มหาพิภพแห่งนี้ถือเป็อีกหนึ่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยพลังปราณธรรมชาติหมุนเวียนเป็อนันต์ด้วยฝีมือของเทพบิดรมาดาเทพผู้สรรสร้างสรรพสิ่ง ที่ในปัจจุบันได้ละสังขารหวนคืนสู่ วัฏจักรไปแล้ว ย้อนกลับไปหลายพันปีตามตำนานเล่าขานได้กล่าวกันสืบมาว่าเทพาทั้ง สี่ของเผ่าพันธ์าได้ร่วมมือทำากับเหล่ามารปีศาจและรวบรวมดินแดนก่อตั้งเป็มหาพิภพนี้ขึ้นโดยที่ไม่ฝักใฝ่เข้าข้างฝ่ายใด ยึดถือความถูกต้องเที่ยงแท้คุณธรรมเป็หลัก
โดยแบ่งเขตพื้นที่ในมหาพิภพประกอบไปด้วยสามพิภพดินแดน สี่มหาสมุทรแปดมหาทวีป โดยแบ่งเป็พิภพดินแดนระดับสูง อันประกอบไปด้วยสี่เผ่าพันธุ์าปกครองนั่นคือเผ่าพันธุ์ัเขียวสมุทรธารามหา์า ปกครองมหาพิภพทางทิศตะวันออกเรียกขานว่าดินแดนชิงหลง เผ่าพันธุ์พญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหา์า ปกครองมหาพิภพทางทิศใต้ในนามของดินแดนจูเชว่ เผ่าพันธุ์ราชันย์เต่าดำมหิพสุธามหา์า ปกครองมหาพิภพทางทิศเหนือนามว่าดินแดนเสวียนอู่และเผ่าพันธุ์พยัคฆ์ขาวเศวตรวายุมหา์า ปกครองมหาพิภพทางทิศตะวันตกที่ถูกขนานนามว่าดินแดนไป๋หู่
ฟังว่ามีมติตกลงคล้ายกับเป็สัญญาใจกันว่าแต่ละเผ่าพันธุ์ามีอำนาจปกครองดูแลกันเอง มีความสำคัญเท่ากันและไม่อยู่ภายใต้อำนาจของผู้ใดทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตามต่อมาภายหลังผู้นำของทั้งสี่เผ่าพันธุ์าได้มีมติตกลงให้เทพาต้าหนิงหลง ผู้สืบเชื้อสายของเผ่าพันธ์พญาัทองอัมพรพิสุทธิ์มหา์า ที่ได้รับการนับถือดั่งพี่ใหญ่ของพวกเขาเหล่าบรรดาผู้นำเผ่าพันธุ์าทั้งสามขึ้นปกครองมหาพิภพในที่สุด
นอกจากนั้นแล้วมหาพิภพแห่งนี้ยังแบ่งการปกครองดูแลที่อยู่ภายใต้เผ่าพันธุ์าทั้งสี่ ซึ่งถูกเรียกขานนามว่าพิภพดินแดนระดับกลาง อันเป็ดินแดนของผู้ฝึกตนและชาวบ้านธรรมดาไร้ซึ่งพลังลมปราณ โดยแบ่งเป็แปดมหาทวีปดังนี้ มหาทวีปอุดร (ทิศเหนือ) มหาทวีปอิสาน (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ) มหาทวีปบูรพา (ทิศตะวันออก) มหาทวีปอาคเนย์ (ทิศตะวันออกเฉียงใต้) มหาทวีปทักษิณ (ทิศใต้) มหาทวีปหรดี (ทิศตะวันตกเฉียงใต้) มหาทวีปประจิม (ทิศตะวันตก) และมหาทวีปพายัพ (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ) สุดท้ายนั่นคือพิภพดินแดนระดับล่าง โดยมีสามเผ่าพันธุ์ที่อาศัยกระจายอยู่ นั่นคือเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร เผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ต่อมาภายหลังผนวกเข้าด้วยกันในที่สุด
