้าช่วยบอกข้าเกี่ยวกับนิมิตในจุดตันเถียนของเ้าให้ฟังได้หรือไม่? ข้าอยากรู้จริงๆ!”
ขณะที่พูด ซิวหลัวหน้าผีก็ดูตื่นเต้นมาก ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนี้จะสนใจเส้นทางการฝึกฝนเอามากๆ
“เ้าต่อสู้ข้ามห้าระดับได้เชียวนะ! แม้ว่าในตอนสุดท้ายโม่ซิวจะประมาท แต่ก็ไม่น่าเชื่ออยู่ดี!”
“รู้ไว้เลยว่าแม้แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างข้ายังต้องพึ่งพาทักษะลึกลับเพื่อเอาชนะนักรบิญญาระดับเก้าขั้นมหาสมุทรอยู่เลย! บอกความลับของจุดตันเถียนเ้ามาหน่อยสิ! ตกลงหรือไม่?”
ซิวหลัวหน้าผีด้านหนึ่งขอร้อง ด้านหนึ่งโอบแขนรอบคอฉู่อวิ๋น ดูคุ้นเคยและเป็กันเอง
แต่เขาก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรง เพราะฉู่อวิ๋นช่วยเขาตามหาโยวกู่จือมาได้ ดังนั้นตอนนี้ชายหนุ่มผู้กระตือรือร้นที่จะฝึกยุทธ์ก็ได้แต่ถามต่อไป
“เฮ้อ... เ้าอย่าเพิ่งรีบถามไป ข้ายังไม่รู้ชื่อเ้าด้วยซ้ำ!”
ฉู่อวิ๋นถอนหายใจ ชายหนุ่มคนนี้ใจร้อนเกินไป เขาไม่เคยคิดว่าซิวหลัวหน้าผีผู้ยิ่งใหญ่ในสนามรบ หลังจากถอดหน้ากากออกจะกลายเป็ชายหนุ่มที่เืร้อนธรรมดาทั่วไปเช่นนี้
ในความเป็จริง ฉู่อวิ๋นไม่มีเจตนาที่จะซ่อนพายุยุทธ์ระดับห้า เพราะอย่างไรเสียโยวกู่จือก็รับรู้ถึงมัน จึงไม่ใช่ความลับที่ยิ่งใหญ่อะไร และลูกหลานของเขาก็คงจะเชื่อใจได้
“ฮิๆ เด็กไม่น้อย ฟังให้ดีเล่า!”
ในเวลานี้ ซิวหลัวหน้าผีก้าวไปข้างหน้า ยกยิ้มชาญชัย มือซ้ายตบหน้าอกของตนเอง เงยหน้าขึ้นสูง และแนะนำตัว “ข้าชื่อหลิงเฟิง และเป็ทายาทผู้สืบทอดของตระกูลหลิงในรุ่นนี้!"
ชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอก ทำให้ฉู่อวิ๋นตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบคำรับทักทาย “ข้าแซ่ฉู่ นามเดียวคืออวิ๋น ยินดีที่ได้รู้จัก”
พูดจบ ฉู่อวิ๋นก็ใช้มือซ้ายถอดหน้ากากผลึกแร่สีดำที่เสียหายออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ละเอียดอ่อนและเด็ดเดี่ยว ดวงตาแวววาวสดใส รอยยิ้มเปล่งประกายอ่อนโยน
“ฉู่... ฉู่อวิ๋นหรือ? เ้าบอกว่าเ้าชื่อฉู่อวิ๋นหรือ? เ้าเด็กไม่น้อย เ้าไม่ได้ชื่ออวิ๋นชูหรอกหรือ?” หลิงเฟิงถามด้วยสีหน้าตกตะลึง
“อวิ๋นชูเป็เพียงนามแฝง ชื่อจริงของข้าคือฉู่อวิ๋น”
“ฮะ? เดี๋ยวนะ!” หลิงเฟิงเกาหัว ดูสับสนและถามว่า “เ้า... ชื่อของเ้าคือฉู่อวิ๋น เ้าคือฉู่อวิ๋นจากตระกูลฉู่หรือไม่?”
