กระไรนะ?
นางไล่เขาหรือ?
เข้าใจกระไรผิดหรือเปล่า นี่มันจวนของเขา ห้องของเขา เตียงของเขา!
หรงซิวมองอวิ๋นอี้นิ่งๆ เห็นว่าใบหน้าขาวเล็กๆ ของนาง เต็มไปด้วยความโกรธเคืองและความดื้อรั้น จากนั้นเขาพลันยิ้มเล็กๆ
ในความคิดของเขาไม่มีกระไรมากไปกว่าหญิงสาวตัวน้อยทำตัวไร้เหตุผล หากมันเป็ไปตามนิสัยของนางจริงๆ อาจเกิดความโกลาหลวุ่นวายได้
สตรีมิได้ปากอย่างใจอย่างกันหมดหรือ?
เวลาโกรธจะไล่ แต่เมื่อไปจริงๆ กลับโกรธมากกว่าเดิม
หรงซิวคิดว่าตนเองมองจิตใจที่ซับซ้อนของสตรีสาวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แทนที่จะออกจากห้องไป กลับเดินกระทบไหล่นางแล้วไปนั่งที่เตียงใหญ่
เขาตบที่ว่างข้างๆ ตัวเขา มองดูสาวน้อยเงียบๆ แล้วพูดว่า “โวยวายพอแล้วหรือไม่? เหนื่อยหรือไม่? มานอนเถิด”
“.......”
อวิ๋นอี้ค่อยๆ หันกลับมาถามเขา “ฝ่าาคิดว่าข้ากำลังโวยวายหรือเพคะ?”
“มิใช่เช่นนั้นหรือ?”
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ น้ำเสียงจริงจัง
อวิ๋นอี้จู่ๆ ก็หัวเราะ ยักไหล่ อาจจะเพราะไม่ว่ายุคสมัยใด ความคิดของบุรุษซื่อทำให้...คนโกรธเคืองเดือดดาลได้ตลอดเวลา
มิใช่ว่าบุรุษซื่อๆ จะไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ ทว่าพวกเขาไม่คิดจะใช้มันกับคนที่มิได้รัก
พวกเขามักจะถูกดึงดูดโดยพวกดอกบัวขาวบริสุทธิ์พวกนั้นทำให้หวั่นไหว มักจะมองว่าอารมณ์ของพวกเราเป็พวกไร้เหตุผล
ความโกรธในตอนที่ไม่พอใจ ความไร้อำนาจในตอนที่โดดเดี่ยว ความทุกข์ใจในตอนที่สับสนนั้นมิต้องพูดถึงเลยเพราะพวกเขาไม่สนใจความรู้สึกใดๆ ของเรา
อวิ๋นอี้เลียริมฝีปาก พูดกับเขาด้วยรอยยิ้มจอมปลอม “ได้ ในเมื่อฝ่าาคิดว่าข้าโวยวาย ได้ ฝ่าาอยู่ที่นี่ไปเถิดเพคะ ข้าไปแล้ว”
นางพูดจบก็วิ่งออกไป เร็วมากจนทำให้หรงซิวใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตอบสนอง
หลังจากที่ตามออกไป พลันเหลือเพียงประตูของห้องข้างๆ ที่ปิดสนิท
เขาเคาะสองสามครา มั่นใจมากว่านางอยู่ด้านใน แต่มิได้รับคำตอบใดๆ ดังนั้นเขาจึงยอมแพ้และเดินกลับด้วยใบหน้าเ็า
สตรีผู้นี้ชักจะเกินไปแล้ว!
ไร้เหตุผลเสียจริง!
เขาก้มหน้ายอมขอโทษ พูดขอคืนดีด้วยดีๆ แล้วนางยัง้ากระไรจากเขาอีก!
หรือจะให้เขาคุกเข่าก้มหัวขอโทษ สาบานเขียนหนังสือสัญญาหรือ?
เป็ไปมิได้!
ชาตินี้อย่าได้หวัง!
งอนไปเถิด!
งอนไปให้เต็มที่!
ในเมื่อนางทำท่าทีไม่สนใจเขา เขาจะกล้าไม่สนใจนางเช่นกัน!
มาดูกันว่าผู้ใดจะอยู่ได้นานกว่า!