ในศึกมหาาเมื่อเกือบหนึ่งพันปีมีต้นเหตุจากการแย่งชิงตำแหน่งผู้ปกครองมหาพิภพสูงสุด ผู้ที่สามารถทั้งสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีปนี้โดยสมบูรณ์ แน่นอนว่า ผู้ฝึกตน สัตว์อสูร หรือแม้กระทั่งเผ่าพันธุ์มารปีศาจย่อมมีความแข็งแกร่งเป็อย่างมาก ดังนั้นการต่อสู้แย่งชิงความเป็หนึ่งจึงได้ดำเนินเป็เวลาเกือบร้อยปี ทว่าสิ่งที่ได้มานั้นกลับต้องแลกมาด้วยเืเนื้อทะเลโลหิตสีแดงฉานพร้อมกับกองซากศพนับไม่ถ้วน ก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ทุกฝ่ายมากกว่าครึ่งเลยทีเดียว
ผลสรุปท้ายที่สุดนั่นคือบรรดาผู้นำทั้งสี่เผ่าพันธ์าได้ร่วมมือผนึกจอมมารให้หลับไหลไปชั่วกัปชั่วกัลป์ภายในมหาบรรพตลูกหนึ่ง ก่อนที่จะเรียกใช้ิญญายุทธ์ต้นกำเนิดสังเวยเป็มหาค่ายกลเวทย์บทหนึ่งที่ไม่ธรรมดาสามัญกักขังต้นเหตุของภัยร้ายของมหาพิภพ เมื่อจบสิ้นมหาาในครั้งนั้น บรรดาเหล่ามารรวมไปถึงพวกปีศาจได้ถูกขับไล่ลงไปทางทิศใต้ซึ่งว่ากันว่าเป็พื้นที่แห้งแล้งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตายและความชั่วร้ายที่กัดกินพลังชีวิต ด้วยอำนาจของมหาค่ายกลได้ส่งผลให้ไม่สามารถก้าวล้ำเข้ามายังเขตแดนของเหล่าผู้ฝึกตนได้ตั้งเเต่นั้นสืบมาจนถึงทุกวันนี้...
ณ ดินแดนพิสดารลึกลับ
ท้องทะเลมหาสมุทรอันเป็ห้วงน้ำกว้างใหญ่ไพศาล ผืนน้ำสีครามเข้มทอประกายระยิบระยับราวกับเพชรพลอยนับล้านดวงที่ประดับประดาบนท้องฟ้า เหนือผืนน้ำนั้นมีหมู่เมฆสีขาวปุยราวกับสำลีลอยละล่องไปมา บางกลุ่มรวมตัวกันเป็รูปร่างแปลกตาราวกับภาพวาดบนผืนผ้าใบอันกว้างใหญ่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลงมาบนผืนน้ำ สถานที่แห่งนี้เป็ดินแดนแห่งความมหัศจรรย์และความงามที่ไม่อาจเทียบได้ ส่วนลึกของทะเลมหาสุมทรแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดมากมายอาศัยอยู่ บ้างก็เปล่งแสงเรืองรองว่ายผ่านไปมาทอแสงสีสันสดใสไปทั่วทั้งผืนน้ำงดงามเป็อย่างมาก
เสียงคลื่นลมที่ซาดซัดเข้ามาเป็ระลอกเกลียวคลื่นไปต่างไปจากลำนำขับขานที่ไพเราะดังกังวาลสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ คลื่นลูกใหญ่ซัดสาดเข้าหาฝั่งอย่างไม่หยุดยั้ง สร้างเสียงคำรามกึกก้องกัมปนาทราวกับเสียงคำรามของอสูรทะเลโบราณ ฟองคลื่นขาวโพลนพวยพุ่งขึ้นสูงราวกับูเาหิมะที่โผล่พ้นจากผืนน้ำ พืชพรรณต้นหญ้าล้วนดูแปลกตางดงามอย่างบอกไม่ถูก ห่างไกลออกไปนั้นเห็นเป็ผืนน้ำที่มีขนาดกว้างใหญ่สุดสายตา ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามปานนี้กลับมีเรือนสีขาวหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่อย่างสงบ แสงสะท้อนวิบวับชวนให้รู้ว่าวัสดุสรรสร้างหาได้ธรรมดาสามัญแต่อย่างใดไม่
