องค์หญิงกับผู้าุโหนานซานน่าจะมีเื่ต้องพูดคุยกันอีก จึงไล่เยี่ยนเจาเจาออกไปข้างนอก
เยี่ยนเจาเจาเองก็อยากคุยกับหนานิเหอเลยรีบวิ่งออกมา
ไม่รู้ผู้ใหญ่สองคนในห้องโถงหลักคิดสิ่งใดอยู่ จู่ๆ ก็ะเิเสียงหัวเราะแ่เบาตามหลัง
เยี่ยนเจาเจาไม่คิดสอดแนมว่าท่านแม่กับผู้าุโหนานซานกำลังพูดอะไรกัน นางยกกระโปรงขึ้น แล้วเร่งความเร็วฝีเท้าทันที
“ไอ้หยา หายากที่จะเห็นตอนเขาตะขิดตะขวงใจเช่นนี้”
ผู้าุโหนานซานม้วนเคราพลางนั่งลงบนที่นั่งทางขวามือขององค์หญิงด้วยท่าทีเป็กันเอง
“อย่าดูเบาคนหนุ่มเล่า” องค์หญิงแย้มพระสรวลมีเลศนัย
ผู้าุโหนานซานเบิกตากว้างทันที “คิดเช่นนี้ผิดแล้ว อย่างไรข้ากับเขาก็ผูกมิตรกันมามากกว่าหนึ่งหรือสองปี เขาคงไม่ก้าวร้าวกับข้าเพราะเื่เล็กน้อยแค่นี้กระมัง?”
“เ้าไม่รู้หรือว่านิสัยของเขาเป็อย่างไร?”
องค์หญิงทำทีเป็ดื่มน้ำเพื่อปิดรอยสรวลที่สะกดไม่อยู่บนพระพักตร์
“หากเขาย้อนกลับมาลงมือกับเ้าก็อย่ามาขอร้องให้ข้าช่วยเล่า ข้าไม่ได้บอกให้เ้ากล่าวเช่นนั้นเสียหน่อย”
การแสดงออกบนใบหน้าผู้าุโหนานซานมีสีสันขึ้นทันที เขาอ้าปากพะงาบๆ เพื่อจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ตอนกำลังจะพูดก็รู้สึกคันจมูกยิบๆ ขึ้นมา พออ้าปากเลยจามออกมาไม่หยุด
องค์หญิงแย้มสรวลจนดวงเนตรหรี่ลง “ดูสิ ข้าเคยบอกแล้ว กรรมมาทันตาเห็นเลยไม่ใช่หรือ?”
ผู้าุโหนานซานยังอยากเถียงสักหน่อย แต่การจามไม่หยุดทำให้เขาพูดไม่ได้เลยสักคำเดียว จำต้องจามต่อไปจนน้ำหูน้ำตาไหล ดวงตาบวมแดงก่ำเหมือนกระต่าย
“ข้า...ข้าช่าง...ถ่ายทอดวิชาให้หมด...จนกลายเป็อาจารย์อดตายจริงๆ! ฮัดชิ้วๆๆ!”