หรงซิวสะบัดแขนเสื้อพลันเดินตึงตังออกไปในคืนเงียบสงัด ฝีเท้าของเขาหนักอึ้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กระแทกประตูแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง
เตียงนอนนุ่มมาก คนแทบจะจมลงไปทั้งตัว
กลิ่นหอมที่ตามมาติดอยู่ที่ปลายจมูกของเขา กลิ่นหอมจางๆ ที่คุ้นเคยและสง่างามทั้งหมดเป็ของอวิ๋นอี้
หรงซิวคิดถึงสตรีขี้โมโหผู้นั้น ลุกขึ้นนั่งอย่างหงุดหงิด ลูบหน้าอย่างแรง
เขาอยากจะไปห้องข้างๆ เสียจริง เตะประตูให้เปิด เอาสตรีผู้นั้นกดลงบนเตียงแล้วทำกับนาง
ทำจนนางไร้เรี่ยวแรง ดูสิว่านางจะยังจะตีหน้าบอกหย่าเขาได้อีกหรือไม่
ทว่าเขามิกล้า
เขากลัวว่าหากเขาทำเช่นนั้น เขาจะเสียนางไปจริงๆ
เขารู้ดีว่าสิ่งที่อวิ๋นอี้พูดเกี่ยวกับการหย่า มิใช่แค่การขู่
หรงซิวไม่เข้าใจเลยจริงๆ เขายังดีกับนางไม่พอหรืออย่างไร? เหตุใดนางถึงพูดเื่หย่าร้างได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น? นางมิมีความคิดถึงและความเสน่หาในตัวเขาเลยหรือ?
การที่เขาไปกับหว่านฉือ เป็สิ่งที่นางอนุญาตเอง เหตุใดนางยังต้องคิดเล็กคิดน้อยอีกเล่า
แม้ว่าเขาจะไม่ควรอยู่ที่จวนหว่านฉือทั้งคืน ทว่ามิได้มีกระไรเกิดขึ้นสักนิด นางกลับไม่เคยให้โอกาสเขาอธิบายเลย
หรงซิวยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นเรื่อยๆ ล้มตัวลงนอนหงาย มองเพดานอย่างเหม่อลอย
สุดท้ายเขากลับมิได้กระไรเลย
เมื่อใกล้จะรุ่งสาง เขาก็ยังไม่มีคำตอบ เขางีบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตื่นมาไปทำงาน
สองชั่วยามหลังจากที่หรงซิวจากไป อวิ๋นอี้พลันตื่นขึ้น
ด้วยดวงตาสีแดงและบวม นางเรียกเซียงเหอให้มาอาบน้ำแต่งตัวให้นาง
เซียงเหอเป็คนที่ซ่อนอารมณ์มิได้ ทันทีที่นางเข้ามา ใบหน้าของนางพลันเต็มไปด้วยความกังวล นางอยากจะถาม ทว่าเมื่อเห็นอวิ๋นอี้ห่อเหี่ยว นางกลับมิพูดกระไร
ระหว่างที่แต่งหน้าให้นาง หลายคราที่นางลังเลที่จะพูด อวิ๋นอี้เห็นก็หนักใจ จึงพูดแทนนางว่า “มีกระไรก็พูดเถิด”
เซียงเหอมุ่ยปาก พูดเสียงเบาว่า “พระชายาเพคะ...”
“มีกระไร?”
เซียงเหอเม้มปาก ทว่ามิรู้ว่าจะเริ่มจากที่ใด
นางได้ยินการทะเลาะกันระหว่างองค์ชายกับพระชายาเมื่อคืนนี้ ในส่วนของหว่านฉือ นางเข้าใจดี
เมื่อสองปีที่แล้ว ที่อวิ๋นอี้ยังไม่ความจำเสื่อม ก็ได้รู้ความสัมพันธ์ลับๆ ของหรงซิวและหว่านฉือโดยบังเอิญ
ในขณะนั้น นางก็ใและเศร้าเช่นกัน ทว่าสุดท้ายนางไม่พูดกระไรเลย ปล่อยให้เื่นี้ผ่านไป
เพราะถึงอย่างไร ผู้ใดก็รู้ว่าท่านหญิงหว่านฉือมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
ทว่ามิคาดคิดเลยว่าสองปีต่อมา แม้จะความจำเสื่อมไปแล้ว กลับยังต้องมาค้นพบเื่ที่ไม่ควรจะรู้อีกจนได้
เซียงเหอถอนหายใจในใจ มิรู้ว่าเป็โชคชะตาหรือความรักกันแน่ที่ทำให้นางต้องเจ็บ
นางค่อยๆ ถ่ายทอดความคิดในใจอย่างรวดเร็วและรอบคอบ ถามขึ้นอย่างไม่มั่นใจ “เื่ระหว่างองค์ชายกับท่านหญิงหว่านฉือ...ท่านเปิดใจกว้างหน่อยเถิดนะเพคะ”
อวิ๋นอี้ประหลาดใจ “เ้ารู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาหรือ?”