ตรงพื้นที่ลานกว้างตรงเรือนสีขาวพิสุทธิ์นั้นยังมีร่างของบุรุษวัยกลางคนสามคนกำลังนั่งล้อมวงพูดคุยอย่างสนุกสนาน ทว่าจังหวะหนึ่งกระแสพลังงานปั่นป่วนรุนแรงพลันประทุขึ้นตรงม่านมิติระดับสูงชวนให้รู้สึกแปลกใจยิ่ง พื้นที่แห่งนี้โดยรอบล้วนถูกสลักวางด้วยมหาโครงข่ายค่ายกลที่มีคุณสมบัติป้องกันการรุกรานรบกวนถึงขีดสุด ไม่คาดคิดว่าจะมีสิ่งใดที่พุ่งผ่านทะลุได้โดยไม่ได้รับการยินยอมเช่นนี้
บุรุษทั้งสามมองหน้ากันก่อนวางถ้วยชาลงพร้อมกับทอดสายตาไปยังทิศทางดังกล่าว กระแสพลังปราณที่ปะปนไปกับละอองแสงหลากสีสันประกายทองชวนให้รู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนที่เงาร่างของทั้งสามจึงพุ่งทะยานไปยังทิศทางดังกล่าวอย่างทันท่วงที เมื่อไปถึงจึงพบกับวัตถุทรงกลมประหลาดหลากสีที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาดไหลเวียน ก่อนที่เพียงชั่วครู่กระแสพลังปราณเ่าั้จะไหลสู่มหาพิภพแล้วกระจายออกไปทั่วสี่ทิศแปดทางหายไปในที่สุด
“คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้อื่นนอกจากพวกเรามาปรากฏตัวที่นี่ได้ ไม่รู้ว่าผ่านมากี่พันปีแล้วที่ไม่ได้พบเจออนุชนรุ่นหลังในมหาพิภพ การที่เขาสามารถข้ามผ่านห้วงมิติมายังมหานทีแห่งนี้ได้นั่นคงเป็เพราะความพิเศษของสายเืและเผ่าพันธ์เสียแล้วกระมัง...” บุรุษชุดสีน้ำเงินเอ่ยขึ้นด้วยความความประหลาดใจ
“แสงสีแห่งปราณธาตุหลากสีสันปานนี้ย่อมหมายถึงการปราณธาตุที่มากกว่าหนึ่งเช่นนั้นรึ กลิ่นอายไม่อาจดูเบาได้เลยทีเดียวโดยเฉพาะแสงสีประกายรุ้งนั่นเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายอหังการอย่างแท้จริงพวกเ้าเห็นตรงกันหรือไม่??” บุรุษชุดดำที่ยืนอยู่ข้างกันเอ่ยเสริมขึ้น
“จะว่าไปปราณธาตุที่เป็ประกายสีทอง รวมไปถึงกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาเหตุใดจึงรู้สึกคุ้นชินยิ่ง นี่ไม่ต่างไปจากเ้าเด็กหน้าเหม็นคนนั้นเสียจริง หรือว่า...”
“พลังชีวิตของรุ่นเยาว์ผู้นี้เริ่มเสื่อมถอยจวนเจียนจะดับสูญแล้ว อย่างไรต้องช่วยเขาให้ได้...” บุรุษที่สวมใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์กล่าวขึ้นพร้อมกับส่งกระแสพลังปราณของตนออกไปหล่อเลี้ยงวัตถุทรงกลมตรงหน้า
ปราณสีเขียวประกายรุ้งนั่นทะลุเข้าไปในวัตถุทรงกลมไม่ต่างไปจากการรักษาปลอบประโลม เพียงเปลวเพลิงดังกล่าวปรากฎขึ้นฟ้าดินทั่วสารทิศก็สั่นะเืเลือนลั่นอย่างรุนแรง ลมปราณฟ้าดินบริสุทธิ์โดยรอบต่างถูกชักนำมาแม้กลิ่นอายนี้จะมีความอหังการรุนแรงทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการรักษาถึงขีดสุด
ขั้นตอนเหล่านี้ดำเนินอยู่ไม่ถึงหนึ่งเค่อก่อนที่บุรุษผู้นี้จะถอนฝ่ามือและพลังปราณออกมา ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีความนัยบางอย่าง ด้วยเพราะพลังลมปราณรวมไปถึงกลิ่นอายของสายเืตรงหน้าของรุ่นเยาว์ผู้นี้ช่างคุ้นชินยิ่งนัก...
ท่ามกลางทะเลทรายอันมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ลมราตรีพัดพาความเหน็บหนาวสุดสะท้านสรรพางค์กาย หลังสิ้นสุดศึกการต่อสู้ที่สั่นะเืมหาทวีปบูรพาก่อนหน้าที่ตำหนักเทพมารทมิฬได้ถูกกวาดล้างโดยกองกำลังของประมุขตระกูลหวัง ได้เปลี่ยนให้ทะเลทรายเหล่านี้เปลี่ยวร้างสงบไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดใดหลงเหลืออยู่
แม้กระทั่งม่านปราการอำพลางนับเป็อีกหนึ่งปราการจากธรรมชาติที่ขึ้นชื่อของสำนักเทพมารทมิฬ เป็สุดยอดม่านพลังที่ดำรงอยู่มาอย่างช้านาน บรรดาผู้าุโ ศิษย์ในสำนักหรือแม้กระทั่งผู้ที่ข้องเกี่ยวกับตำหนักเทพมารแห่งนี้ล้วนตกตายไปจนหมดสิ้น บางส่วนเองก็ได้รับหยกสื่อสารจึงหลีกเลี่ยงการกลับสู่ตำหนักได้ทันจึงหลีกหนีหายเร้นกายในเงามืดของมหาพิภพ
ทว่าห่างไปไกลจนสุดสายตาได้ปรากฏเป็เงาร่างสองสายกำลังยืนนิ่งด้วยท่าทียากจะคาดเดาได้ พินิจไปแล้วจึงพบว่าเป็หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษวัยกลางคน สายตาของสตรีสาวนางนั้นกวาดมองความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยรอบด้วยความเคียดแค้น ลมทะเลทรายอันบ้าคลั่งได้พัดพาเอาเม็ดทรายจำนวนมากฝังกลบทุกสิ่งอย่างให้เลือนหายไปจากสายตา
โฮก!!
จังหวะนั้นเองเสียงกู่ร้องคำรามสายหนึ่งดังกึกก้องสะท้านะเืทั่วทั้งสารทิศ ร่างมหึมาร่างหนึ่งย่างกรายเข้ามาในทุกขณะ ลักษณะของมันคล้ายกับเสือขนาดตัวมหึมาสีน้ำตาลเข้ม ส่วนลำตัวต่างถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดหนาแวววาว ส่วนหัวนั้นมีความแตกต่างจากเสือทั่วไปอยู่บ้างด้วยเพราะมีส่วนเขาปรากฎอยู่ตรงกึ่งกลางหน้าผาก ส่วนหางยาวนั้นไม่ต่างไปจากแส้ขนาดใหญ่ที่กวัดแกร่งไปมาสร้างความเสียหายในทุกย่างก้าวเดิน
“อสูรพยัคฆ์ทมิฬกาล สัตว์อสูรระดับมายาขั้นต้นที่มีความแข็งแกร่งว่องไวเป็อย่างมาก โดยปกติแล้วมันเป็สัตว์อสูรที่หลีกซ่อนเร้นต่างถิ่น ไม่คิดว่ามันจะเดินทางมาถึงที่นี่ด้วย...” บุรุษวัยกลางคนที่ยืนข้างเอ่ยขึ้นให้กระจ่าง สัตว์อสูรตรงหน้าได้แผ่ซ่านกลิ่นอายและแรงกดดันเข้ามาในทุกขณะ ระดับพลังิญญาของมันเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนระทับเทวะิญญาขั้นสูง อย่างไรก็ตามสิ่งนี้หาได้ส่งผลให้สตรีสาวและบุรุษวัยกลางคนนี้หวั่นเกรงแต่อย่างใด