ผู้าุโหนานซานจามจนปอดแทบหลุดออกมาก็ยังฝืนพูด ผลสุดท้ายจามหนักกว่าเดิม ให้คนมองตลกขบขัน
ระหว่างที่จามออกมา เขาไม่ระวังเผลอถูเครายาวบนหน้าตนเองออก มองดีๆ ถึงเห็นว่าเครานั้นเป็ของปลอม
“เ้ายังไม่เข้าใจความคิดอ่านของเด็กคนนั้นหรือ ปกติเขาเป็คนเ็า แต่หากแตะเกล็ดย้อนของเขาเข้า เขาก็ลงมือโเี้ยิ่งกว่าผู้ใดเสียอีก”
องค์หญิงถอนปัสสาสะ มองสภาพปัจจุบันของผู้าุโหนานซาน แล้วเอ่ยอย่างจนปัญญาเล็กน้อย “สภาพของเ้าตอนนี้อย่าเพิ่งพูดเลยดีกว่า จะยิ่งทรมานเอาเปล่าๆ ข้าเองก็สุดวิสัยจะช่วยเหลือเช่นกัน”
ผู้าุโหนานซานพูดไม่ออกจริงๆ ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งจิบชากว่าจะสงบลง ทว่าหนวดปลอมที่ติดบนใบหน้าเขาหลุดลอกออกไปหมดแล้ว ดูอเนจอนาถอย่างยิ่ง
รอยสรวลบนพระพักตร์องค์หญิงค่อยเลือนหายไป “หากเป็คนอื่น นี่นับว่าอกตัญญูเลี้ยงไม่เชื่องแล้ว เพียงแต่พวกเราไม่เหมือนใคร”
ยากจะคาดเคาความนัยลึกซึ้งของประโยคนี้ ผู้าุโหนานซานเดิมคิดว่าตนเข้าใจหลายอย่างแล้ว แต่เมื่อคิดลึกลงไปอีก แววตานิ่งเรียบไร้คลื่นอารมณ์คู่นั้นก็ปรากฏวาบเบื้องหน้าอีกครั้ง เลยรีบสลัดความคิดทั้งหมดออกจากหัว
“เขายังจะกินข้าลงหรือ? ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ครองตำแหน่งแบบอย่างที่ดีอยู่”
ผู้าุโหนานซานถอนหายใจอย่างเฉยเมย เอื้อมมือไปหยิบผลไม้บนโต๊ะมาทาน ก่อนเอ่ยเปลี่ยนเื่ “ไม่พบองค์หญิงน้อยมานาน นางดูคล้ายองค์หญิงมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นเห็นมาดของพระองค์สมัยก่อนสองส่วนเลย”
องค์หญิงน้อยย่อมหมายถึงเยี่ยนเจาเจา
เยี่ยนเจาเจาไม่เคยรู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาสังกัดกององค์หญิงล้วนแอบเรียกนางว่าองค์หญิงน้อย ซึ่งไม่ว่าเยี่ยนเจาเจาจะได้รับการแต่งตั้งจากฮองเฮาแห่งต้าซีหรือไม่ ฐานะของนางย่อมไม่มีวันเปลี่ยน
“ยังมาพูดอีก” องค์หญิงแค่นเสียงเ็า “เ้าไม่ตั้งใจฟังคำพูดนางหรือ? ”
ผู้าุโหนานซานถึงกับงุนงง “ประโยคไหน? ”
“ประโยคสุดท้าย” องค์หญิงวางถ้วยชาลงเบาๆ หรี่ดวงเนตรย้อนคิดถึงท่าทางตอนเยี่ยนเจาเจาเอ่ยประโยคนั้นเมื่อสักครู่
“นางถามเ้าว่าชอบจันทน์หอมหรือเปล่า”
ไม้จันทน์มีกลิ่นหอมเย็นอ่อนจางชวนผ่อนคลายสบายใจ ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนชอบไม้จันทน์...แต่ยังมีความเป็ไปได้อีกอย่าง คือมีสถานที่หนึ่งที่เต็มไปด้วยไม้จันทน์
คำพูดเหล่านี้เหมือนน้ำเย็นจัดสาดไปยังศีรษะผู้าุโหนานซาน สีหน้าของผู้าุโตะลึงค้าง ก่อนเอ่ยพึมพำว่า “ไม่...ไม่น่าเป็ไปได้กระมัง? ”
“เดี๋ยวนี้นางไม่ค่อยพูดจาไร้สาระแล้ว ในเมื่อนางพูดเช่นนี้ เกรงว่าคงพอเดาที่มาของเ้าได้ เพียงแต่คร้านจะคิดมากเพราะเห็นแก่หน้าข้า
