เยี่ยนชีที่ได้รับาเ็อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่แล้วยังต้องสำนึกผิด “…”
เ้านายเป็คนบอกเองไม่ใช่หรือว่าให้เขาเฝ้าอยู่บริเวณนี้? รอบบริเวณมีผู้คนอาศัย เพื่อปกป้องเ้านายได้ตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเฝ้ายามเงียบๆ บนหลังคา
สำหรับอิฐก้อนนั้น
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจู่ๆ จะมีสตรีนางหนึ่งโผล่มาทุบหัวเขาเช่นนั้น
อย่างน้อยวิชาตัวเบาของเยี่ยนชีในเมืองหลวงก็นับได้ว่าหายากระดับหนึ่งในหมื่น นี่เป็หนแรกที่เขาเจอกับยอดฝีมือที่เข้าใกล้ตนเองได้โดยไม่มีสุ้มเสียง!
ด้วยความเคยชินของหน้าที่ เยี่ยนชีจึงเตือนหนิงโม่ด้วยท่าทีจริงจังขึงขัง
“เ้านาย คนที่ทำร้ายข้าต้องมีวรยุทธ์สูงส่งเป็แน่ ข้าถึงขั้นไม่สามารถรับรู้ได้ว่านางเข้าใกล้เมื่อใด ท่านต้องระวังตัวให้ดี หรือไม่เรารีบมัดตัวแม่ครัวผู้นั้นกลับเมืองหลวงโดยเร็วดีกว่า ในสถานที่กันดารเช่นนี้กลับมียอดฝีมือเร้นกาย นับเป็เื่เหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง น่าโมโหจริงๆ ...”
หนิงโม่เหลือบมองเขา ราวกับกำลังมองคนซื่อบื้อ “แน่ใจหรือว่าเ้าไม่ได้ผล็อยหลับไปจนพลาดท่า? เสิ่นม่านมีวรยุทธ์หรือไม่ คิดว่าข้าจะไม่รู้เชียวหรือ?”
เยี่ยนชี “...”
ก็ได้ เมื่อคืนเขาง่วงจริงๆ ที่สำคัญคือเขาเร่งเดินทางติดต่อกันหลายวัน จึงเหนื่อยล้าเกินไป ทว่าเยี่ยนชียังคิดจะแย้งต่อ “ท่านฟังข้า...”
“ข้าไม่อยากได้ยิน หุบปากเดี๋ยวนี้” หนิงโม่ขัดจังหวะเขาอย่างเ็า
ทันทีที่สิ้นเสียง ประตูห้องก็ถูกเปิดออก เสิ่นม่านถือยาที่ต้มเรียบร้อยและยืนอยู่หน้าประตู จะเข้าก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ดี
“คือว่า... ข้าแค่จะเคาะประตู แต่ประตูห้องของพวกเ้าดันไม่ได้ปิด จึง...”
เปิดเข้ามาทั้งอย่างนั้น… คิดไม่ถึงว่าพวกเ้ากำลังแง่งอนกันอยู่ด้านใน
ชายกำยำผู้นั้นคงทำอะไรผิดก่อนหน้านี้ แล้วมาเพื่ออธิบายกับหนิงโม่ ปรากฏว่าหนิงโม่กลับเหมือนภรรยาตัวน้อยที่แง่งอน ไม่ยอมให้ง้อโดยง่าย!
ขี้งอนสินะ?
ยิ่งได้ยินประโยคหลังของพวกเขา เสิ่นม่านก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตน
สองคนนี้ต้องเป็คู่รักกันแน่นอน!
นางเมินสายตาประหลาดใจของทั้งสองคน จากนั้นยกยาเข้าไปในห้องและวางไว้ข้างเตียง นางถูฝ่ามือยิ้มร่า
“ขอโทษนะพี่ชาย เมื่อคืนข้าคิดว่ามีโจรเข้าบ้าน จึงลงมือหนักไปหน่อย อย่างที่เห็น ยาที่หมอสั่งไว้ข้าต้มมาให้เรียบร้อยแล้ว เ้ารีบดื่มตอนร้อนๆ ขอให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงและหายในเร็ววัน”
หนิงโม่ “...”
มีเพียงเยี่ยนชีที่เบิกตากลมโต เขาจ้องมองเสิ่นม่านหัวจรดเท้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ “เ้าคือคนที่ทุบข้าจนหมดสติเมื่อคืนหรือ?!”
เป็ไปไม่ได้! ผู้หญิงคนนี้หนักกว่าเขาตั้งหลายสิบชั่ง จะเดินบนกระเบื้องโดยที่ไม่มีเสียงเลยได้อย่างไร?
เช่นนั้นวรยุทธ์ของนางต้องสูงกว่าตนมากแน่!