เซียงเหอถูกถาม จึงต้องอธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่าเกิดกระไรขึ้นเมื่อสองปีก่อน
อวิ๋นอี้ได้ฟังแล้วพลันตอบอ้อยาวๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วข้าจะเปิดใจได้อย่างไร?”
“เพียงแกล้งทำเป็มิรู้ หรือพยายามไม่สนใจเพคะ” เซียงเหออธิบาย “ในต้าอวี่ของเรา โดยเฉพาะกับคนอย่างองค์ชายแล้ว การมีชายาสามสนมสี่คนถือเป็เื่ปกติมาก นี่เป็เหตุผลที่ข้าบอกให้พระชายารีบตั้งครรภ์ เพียงแค่ท่านมีลูก ตำแหน่งพระชายาเอกก็จะมั่นคง แม้ว่าท่านหญิงหว่านฉือนั่นจะเข้ามาภายหลัง จะต้องเรียกท่านว่านายหญิง ความรักของบุรุษมิมีวันที่จะยืนยาวเพคะ ทว่าตำแหน่งและสถานะของท่านจะรักษาไว้ได้เสมอ”
นางพูดได้อย่างมีเหตุผล ทว่าน่าเสียดายที่ อวิ๋นอี้มิใช่สตรีที่จะพอใจเพียงสถานะเท่านั้น
หากปราศจากสิ่งลวงตาเ่าั้ นางก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
ทว่าสิ่งที่นางรับมิได้ คือการเป็คนโง่ปิดหูปิดตาอยู่ในความรักที่ไร้ความซื่อสัตย์
“เ้าไม่เข้าใจ” อวิ๋นอี้ส่ายหัว “ข้า้าเป็เพียงหนึ่งเดียว หากเขาให้ข้ามิได้ ย่อมมีบุรุษอื่นให้ข้าได้เสมอ ข้ามิได้ขาดเขามิได้ เพียงแต่ว่ามีเขามันดีกว่า หากเขาให้ข้ามิได้ในสิ่งที่ข้า้า ข้าก็ไม่ปวดใจหากจะต้องละทิ้งมันไป”
เซียงเหอยังเด็กอยู่และเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่บุรุษเหนืออยู่สตรี นางจึงถามอย่างสับสน “พระชายา ท่านกำลังพูดกระไรเพคะ หมายความอย่างไร?”
อวิ๋นอี้ไม่ตอบอีก
ขณะที่นางนิ่งเงียบ หรงซิวที่เพิ่งออกจากราชสำนักก็เต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ไม่มีที่ระบาย จึงลากองค์ชายเก้าหรงหลินไปร้านอาหารด้วยกัน
ทั้งสองสั่งเหล้าสองหม้อและกับแกล้ม
หรงซิวเปิดเหล้าโดยไม่พูดกระไรรีบยกซดไปหลายจอก
หรงหลินที่นั่งข้างเขาขมวดคิ้ว “ท่านพี่เจ็ด เป็กระไรไป? ทะเลาะกับท่านพี่สะใภ้หรือ?”
“ชัดเจนเช่นนั้นเลยหรือ?” หรงซิวมุ่ยปากแล้วดื่มอีก
หรงหลินมีเื่สนุกแล้ว นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเห็นหรงซิวกังวลและฟุ้งซ่านเื่อวิ๋นอี้ เขาจึงเลิกคิ้วขึ้น “พวกท่านมิได้ทะเลาะกันตลอดอยู่แล้วหรือ? มิเคยเห็นท่านหงุดหงิดเช่นนี้เลย เกิดกระไรขึ้น?”
จะมีกระไรเสียอีก!
สตรีบ้าไร้เหตุผลอยากจะหย่ากับเขา!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้