เ้าห้ามลืมเด็ดขาดเล่า แม้ว่านางไม่ได้ใช้แซ่เหลียง ทว่านางก็เป็บุตรสาวของสกุลเหลียงเก่าข้า”
องค์หญิงยิ้ม ั์เนตรแฝงความห่วงหาและเจือความภาคภูมิใจเล็กน้อย
เยี่ยนเจาเจาไม่รู้บทสนทนาที่เกิดขึ้นในห้องโถงหลัก ใจนางจดจ่อเพียงว่าหนานิเหอจะพูดได้หรือไม่ หลังจากเดินวนอยู่สองรอบ สุดท้ายก็พบหนานิเหอที่ยืนหลุบตาอยู่เงียบๆ ภายใต้กำแพงดอกเถิงหลัว[1]
“พี่ชายรอง ต่อไปท่านจะพูดได้แล้วนะเ้าคะ”
เยี่ยนเจาเจายินดีอย่างยิ่ง
ในที่สุดก็มีหนทางรักษาลำคอเด็กหนุ่มที่ชาติก่อนมอบความรักความห่วงใยของพี่ชายทั้งหมดให้แก่นาง เยี่ยนเจาเจาย่อมรู้สึกดีใจเพียงเท่านั้น
ท่าทางของหนานิเหอสงบนิ่งกว่าเยี่ยนเจาเจาซึ่งตื่นเต้นมาก มีแค่สายตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนของเขายามมองไปยังนาง
หนานิเหอพยักหน้าเล็กน้อย เขาวางมือลงบนผมเยี่ยนเจาเจาแล้วลูบเบาๆ ก่อนอ้าปาก
แต่เยี่ยนเจาเจาก็ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจธรรมดา อาจเพราะเขาไม่ได้พูดนานแล้ว จึงเอ่ยอะไรไม่ออกสักคำ
“พี่ชายรอง ท่านอยากพูดอะไรเ้าคะ?” เยี่ยนเจาเจาจำได้ว่าตนต้องช่วยสอนหนานิเหอพูด เลยรีบขยับเข้าหาเหมือนสุนัขรับใช้แล้วหรี่ตาถาม
หนานิเหอแตะพวงแก้มของเยี่ยนเจาเจาเบาๆ นางย้อนคิดถึงรูปปากของหนานิเหอเมื่อสักครู่ จึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขาน่าจะอยากพูดนามของนาง
เจาเจา
เจาเจา สว่างสดใส
ในหัวเยี่ยนเจาเจานึกถึงวลีนี้กะทันหันด้วยเหตุผลบางอย่าง อันที่จริงในวลีเพียง้าสื่อคำว่า “เจา” เท่ากับสว่างไสว[2] แต่นางกลับนึกถึงตัวอักษร “ิ” ในชื่อของหนานิเหอด้วย ความรู้สึกสั่นไหวแปลกประหลาดเลยผุดขึ้นมาเรื่อยๆ
“เจา เจา”
เยี่ยนเจาเจาสอนหนานิเหอพูดนามของตนเองทีละคำๆ นางสมาธิจดจ่อ ถึงขั้นเกาหัวพยายามคิดหาวิธีการที่เหมาะสม ไม่ได้สังเกตสักนิดว่าหนานิเหอที่อยู่ข้างๆ เพียงก้มหัวมองแค่แม่นางน้อยบอบบางข้างกาย
“ไอ้หยา พี่ชายรอง ข้าพูดตลอดเลย ท่านพูดสักครั้งสิเ้าคะ”
เจาเจาขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเบี่ยงหน้ามาก็สบเข้ากับั์ตาอ่อนโยนลึกซึ้งของหนานิเหอ ใจพลันเต้นไม่เป็จังหวะ
“เจาเจา”
หนานิเหอทอดถอนใจ เขาค้อมตัวลงมาอยู่ระดับเดียวกับสายตาเยี่ยนเจาเจา เห็นความรู้สึกแปลกใจและปรีดาเหนือการควบคุมที่ปะทุออกมาจากดวงตาเมล็ดซิ่งคู่นั้นดังคาด
บนโลกนี้คงมีเพียงคนนี้คนเดียวที่มีความสุขจากใจจริงเพราะตนพูดได้...สายตานางยามมองเขาไม่เคยแอบแฝงผลประโยชน์และชื่อเสียงใดๆ นางเป็ดั่งแสงสว่างเดียวท่ามกลางความมืดมิดทั้งปวงของเขา
เจาเจาคือแสงส่องทางเพียงหนึ่งเดียว
แสงสว่างเจิดจ้าเช่นนี้ จะให้เขาทำอย่างไร?