เสิ่นม่านกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา “คือว่า ข้าขอโทษไปแล้ว หากเ้ายังไม่พอใจ หรือไม่เ้าก็เอาก้อนอิฐมาทุบข้าสักทีดีไหม? แบบนี้จะได้หายกัน”
หนิงโม่ที่อยู่ด้านข้างทนดูคนซื่อบื้อสองคนคุยกันต่อไปไม่ไหว จึงเอ่ยด้วยใบหน้าเ็า “เื่เล็กน้อย ไม่ต้องใส่ใจ เยี่ยนชี จำความอับอายเมื่อคืนของเ้าไว้ให้ดี นับจากวันนี้ ให้ฝึกวรยุทธ์เพิ่มวันละหนึ่งชั่วยาม!”
เสิ่นม่านรู้สึกสับสนเล็กน้อย นางเอ่ยเสียงอ่อน
“คือว่า ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเขาจริงๆ เ้าไม่จําเป็ต้องเคียดแค้นเพียงนี้ ไยต้องให้เขาฝึกฝนมาแก้แค้นข้าด้วยเล่า? ข้าเป็เพียงหญิงสาวที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงนะ”
ทันใดนั้นหนิงโม่ก็รู้สึกอ่อนแรง เหมือนไก่คุยกับเป็ด
เขาก้มศีรษะเล็กน้อยและถามด้วยรอยยิ้มว่า “เ้าเคยเห็นหญิงสาวอ่อนแอที่หนักหนึ่งร้อยห้าสิบชั่ง และสามารถเดินแบกแผ่นหินหนักสองร้อยกว่าชั่งด้วยมือเปล่าหรือ?”
เสิ่นม่าน: ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่สบถคำด่าในใจเพียบ
ไม่ง่ายดายกว่าจะเลิกถกประเด็นนี้ไป หนิงโม่ตัดสินใจให้เยี่ยนชีพักที่บ้านสกุลเสิ่นต่อ
สำหรับเื่ที่จะบอกคนภายนอกอย่างไรนั้น เขาให้เยี่ยนชีแสร้งเป็พี่ชายของตนที่มาเพื่อตรวจสอบโรงทำเต้าหู้ กลางคืนพวกเขาจะพักที่ห้องปีกตะวันออกด้วยกัน ยามปกติเยี่ยนชียังสามารถไปช่วยเสิ่นม่านขายเต้าฮวยอีกด้วย
ราวกับได้แรงงานฟรีมาหนึ่งคน เสิ่นม่านดีใจจนปิดไม่อยู่และพยักหน้าอย่างไม่ลังเล คิดสิ่งใดได้สิ่งนั้นจริงๆ เมื่อวานนางกำลัง้าหาคนมาช่วยขายเต้าฮวยอยู่พอดี ตกกลางคืนก็มีผู้ช่วยส่งมาให้ถึงที่
ดูจากหนิงโม่แล้วก็เป็คนดี เช่นนั้นคนที่เขาคบหาดูใจก็น่าจะนิสัยใช้ได้! ด้วยเหตุฉะนี้ เยี่ยนชีจึงได้พักที่บ้านหนึ่งวัน ก่อนจะถูกหนิงโม่บังคับให้ไปขายเต้าฮวยที่ตำบล
จะพูดอย่างไรดี? ชายผู้ห้าวหาญแข็งเป็ก็ต้องอ่อนให้เป็ การขายเต้าฮวยในสถานที่กันดารกระทั่งนกยังไม่อุจจาระ มันจะอย่างไรกันเชียว?
ยิ่งไปกว่านั้น เต้าฮวยนี้ก็อร่อยจริงๆ!