“ตระกูลฉู่หรือ?…” ฉู่อวิ๋นหรี่ตาลง เขากัดฟัน และกำหมัดแน่นในทันใด
เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ข้าคือฉู่อวิ๋นแห่งตระกูลฉู่ เป็รุ่นหลังของเชื้อสายไป๋หยาง แต่... ข้ากับตระกูลฉู่นั่นไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว!”
หลังจากพูดจบ ร่างกายของฉู่อวิ๋นก็อดสั่นไม่ได้ ทั้งโศกเศร้าทั้งหนาวเหน็บ แต่ยังมีความโกรธอย่างสุดซึ้ง
ตอนนี้ สมาชิกในครอบครัวของเขาเกือบทั้งหมดล้วนพลีชีพไปแล้ว ทั้งกระดูกของพวกเขายังถูกทิ้งอยู่ในที่ทุรกันดาร ไม่ได้รับการฝังศพอย่างเหมาะสมตามที่สมควรได้รับ พ่อของเขาฉู่ซานเหอก็ถูกคนในตระกูลสังหาร แม้แต่ศพก็หาไม่พบ
ญาติทางสายเืที่แท้จริงเพียงคนเดียวคือลูกพี่ลูกน้องฉู่ถงก็ถูกรังแกจนขาหักั้แ่อายุยังน้อย แม้ว่าจะไม่ร้ายแรง แต่นางที่อยู่ภายใต้การดูแลของผู้เฒ่าเหยาและต้องอยู่คนเดียวในเมืองไป๋หยาง นางต้องเหงามากเป็แน่
ทุกวันนี้ แม้แต่ฉู่ซินเหยา พี่สาวแสนรักลึกซึ้งก็ถูกมองว่าเป็เครื่องมือเชื่อมอำนาจ และกำลังจะถูกบังคับให้แต่งงาน
เรียกได้ว่าทั้งหมดนี้เกิดจากตระกูลของฉู่เจิ้นหนาน
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากทราบว่าฉู่อวิ๋นกระบี่ชื่อยวนแล้ว เชื้อสายหลักของตระกูลฉู่ถึงกับก้าวเข้ามาสอบสวนความผิดของฉู่อวิ๋นด้วยตัวเอง พวกเขาคิดกำจัดเขา ทั้งยังแอบส่งเสริมการแต่งงานของฉู่ซินเหยาอย่างลับๆ
สำหรับตระกูลที่เห็นแก่ผลประโยชน์เป็อันดับแรก การกระทำที่เืเย็นเช่นนี้ ฉู่อวิ๋นจะยอมให้ตัวเองเป็หนึ่งในนั้นได้อย่างไร?
พูดได้ว่า ดาวหายนะแห่งตระกูลฉู่ได้ตายไปแล้วั้แ่ตอนที่เขาอยู่ในป่าสีเื
ตอนนี้ ฉู่อวิ๋นใช้ชีวิตเพื่อตัวเขาเองและเพื่อฉู่ซินเหยา
เพราะความทารุณของตระกูลฉู่ที่ค่อยๆ บีบบังคับให้ฉู่อวิ๋นเดินมาถึงขั้นนี้ ขั้นที่เขาไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าจริงกับคนภายนอกได้ ขั้นที่เขาต้องซ่อนตัวตนหล่อเลี้ยงความลับ
หากไม่ใช่เพราะเขาโชคดีพอ ดวงแข็งพอ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค เขาคงไม่ยืนอยู่ที่นี่ในวันนี้
“ข้าได้ข่าวมาว่าเ้าตายไปในปากของราชันย์ราชสีห์เขี้ยวโลหิตแล้ว แล้วทำไมตอนนี้…” หลิงเฟิงเต็มไปด้วยคำถาม เครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ลอยอยู่บนหัว เขาสับสนจริงๆ
ฉู่อวิ๋นหายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์ และกำลังจะอธิบาย
“บ๊ะ!”