จู่ๆ หนานิเหอก็ถูกคลื่นลูกใหญ่ั์ในใจตนกลืนกินจนสับสนมึนงง
เจาเจา เจาเจา เจาเจา...
หนานิเหอพลันรู้สึกหายใจลำบากขึ้นมา แต่ก่อนเขาเพียงอยากปกป้องแสงสว่างขาวสะอาดไร้มลทินบนฝ่ามือนี้เท่านั้น แต่ยามนี้กลับข้ามเส้นที่ขีดไว้ตอนแรกโดยไม่รู้ตัว
ใกล้มาหนึ่งชุ่น[3] ยิ่ง้าเพิ่มอีกหนึ่งฉื่อ[4]
หากได้มาอีกหนึ่งฉื่อ เกรงว่าจะเอาหนึ่งจั้งแล้ว
ความปรารถนาร้อยรัดพัวพันหัวใจของเขาเหมือนหนามเล็กแหลม กระทั่งหายใจยังเจ็บร้าวเมื่อนึกถึง
หนานิเหอไม่ได้คิดเพียงครั้งเดียวว่าตนยังมีโอกาสอีกหรือไม่ และอดไม่ได้ที่จะกระเหี้ยนกระหือรือ อยากทำตามจิตใจโดยไม่ใยดีสิ่งใด สัตว์ร้ายดื้อด้านในตัวของเขามันร่ำร้องพร้อมปะทุออกมานานแล้ว
เขาจะทำอย่างไรดี?
หนานิเหอก้มหน้าเห็นดวงตาบริสุทธิ์คู่นั้นมองตนเองที่ั์ตาขลาดกลัว ในแววตานางไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือจากความสุข...นางยังเป็เพียงน้องสาวของตนเองเท่านั้น
คือน้องสาวที่เขาเคยเรียกกับปาก
หากสัตว์ร้ายหลุดจากกรง เขาคงทำลายนาง
เขาไม่คู่ควร ดินบนพื้นจะอาจเอื้อมดวงตะวันเหนือฟากฟ้าได้อย่างไร...ดวงตะวันควรลอยเด่นเป็สง่า ไม่ใช่ถูกเขาลากลงมาเกลือกกลั้วโคลนตม
หนานิเหอหลับตาด้วยความทุกข์ทรมาน
ทันใดนั้นเขาผลักเยี่ยนเจาเจาข้างกายออก ก่อนเอ่ย “ขอโทษ” ด้วยท่าทีที่เกือบจะเสียมารยาท และรีบหนีกระเจิดกระเจิงไป
เยี่ยนเจาเจายังไม่ทันตั้งสติ เงาร่างของหนานิเหอก็พ้นกำแพงดอกไม้ รีบร้อนจากไปแล้ว
เยี่ยนเจาเจาพลันรู้สึกสูญเสียขึ้นมา ทั้งที่ไม่มีเหตุผลใดที่จะถูกทอดทิ้งด้วยซ้ำ
เกือบหนึ่งเดือนหลังจากนั้น เยี่ยนเจาเจาไม่เห็นเงาร่างของหนานิเหออีกเลย กระทั่งเป็ฝ่ายไปเยี่ยมเยียนก็ยังไม่เคยพบหน้าเขาสักครั้ง
เยี่ยนเจาเจายังจำได้ว่านางต้องสอนหนานิเหอพูด แต่หนานิเหอกลับย้ายออกจากเรือนหิมะมรกตไปอยู่เรือนไกลลิบจากนาง บอกว่าเชิญผู้เชี่ยวชาญมาชี้แนะแล้ว ไม่จำเป็ต้องรบกวนน้องหญิง คำพูดคำจาถึงกับรักษาระยะห่างขึ้น กระทั่งนามเจาเจายังไม่เรียก
หลังเยี่ยนเจาเจาฟังแล้วไม่คิดว่าผิดตรงไหน ทว่าใจนางกลับไม่ยินยอม ความรู้สึกไม่ยินยอมไร้เหตุผลทำให้นางร้อนใจอย่างยิ่ง
หรือตนทำสิ่งใดผิดจนยั่วโทสะหนานิเหอให้โกรธเคืองใหญ่โตเช่นนี้?