สตรีสาวนางนี้ได้บรรลุถึงเขตขั้นราชทินนามเทวะิญญาขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญย่อมมีความมั่นใจในฝีมือของตนอยู่ไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบุรุษวัยกลางคนข้างกายที่เป็ถึงราชทินนามเทวะิญญาขั้นสูงมาเนิ่นนานหลายสิบปี แน่นอนว่ารากฐานพลังิญญาและพลังฝีมือย่อมไม่อาจดูเบาได้อย่างแน่นอน
“คุณหนูระวังตัวด้วยนะขอรับ...” บุรุษวัยกลางคนกล่าวจบก็ได้ปราดร่างออกไปอย่างรวดเร็ว ในมือปรากฎเป็หอกด้ามยาวที่มีอักขระพิศดานสลักกำกับไว้ เพียงไม่กี่อึดใจก็บรรลุถึงเบื้องหน้าของอสูรพยัคฆ์ทมิฬกาลอย่างฉับไว
หอกเล่มดังกล่าวได้เข้าฟาดกระแทกใส่ลำตัวของอสูรพยัคฆ์ทมิฬกาลเกิดเป็เสียงดังลั่น แรงสะท้อนอันเกิดจากการโจมตีเมื่อครู่นั้นรุนแรงน่าสะพรึงกลัวเป็อย่างยิ่ง ทางฝั่งของอสูรพยัคฆ์ทมิฬกาลแม้จะใในแรงโจมตีของมนุษย์เมื่อครู่ แต่อย่างไรตลอดหลายร้อยปีมานี้หาใช่ว่ามันไม่เคยปะทะกับสัตว์อสูรหรือผู้ฝึกตนที่มีพลังฝีมือไปเสียเมื่อไหร่ ดวงตาสีแดงวาวโรจน์ก่อนจะะเิพลังลมปราณของสัตว์อสูรมายาออกมาจนฟ้าดินโดยรอบถึงกับสั่นทะเทือนรุนแรง
กำแพงวายุขนาดใหญ่โหมกระหน่ำเข้ามาปิดล้อมเส้นทางโดยรอบเอาไว้ด้วยขุมพลังของสัตว์อสูรที่มีความลึกล้ำพิศดารแล้ว กำแพงวายุที่อัดแน่นไปด้วยพลังการโจมตีดังกล่าวได้พุ่งเข้าโจมตีสตรีสาวและบุรุษวัยกลางคนตรงหน้า ก่อนที่สมบัติวิเศษชิ้นหนึ่งจะปรากฎขึ้นต้านรับก่อนจะสะท้อนออกไปจนเกิดเป็แรงะเิที่กระจายออกไปโดยรอบ
“ห้วงวารีกลืนกินมหรรณพ!!” สองมือเรียวงามสอดประสานเป็ท่วงท่าประหลาด เพียงไม่กี่อึดใจพลันปรากฎเป็กำแพงน้ำขนาดใหญ่ก่อนจะพวยพุ่งออกไปโจมตีอสูรพยัคฆ์ทมิฬกาลตรงหน้าอย่างไม่ลังเล
“มหานทีคลั่งสังหาร!!” ขณะเดียวกันบุรุษวัยกลางคนไม่รอช้ารวบรวมพลังลมปราณออกมาถึงขีดสุด ก่อนจะร่ายบทเวทย์โจมตีระดับสูงออกมา พื้นที่โดยรอบบังเกิดเป็มหานทีสีครามที่เต็มไปด้วยคลื่นสมุทรอันอหังการ ก่อนที่คลื่นน้ำดังกล่าวจะเข้าไปสมทบกับกำแพงน้ำเมื่อครู่ ดังนั้นเมื่อต้องรับมือกับสองบทเวทย์โจมตีในคราเดียวจึงส่งผลให้การเคลื่อนไหวของมันจึงถูกจำกัดโดยสิ้นเชิง
ตู้ม!! ตู้ม!!