แต่ทันใดนั้นเอง โยวกู่จือก็ลอยมาพร้อมกับวงแหวนอวกาศ และด้วยเสียง “ปัก” ก็กระแทกเข้ากับหน้าผากของหลิงเฟิง ทำให้เกิดก้อนบวมแดงบนหน้าผาก
“โอ๊ย! บรรพบุรุษ ท่านยังไม่พูดอะไรก็ตีข้าแล้ว ข้าทำอะไรผิดกัน?” หลิงเฟิงลูบๆ ถูๆ ก้อนนูนบนหน้าผาก ซี๊ดปากด้วยความเจ็บและะโไปมา
“เ้าเด็กสารเลวปากมาก ทำไมถึงต้องถามเื่ส่วนตัวของคนอื่นด้วย ไร้มารยาทสิ้นดี! ไปสำนึกผิดบนฟ้าซะ!”
เมื่อพูดเช่นนั้น โยวกู่จือก็แค่นเสียงอย่างเ็าและยิงแสงออกมาจากวงแหวนอวกาศ ซึ่งเป็การยับยั้งความคิดทางิญญา เขาโยนหลิงเฟิงขึ้นไปในอากาศแล้วแขวนไว้ข้างบนนั่นอยู่นาน ทำให้อีกฝ่ายกลัวมากจนต้องร้องขอความเมตตา
“บรรพบุรุษ ไว้ชีวิตด้วย! ข้าไม่กล้าอีกแล้ว…อ๊าก!!”
“รีบปล่อยข้าลงไปเถอะ แบบนี้มันน่าอายนะ! ข้าจะไม่ถามแล้ว ข้าไม่ถามอีกแล้ว!”
โยวกู่จือเลิกสนใจหลิงเฟิงที่ลอยไปลอยมาอยู่กลางอากาศ ควบคุมวงแหวนให้ไปอยู่ตรงหน้าฉู่อวิ๋น พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เ้าหนู อย่าไปสนใจเด็กเลวนั่น ประเดี๋ยวข้าจะลงโทษเขาให้เอง! เสียชื่อตระกูลหลิงของข้าจริงๆ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่อวิ๋นก็ยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็ไรหรอก... อย่างไรเสีย ประสบการณ์ของข้าก็ไม่ได้เป็ความลับอยู่แล้ว”
แต่ในความเป็จริง ฉู่อวิ๋นกำลังบ่นอยู่ในใจว่าโยวกู่จือนั้นไม่เหมือนเดิมอย่างเมื่อก่อน เดิมทีเอาแต่คอยไล่ตามถามเขาอย่างหลิงเฟิง แต่ตอนนี้กลับทำหน้าที่เป็ผู้าุโในการสั่งสอนผู้อื่นเสียแล้ว
ทว่าจู่ๆ เขาก็รู้สึกอบอุ่นใจ เสียงทะเลาะนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นเหมือนได้อยู่บ้าน
ในเวลานี้ เมื่อเห็นดวงตาของฉู่อวิ๋นเป็ประกายดูลึกซึ้ง โยวกู่จือก็เปลี่ยนความคิดอันล่องลอยมาเป็ท่าทีจริงจัง “เ้าหนู ข้าจะอธิบายให้ฟัง ถึงแผนการที่จะช่วยพี่สาวของเ้า”
“ข้าจะตั้งใจฟัง!” หลังจากได้ยินเกี่ยวกับฉู่ซินเหยา ฉู่อวิ๋นก็ได้สติขึ้นทันที ดูเคร่งขรึมฉับพลัน
“แต่เื่นี้จะต้องมีการหารือตามกฎของตระกูลข้า”
โยวกู่จือควบคุมวงแหวนอวกาศให้ลอยไปที่มือของหลิงจื้อ มองให้อีกฝ่ายถือไว้ด้วยความเคารพ จากนั้นค่อยๆ อธิบาย “ตระกูลหลิงของเราเป็ตระกูลของผู้ฝึกฝนศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาั้แ่สมัยโบราณ”