ร่างกายของเหรินเหยายังพักฟื้นอยู่ ส่วนเื่ของซ่งฝูจินไร้ความคืบหน้า เยี่ยนเจาเจาเลยอยากออกไปผ่อนคลายจิตใจ
น่าเสียดายที่เฉินเซียงอี๋ถูกญาติผู้พี่ของนางก่อกวนจนปลีกตัวไม่ได้ จึงไม่มีเวลาออกมาเล่นกับเยี่ยนเจาเจา
ความร้อนรนและความน้อยอกน้อยใจของเยี่ยนเจาเจาพอกพูนจนถึงขีดสุด นางคิดว่าไม่ว่าอย่างไรตนก็เป็คนขอท่านแม่ให้เชิญผู้าุโหนานซานมา แม้หนานิเหอจะไม่ชอบตนขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่อย่างน้อยควรต้องขอบคุณนางสักหน่อยมิใช่หรือ
ยามนี้ปิดประตูเรือนไม่มาพบกันเลย หมายความว่าอย่างไร?
เมื่อนางคิดเช่นนี้ ความโกรธก็พลุ่งพล่านขึ้นมา นางคว้าร่มมากางแล้ววิ่งตรงไปยังเรือนพักปัจจุบันของหนานิเหอคนเดียวโดยไม่เรียกกระทั่งหญิงรับใช้
เรือนนั้นห่างไกลมาก ฝนก็ยังเทกระหน่ำ เยี่ยนเจาเจาตัวเล็กนิดเดียว กางร่มก็เหมือนไม่ได้กาง ไม่ต่างอะไรกับบุปผาที่โดนลมฝนพัดจนบอบช้ำท่ามกลางสภาพอากาศอันเลวร้าย
นางฉวยโอกาสแอบวิ่งออกไปตอนเสี่ยวชุ่ยไม่อยู่ และปี้สี่โดนนางสั่งให้ไปหยิบของที่เรือนนภาคราม พอครึ่งค่อนวันเหล่าหญิงรับใช้หานางไม่พบก็ตื่นตระหนก
คุณหนูไปไหนแล้ว?
คุณหนูของพวกนางกำลังวิ่งไปหอร่มรื่นอันไกลโพ้น พอเห็นหนานิเหอยืนนิ่งอยู่ใต้ระเบียงราวกับคิดสิ่งใดอยู่ นางก็อ้าปากะโเรียก “พี่ชายรอง!”
หนานิเหอได้ยินเสียงนางโดยไม่ทันตั้งตัว รูม่านตาเขาหดลงทันที ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้องราวกับหนีภัยพิบัติร้ายแรง
เชิงอรรถ
[1] ดอกเถิงหลัว หมายถึง ดอกวิสทีเรีย
[2] สว่างไสว หมายถึง 明亮 ทับศัพท์ว่า ิเลี่ยง
[3] ชุ่น หมายถึง 1 นิ้ว
[4] ฉื่อ หมายถึง 10 นิ้ว