วันที่หนึ่งเดือนสิบ โรงทำเต้าหู้ของเสิ่นม่านเริ่มเปิดอย่างเป็ทางการ
เพราะเพิ่งเริ่มทำเต้าหู้ เสิ่นม่านจึงยังไม่มีชื่อเสียงมากนัก ดังนั้นในวันเปิดโรงงานจึงเงียบเหงา นอกจากคู่สามีภรรยาตระกูลจางที่มาแต่เช้า แล้วยังมอบป้ายที่เขียนด้วยตนเองว่า ‘โรงทำเต้าหู้สกุลเสิ่น’ ยังมีแผ่นหินโม่ ม้วนผ้า และเสบียงอาหารเป็ของขวัญ
ของขวัญที่นำมาด้วยนั้นเต็มสองคันรถ ทำเอาชาวบ้านทั่วไปที่ต่างก็มามอบของขวัญให้เสิ่นม่านเช่นกัน รู้สึกทั้งชื่นชมและอิจฉา
เมื่อได้รับก็ต้องตอบแทน เสิ่นม่านเตรียมของตอบแทนไว้แต่แรกแล้ว ซึ่งก็คืออาหารที่นางทำเอง ผลไม้แช่แข็งและผลไม้แช่อิ่ม รวมถึงขนมของหวานของคาวและผักดอง รวมถึงของเล็กๆ น้อยๆ อีกครึ่งคันรถ
นางเฉินเปิดชิมตรงนั้นพร้อมกล่าวชมเชยไม่ขาดปาก
นอกจากตระกูลจางแล้วยังมีเหล่าเกิงและพวกพ้องที่มาแสดงความยินดี
เนื่องจากเสิ่นม่านเคยช่วยชีวิตเขาครั้งที่แล้ว เหล่าเกิงจึงตั้งใจพาพวกพ้องกลับตัวกลับใจ ่นี้มีคนปลูกบ้านในตำบลพอดี เหล่าเกิงกับพวกพ้องจึงไปทำงานก่ออิฐสร้างบ้าน วันหนึ่งได้เงินหลายสิบอีแปะ
แม้ว่าตอนนี้จะหาเงินลำบากกว่าสมัยก่อน แต่อย่างน้อยพวกเขาทั้งหมดก็ไม่ถูกผู้คนรังเกียจหรือถูกทางการเพ่งเล็ง นับว่าเป็การเริ่มต้นที่ดี
เมื่อเห็นเหล่าเกิงนำสุราและเนื้อมาร่วมแสดงความยินดี เสิ่นม่านเองก็มอบของตอบแทนกลับไปให้พวกเขาไม่น้อย ซึ่งเป็สิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเลอค่าในสายตา
รวมถึงชาวบ้านคนอื่นที่มาแสดงความยินดี เสิ่นม่านได้นำของตอบแทนที่เตรียมไว้ล่วงหน้าหลายวันมามอบกลับไป นี่ทำให้ชาวบ้านไม่น้อยรู้สึกเกรงใจ นึกถึงตอนแรก พวกเขาต่างรังเกียจเสิ่นม่านที่ต้องเลี้ยงลูกอย่างยากลำบาก คนที่ช่วยเหลือนั้นมีเพียงหยิบมือ
คิดไม่ถึงว่าเพียงเวลาไม่กี่เดือนนางก็รุ่งเรืองมั่งคั่งถึงขั้นได้เปิดโรงงาน และรับสมัครคนงานโดยไม่ถือสาเื่อดีต ชาวนาอย่างพวกเขาบางคน้าประจบสอพลอ แม้จะนำไข่เพียงไม่กี่ฟองมามอบเป็ของขวัญ แต่เสิ่นม่านก็ตอบแทนกลับด้วยของว่างห่อใหญ่
พวกเขาทั้งหมดรู้สึกละอายเล็กน้อย จากนั้นความประทับใจที่มีต่อเสิ่นม่านก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เว้นก็แต่ครอบครัวคังและคู่แม่ลูกนางจาง
หลายวันก่อนได้ยินว่าสกุลเสิ่นจะเปิดโรงงาน ที่บ้านตาเฒ่าคังพากันเคี้ยวมันเทศกินแต่เช้าตรู่ ฝืนทนพอให้อิ่มท้อง จากนั้นก็พาลูก สะใภ้ และหลานๆ ไปเฝ้ารอที่บ้านสกุลเสิ่น
คนในครอบครัวสกุลเสิ่นสังเกตเห็นพวกเขาแต่แรก แต่เพราะยุ่งกับการต้อนรับแขก จึงเมินเฉยต่อครอบครัวนั้น รอจนคนมาร่วมงานจากไปพอสมควร ตาเฒ่าคังถึงได้ยิ้มแย้มเดินเข้ามาอย่างหน้าด้านๆ
“ม่านเหนียง ขอให้กิจการของเ้ารุ่งเรือง ยินดีด้วย”
เสิ่นม่านไม่อยากสนใจตระกูลนี้ จึงไม่ได้ตอบ เพียงรอดูว่าพวกเขาจะมาไม้ไหนอีก
ตาเฒ่าคังปั้นหน้ายิ้มจนเกร็งไปหมด แต่ไม่เห็นเสิ่นม่านพูดกับเขา จึงได้แต่รวบรวมความกล้าคุยกับนาง
“ม่านเหนียง โรงงานของเ้าขาดคนหรือไม่? ข้าพาครอบครัวมาถามดูว่าพอมีงานให้ทำบ้างไหม หากว่าโรงงานไม่ขาดแคลนคนก็ให้เราทำความสะอาดหรือทำงานบ้านก็ย่อมได้ ขอเพียงเ้าจ่ายค่าแรงและดูเื่อาหารให้!”
-----