“แม้ว่าสมาชิกในตระกูลจะมีไม่มาก แต่ทุกคนก็มีความสามารถทางจิติญญาที่ยอดเยี่ยม และยังมีความลับในการฝึกฝนที่หลงเหลือมาจากสมัยโบราณอีกมาก”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น ฉู่อวิ๋นก็เหลือบมองหลิงเฟิงที่กำลังดิ้นรนอยู่กลางอากาศและแอบพยักหน้า
ลองมาคิดดู เกราะแสงโปร่งใสที่หลิงเฟิงใช้บนเวทีประลองก็คงจะเป็วิชาทางจิติญญาที่เอาไว้ใช้ป้องกันและโจมตีได้
“หากตระกูลเรามีของสะสมล้ำค่ามากมาย ย่อมดึงดูดความสนใจของคนไร้ยางอายอย่างแน่นอน”
“ดังนั้น ที่ตั้งของดินแดนบรรพบุรุษจึงเป็ความลับ ยากที่คนทั่วไปจะค้นพบ ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ทายาทรุ่นเยาว์ของตระกูลถูกจับไป ตระกูลของเราจึงมีกฎ”
“กฎ?” ฉู่อวิ๋นถามด้วยเริ่มสนใจ
“อืม” โยวกู่จือพยักหน้าและอธิบายต่อ “กฎนั่นก็คือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ในตระกูลจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากดินแดนบรรพบุรุษก่อนจะอายุยี่สิบห้าปี”
“และแม้ว่าจะแก่แล้ว ก็ต้องฝึกฝนให้สำเร็จก่อนจึงจะสามารถออกไปหาประสบการณ์ได้”
“ยี่สิบห้าปี?” ฉู่อวิ๋นใเล็กน้อย มองไปที่หลิงเฟิงอีกครั้ง “แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เ้านั่นก็น่าจะสิบเจ็ดสิบแปดปีเองนะ มากกว่าข้าแค่ปีสองปีเอง”
โยวกู่จือยิ้มและพูดว่า “นี่ๆ ข้ายังพูดไม่จบ แม้ว่านี่จะเป็กฎที่เข้มงวด แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่”
“ขอเพียงแค่ชายหนุ่มในตระกูล้าแต่งงาน เขาก็สามารถออกจากดินแดนบรรพบุรุษมาพร้อมกับผู้าุโเพื่อค้นหาคู่ครองที่เหมาะสมได้”
“แต่งงาน?!” ฉู่อวิ๋นใ ราวกับได้ล่วงรุ้ข้อมูลสำคัญบางอย่าง
แต่ในยามนี้ ชายชราที่ชื่อหลิงจื้อก็ส่งเสียงหึแล้วขัดจังหวะ “บรรพบุรุษ! ท่านพูดถึงเื่นี้ข้าก็นึกโมโห!”
พูดจบ หลิงจื้อก็ชี้ไปที่หลิงเฟิงกลางอากาศและพูดด้วยความโกรธว่า “เ้าเด็กเหลือขอนี้! เขาตามตื้อรบกวนผู้าุโในดินแดนบรรพบุรุษ บอกว่าอยู่คนเดียวเหงาหงอยโดดเดี่ยว อยากจะออกมาหาคู่ครอง”
“แต่หลังจากที่ข้าพาเขามาที่เมืองชุยเสวี่ย เ้าหนุ่มนี่กลับไม่สนใจอะไรเลย ไม่คิดจะไปตามจีบคนงามอันดับหนึ่งของตระกูลฉู่ แต่กลับเลือกสวมหน้ากากตั้งสมญานามให้ตัวเองว่าซิวหลัวหน้าผีแล้วลงประลองยุทธ์!”
“เฮ้อ เสียดายที่ข้าส่งสมบัติให้ฉู่เจิ้นหนานนั่นตั้งมาก เสียเปรียบเหลือเกิน!”
“หือ! มีเื่แบบนี้ด้วย…” ฉู่อวิ๋นนิ่งอึ้ง เขารู้สึกได้ว่าหลิงเฟิงตั้งใจใช้วิธีหาคู่ครองนี้มาบังหน้าเพื่อออกมาผจญภัยต่อสู้กับจอมยุทธ์นอกดินแดน สมเป็ชายชาตรีจริงๆ...
