สายตาหวานก้มมองถุงเงินในมือ อย่างมีความหมาย นางค่อย ๆ เดินกลับไปยังเรือนนอน แล้วใส่ถุงเงินที่ได้มาลงในหีบ ก่อนจะขมวดคิ้วแปลกใจ
“หลินหลิน”
“เ้าคะ”
“เหตุใดของมีค่า จึงมีเท่านี้ ท่านพ่อใจดีปานนั้น ข้าไม่เชื่อหรอก ว่าของมีค่าจะมีอยู่แค่นี้”
“คุณหนู ท่านจำไม่ได้เหรอ ทุกครั้งที่นายท่านมอบของมีค่าให้ ฮูหยินก็มักตามมาเอาคืนกลับไปจนแทบไม่เหลือ ครั้งนี้ฮูหยินไม่เห็นว่านายท่านมอบของให้ คุณหนูไม่ต้องกังวลแล้วล่ะ ว่านางจะเอากลับคืนไปอีก” หวางฟางเฟยได้ยินดังนั้น จึงชะงักนิ่ง ค่อย ๆ ปิดหีบเก็บของมีค่าลงช้า ๆ พร้อมแววตาแน่นิ่ง
“เ้าจำได้หรือไม่ ว่านางเอาอะไรไปบ้าง” น้ำเสียงราบเรียบพร้อมท่าทางของหวางฟางเฟย ทำให้สาวใช้เดินเข้ามาใกล้ แล้วพูดขึ้นด้วยความอัดอั้น
“หากนับรวมกัน ของมีค่าที่นายท่านให้ ก็มีมากมายนับไม่ถ้วน แต่เท่าที่ข้าจำได้ ก็มีกำไลหยก มีปิ่นทอง สร้อยมุก แล้วก็แหวนมุกเ้าค่ะ”
“คุณหนูเ้าคะ ฮูหยินเรียกพบเ้าค่ะ” เสียงเรียกของสาวใช้ในบ้านดังอยู่ด้านนอก ทำให้หวางฟางเฟยหันไปเก็บหีบเข้าที่ แล้วเดินออกมาจากห้องด้วยท่วงท่าสง่างาม แววตาไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ เผยออกมา
ชายหนุ่มในชุดสูงศักดิ์สีทองอร่าม คีบอาหารใส่ปากช้า ๆ พลันเลื่อนสายตามองตรงมายัง จิวอี้ซิง ภายในห้องขนาดใหญ่ มีเพียงฮ่องเต้ และจิวอี้ซิงนั่งสนทนากันตามลำพังอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางแสงตะเกียงส่องไสวไปมา
“ในฐานะที่เ้าเป็หัวหน้ากองปราบพิเศษของข้า เื่ของเสนาบดีหลิวซีซวน เ้าสืบไปถึงไหนแล้ว” จิวอี้ซิงในชุดสีขาวยกชาขึ้นดื่มช้า ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เสนาบดีหลิว เป็ขุนนางที่จงรักภักดีต่อราชสำนักเสมอมา เท่าที่ข้าสืบได้ เขาไม่เคยทุจริตแม้มีโอกาสมากมาย ด้วยความตรงไปตรงมาของเขา อาจขัดผลประโยชน์ จึงถูกให้ร้ายจนต้องออกจากราชการ กว่าเื่จะมาถึงข้า ก็สายเกินไป ท่านเสนาบดีหลิวตัดสินใจจบชีวิตตัวเองไปแล้ว” ฮ่องเต้ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน หยุดชะงัก พลันรินชาใส่ถ้วยช้า ๆ แล้วพูดขึ้น
“ข้าเคยพบเสนาบดีหลิวตอนที่ข้าเป็รัชทายาท เขาไม่ใช่คนอ่อนแอ ขนาดจะฆ่าตัวตายได้ เ้าคิดว่ามีเบื้องลึกเื้ัมากกว่านี้หรือไม่”
“หากมองเพียงผิวเผิน หน้าที่ของเสนาบดีหลิว เป็เพียงผู้คุมการก่อสร้าง แทบไม่มีอำนาจเกี่ยวกับภาษี ยากเหมือนกันที่จะสืบหาสาเหตุที่แท้จริง ทว่าเมื่อไม่มีกี่วันก่อน บุตรสาวของเสนาบดีหลิว ก็โดนกระบี่ของคนร้ายปลิดชีพไปอย่างไร้สาเหตุ ข้าคิดว่าเื่นี้บังเอิญเกินไป ต้องมีเบื้องลึกเื้ัอย่างแน่นอน” ฮ่องเต้พยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ
“เช่นนั้น ข้ามอบหมายหน้าที่ให้เ้า สืบหาความจริงที่เกิดขึ้นกับสกุลหลิว”
“นอบรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” จิวอี้ซิงน้อมกายลงรับบัญชาจากฮ่องเต้ ก่อนฝีเท้าของใครบางคน จะทำให้เขาหยุดนิ่ง ทอดสายตาไปยังพระสนมเถียนหลัน อดีตคนรักของเขาที่เพิ่งถูกแต่งตั้งเป็พระสนมได้ไม่นาน สองสายตาผสานสบกันอย่างมีความหมาย ก่อนจิวอี้ซิงจะน้อมกายเคารพพระสนมด้วยกิริยานอบน้อม
“ข้ากำลังคุยงานอยู่กับมือปราบ เ้าเข้ามาด้วยเหตุใด” สุรเสียงของฮ่องเต้ตรัสถาม ทำให้หญิงสาวผู้เลอโฉมส่งยิ้ม แล้วเดินเข้ามาหาพร้อมวางถาดขนมลงด้านข้าง
“หม่อมฉันทำขนมเถียนผิ่นมาถวายเพคะ” จิวอี้ซิงทอดสายตามองขนมเถียนผิ่นที่ว่า ด้วยสายตาแน่นิ่ง นางตั้งใจรื้อฟื้นความทรงจำระหว่างเขาและนาง เพราะรู้ว่าเขาโปรดปรานขนมชนิดนี้มากเพียงใด
“เ้าลองชิมดูนะจิวอี้ซิง ฝีมือของพระสนมเถียนหลัน ไม่เป็รองผู้ใด” ชายหนุ่มน้อมกายเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ เอื้อมไปหยิบขนมชิ้นนั้นใส่ปาก พร้อมความทรงจำระหว่างเขาและนางลอยเข้ามาให้ระลึกถึง ความเ็ปโลดแล่นทิ่มแทงหัวใจ จนแทบไม่อาจฝืนกลืนขนมชิ้นนั้นลงคอได้
“ไม่ถูกปากเ้าเหรอ” เมื่อฮ่องเต้เห็นอีกฝ่ายวางขนมลงด้านข้าง จึงขมวดคิ้วแปลกใจ
“ขนมอร่อยมาก แต่ว่าข้ารู้สึกอิ่มแล้ว” สายตาของพระสนมเถียนหลันมองเขาด้วยสายตาสั่นไหว นางเก็บความรู้สึกเ็ปในท่าทีเฉยเมยของอีกฝ่าย แล้วน้อมกายลงเคารพฮ่องเต้พลันเบี่ยงตัวเดินจากไป โดยที่สายตาของจิวอี้ซิงพยายามอย่างมาก เพื่อไม่หันกลับไปมอง
หวังเถียนหลันคือหญิงสาวคนเดียวในโลกที่สามารถฝ่ากำแพงสูง เข้ามานั่งในใจเขาได้ นางเพียบพร้อมงดงามทั้งกายและใจ ทว่าเวลานี้นางอยู่สูงเกินกว่าคนธรรมดาเช่นเขาจะอาจเอื้อม ยิ่งควรเก็บซ่อนความรู้สึกต่าง ๆ ไว้และปล่อยให้ความรู้สึกนั้นค่อย ๆ ตายจากใจ ดวงตาแดงระเรื่อที่พยายามเก็บซ่อนความเ็ปต่าง ๆ ทำให้ฮ่องเต้เอ่ยถาม
“เ้ามีอะไรในใจหรือไม่” จิวอี้ซิงได้สติกลับมา
“เื่ที่พระองค์มอบหมาย ข้าจะทำให้เต็มที่”
“ข้าไม่ได้หมายถึงเื่งาน ข้าหมายถึงเื่ส่วนตัว เ้ามีอะไรในใจ ก็ควรบอกข้า เราสองคนเป็สหายกันั้แ่เรียนหนังสือ เ้าคือคนที่ข้าไว้ใจมากที่สุด อะไรข้าพอช่วยเหลือเ้าได้ ข้าก็จะทำ” จิวอี้ซิงได้ยินดังนั้น จึงยิ้มบางเบา แล้วเอ่ยขึ้น
“ข้าซาบซึ้งเป็อย่างมาก แต่เื่คาใจเป็เพียงเื่เล็กน้อย ที่ข้าจัดการได้ไม่ยาก” เขาตอบด้วยท่าทางราบเรียบ เป็ลักษณะนิสัย ที่ฮ่องเต้คุ้นเคยเป็อย่างดี จึงไม่เซ้าซี้ให้มากความ