เวลานั้นเองอสูรพยัคฆ์ทมิฬกาลหาได้พลาดท่าเสียทีแต่อย่างใด อย่างไรแล้วมันที่เป็ถึงสัตว์อสูรมายาที่ไม่ธรรมดาสามัญ ทันใดนั้นมันก็ได้ะเิพลังปริมาณมหาศาลออกมาในคราวเดียว ปราณธาตุลมได้ก่อเกิดเป็มีดบินวายุนับร้อยเล่มเหนือท้องฟ้าก่อนจะพุ่งเข้าจู่โจมทุกทิศทาง ดวงตาของสตรีสาวเบิกออกกว้างเมื่อเห็นมีดบินวายุที่ถูกผนึกขึ้นจากปราณธาตุลมพุ่งทะยานเข้ามา ในมือของนางพลันปรากฎเป็กระบี่งามเล่มหนึ่งตวัดออกไปตรงด้านหน้าบังเกิดเป็มหาวังวันของมวลวารีส่งผลให้มีดบินวายุเ่าั้ถูกตรึงนิ่งไว้ ทว่าด้วยขุมพลังอันมหาศาลของอสูรพยัคฆ์ทมิฬกาลก็สามารถทำลายม่านปราการป้องกันดังกล่าวได้อย่างไม่ยากนัก
“หมื่นมัจฉาวารีพันธนาการ!!” บุรุษวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นจึงประสานมือเป็กระบวนท่าที่รวดเร็วฉับไวก่อนจะกระแทกกระบี่ในมือลงบนพื้นบัญชาการมหาสมุทร
ฉับพลันนั้นเองคลื่นั์ขนาดใหญ่นับสิบลูกได้เข้าสาดซัดใส่ร่างของพยัคฆ์อสูร อีกทั้งภายใต้มวลมหานทีคลั่งนี้นั้นยังบังเกิดเป็ผนึกร่างเป็มัจฉาวารีขนาดน้อยใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนเข้าจู่โจมจากทุกทิศทาง คมเขี้ยวและแรงะเิของเหล่ามัจฉาวารีได้สร้างความเสียหายไม่น้อยด้วยเวลาเพียงไม่กี่รอบลมหายใจ
ภายใต้เวทย์โจมตีระดับสูงที่ถูกร่ายโดยผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะิญญาขั้นสูงที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญย่อมเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างและอาณุภาพสังหารที่รุนแรงยิ่ง อสูรพยัคฆ์ทมิฬกาลเมื่อเห็นว่าผู้ฝึกตนตรงหน้ายากที่จะเอาชนะได้โดยง่ายเสียแล้วมันจึงรีดเค้นพลังปราณเกิดเป็กำแพงวายุเข้าโจมตีอีกครั้งก่อนจะหายลับไปอีกฟากฝั่งในทันที
“คุณหนูได้รับาเ็ตรงที่ใดหรือไม่ขอรับ??”
“ข้าเพียงแต่ประมาทไปเท่านั้น ไม่คิดว่าสัตว์อสูรมายาตัวนี้จะมีพลังทำลายล้างที่รุนแรงได้ถึงเพียงนี้...” สตรีสาวตอบกลับไป การโจมตีเมื่อครู่แม้ไม่อาจสร้างรอยแผลใดใดได้ ทว่าสิ่งนี้ยิ่งทำให้นางหงุดหงิดใจกว่าเดิมไม่น้อย
“หากนายท่านยังมีชีวิตอยู่ ข้าเชื่อว่า...”
“สำนักเทพมารทมิฬถูกทำลายลงไปสิ้น แม้แต่จิติญญาของท่านพ่อยังไม่หลงเหลือแม้เพียงเสี้ยว แค้นครั้งนี้ต่อให้เ้าสวะหนิงอ้ายตกตายไปก็ไม่เพียงพอเสียด้วยซ้ำ วันหนึ่งข้าจะเป็ ผู้ทำลายตระกูลหวังนั่นด้วยตนเองให้ได้!!!”
“หนี้แค้นนี้สิบปีได้รับการชำระก็ยังไม่สาย ข้าว่าการต่อสู้เมื่อครู่อาจสร้างความสนใจแก่ผู้ที่อยู่โดยรอบ ด้วยฐานะของคุณหนูที่เป็ถึงบุตรสาวเพียงคนเดียวของเ้าสำนักเทพมารทมิฬ หากพวกมันล่วงรู้ถึงตัวตนของท่านย่อมไม่ใช่เื่ง่าย พวกเรารีบไปจากที่นี่และดำเนินการตามคำสั่งสุดท้ายของท่านประมุขกันเถิดขอรับ...”
“ขอบคุณท่านลุงที่คอยเตือนสติ ยามนี้ด้วยพลังฝีมือของข้าอาจจะยังไม่สามารถล้างแค้นให้กับบิดาและพี่น้องร่วมสำนักได้ อย่างไรในสักวันข้าจะเอาเืจากหัวใจของพวกมันมาชำระล้างสำนักให้สาสมใจ!!” สตรีสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นก่อนจะหลับตาลงคล้ายกับสะกดข่มใจ ก่อนที่สองเงาร่างจะหายไปในม่านมิติตรงหน้าอย่างไร้ร่องรอย...