ในตอนนี้เอง ที่ฉู่อวิ๋นนึกขึ้นมาได้ว่าครั้งที่มีการรวมตัวครั้งใหญ่ในเรือนกลิ่นกำจร ยังมีที่นั่งด้านหน้าว่างอยู่ที่หนึ่ง
เมื่อคิดถึงเื่นี้ ฉู่เจิ้นหนานน่าจะเตรียมที่นั่งนี้ไว้ให้หลิงเฟิง แต่ไม่คิดว่าเขาวิ่งหนีไปเข้าร่วมในการประชันห้าัที่ลานประลองยุทธ์ รักเพียงการต่อสู้ หาได้หลงใหลคนงามไม่
ฉู่อวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างสงสัย “นี่! เ้าหน้าผี เ้าคิดจะจีบพี่สาวข้าหรือ?!”
หลิงเฟิงที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศ ยิ้มอย่างเชื่องช้า และพูดว่า “ไม่แน่นอน ข้าไม่ชอบผู้หญิง...”
“แค่กๆ ไม่ใช่! ควรจะบอกว่าข้าชื่นชอบการต่อสู้มากกว่าคนงาม ข้าคันไม้คันมือมาั้แ่ตอนอยู่ในดินแดนบรรพบุรุษ แถมไม่มีใครสู้กับข้าได้เลย เลยอยากแอบออกไปสักหน่อย”
“ข้าไม่สนใจพี่สาวของเ้าหรอก วางใจเถอะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่อวิ๋นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วขมวดคิ้วต่ออีกครั้ง สงสัยว่าเหตุใดเขาจึงดูใส่ใจความรู้สึกของฉู่ซินเหยามากนัก และกลัวว่านางจะถูกตามจีบหรือ?
“ตอนที่อยู่ในลานประลอง ข้าก็รู้แล้วว่าเด็กเหลือขออย่างเ้ากำลังใช้ประโยชน์จากการแต่งงานมาสร้างปัญหา แต่ความมุทะลุแสนร้ายกาจนี้ก็คล้ายกับข้าอยู่นะ”
โยวกู่จือยิ้ม วางหลิงเฟิงลงแล้วพูดต่อ “กลับเข้าประเด็นกันดีกว่า! เ้าหนูฉู่ นี่เป็แผนการที่สมบูรณ์แบบ ฟังให้ดีล่ะ!”
“ขอรับ!” ฉู่อวิ๋นดูเคร่งขรึม กำหมัดแน่น
“อืม จากปากของเสี่ยวจื้อ ข้าก็ได้รู้ว่าหลังจากการประเมินของฉู่เจิ้นหนาน ยามนี้มีเพียงสามกองกำลังชั้นนำเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการแต่งงาน และทั้งสามก็มีโอกาสเท่าๆ กัน”
“หรือเรียกได้ว่า มีเพียงสามคนนี้เท่านั้นที่มีแนวโน้มจะได้แต่งงานกับพี่สาวเ้ามากที่สุด คนแรกคือเสวี่ยหานเฟย คนที่สองคือตงฟางสยง และคนที่สามคือหลิงเฟิง”
“ขอเพียงแค่พี่สาวเ้าแกล้งทำเป็เลือกตระกูลหลิง ข้าเชื่อว่าฉู่เจิ้นหนานจะต้องยอมให้นางได้หมั้นกับหลิงเฟิงแน่นอน”
“และในวันที่ประกาศงานแต่ง เราจะพาพี่สาวเ้ากลับไปจัดพิธีสมรสที่ดินแดนบรรพบุรุษตามประเพณีของตระกูล”
“และเมื่อถึงเวลา พวกเราก็จะเปลี่ยนเ้าสาวเป็หญิงอื่น เ้าก็จะได้มีโอกาสพาพี่สาวหนีไป”
หลังจากได้ยินแผนการของโยวกู่จือแล้ว ฉู่อวิ๋นก็กำหมัดแน่นทันที รู้สึกตื่นเต้นมาก!
นี่เป็แผนการที่สมบูรณ์แบบจริงๆ!
----------
[1] รู้สึกมั่นใจเมื่อเดิน