ตอนที่ 4
แสงอาทิตย์ที่ส่องลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาเป็ผลให้เทียนอี้เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยพลางขยับตัวซุกเข้าหาความอบอุ่น เสียงเปลี่ยนหน้ากระดาษดังขึ้นภายในห้องที่เงียบสงบ เคล้าไปกับกลิ่นของเครื่องหอมโบราณที่ถูกวางเอาไว้ไม่ไกลจากเตียงนอน
ดวงตาคมสวยปิดลงอย่างผ่อนคลายพร้อมกับวงแขนที่โอบกอดสิ่งของใกล้ตัวอย่างเคยชิน ทว่ากลิ่นหอมเป็เอกลักษณ์ที่ลอยแตะจมูกกลับทำให้ต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งอย่างนึกแปลกใจก่อนจะขยับตัวขึ้นลุกพรวดพราดทันทีเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเป็ใคร
!!!
เพราะการขยับตัวที่รวดเร็วเกินไปซ้ำยังประมาทไม่ระวังตัว ศีรษะจึงไปโขกกับเหลี่ยมหัวเตียงไม้แกะสลักเข้าเต็มแรง ทว่าฝ่ามือของใครอีกคนที่ยกขึ้นมากันรองรับแรงกระแทกได้อย่างทันท่วงทีจึงทำให้ไม่เจ็บตัวมากนัก
"ถ้าเฮียไม่เอามือรองไว้เธอคงได้หัวแตกจริงๆ"
น้ำเสียงนุ่มทุ้มแหบพร่าเล็กน้อยใน่เวลาเช้า มือข้างหนึ่งยกแก้วชาขึ้นดื่มก่อนจะหลุบสายตาลงสบกับดวงตาคมสวยที่ตวัดขึ้นมามองกันอยู่ก่อนแล้ว
"ฉันขอร้องนายหรือไง"
เกิดความเงียบสงบโอบล้อมรอบกายชั่วขณะหนึ่งหลังจากนั้น จางเหวินซานไม่ได้กล่าวตอบสิ่งใด เพียงสางเรียวนิ้วเกลี่ยกับเส้นผมสีเข้มของอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าก่อนจะดึงมือออกกะทันหันจนเกิดเสียงศีรษะโขกกับเหลี่ยมหัวเตียงพร้อมกับคำสบถหยาบคายดังขึ้นชัดเจน
ปัก!!
"แม่ง..เจ็บฉิบ!"
"อวดดีไม่เข้าเื่"
เทียนอี้ครั้นเมื่อได้ยินถ้อยคำปรามาสก็อ้าปากเตรียมจะถกเถียงกลับก่อนจะหยุดชะงักนิ่งแล้วตัดสินใจล้มเลิกความตั้งใจดังกล่าวออกไป เมื่อคืนนี้จบลงด้วยการที่เขายอมแก้มัดให้กับอีกฝ่ายแล้วนอนหันหลังใส่กันตลอดทั้งคืน ด้วยขนาดของเตียงคิงไซส์จึงไม่เป็ปัญหาที่จะแบ่งอาณาเขตกันอย่างชัดเจน
ทว่าเช้าวันนี้กลับกลายเป็ภาพที่ตัวเขานอนกอดท่อนแขนของผู้เป็สามีอยู่กลางเตียง ซ้ำยังเอาหน้าซบอยู่นานตามความเคยชิน ตื่นมาก็ยังไม่วายเกิดอุบัติเหตุต่อหน้าของอีกฝ่ายด้วยความเซ่อซ่าของตัวเอง เหตุผลนี้นี่แหละที่ทำให้คนอย่างหวังเทียนอี้รู้สึกอับอายจนแทบอยากมุดแผ่นดินหนี
"ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำเตรียมตัว"
"ไปไหน"
"ไปมาเก๊า เฮียมีงาน"
เอ่ยตอบกลับทั้งใบหน้าที่ยังคงจดจ้องหนังสือในมือพลางรินชาใส่แก้วอย่างพิถีพิถัน ครั้นเมื่อผู้ฟังยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับตัวไปไหนตามคำสั่งจึงเงยหน้าขึ้นมองสบ เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้าทว่าชัดเจน
"ต้องให้เฮียอุ้มไปอาบน้ำด้วยไหม?"
ปุ!!
หมอนใบใหญ่ถูกปาอัดใส่หน้าผู้เป็สามีทันทีที่ได้ฟังทว่ากลับถูกรับไว้ได้ทัน ร่างขาวรีบถดตัวลงจากเตียงแล้วเดินตรงดิ่งไปเข้าห้องน้ำทันทีโดยไม่รอเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ตอบโต้อะไรกลับมาทั้งสิ้น
ผ่านไปหลายนาที บานประตูห้องน้ำถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับร่างสูงสมส่วนที่ก้าวเดินออกมาอย่างสบายตัว ดวงตาสีน้ำตาลสวยกวาดมองผู้เป็สามีในชุดสูทสีเทาเข้มที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มเดิมอยู่บนโซฟาไม่ไกล พลันสายตาเหลือบไปเห็นาแบนฝ่ามือข้างซ้ายของอีกฝ่าย...าแที่หวังเทียนอี้ให้ไว้เป็ของขวัญที่ระลึกในงานแต่งงาน
"ยังไม่ได้ทำแผลอีกหรือไง"
ผู้ฟังเพียงละสายตาจากตัวหนังสือช้อนขึ้นมองอีกฝ่าย ยังไม่ทันได้เอ่ยตอบสิ่งใด ตัวเ้าของผลงานก็เดินดุ่มออกไปข้างนอกก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลในมือแล้ววางลงบนโต๊ะตรงหน้าผู้เป็สามี
"เดี๋ยวก็ได้ตายจริงๆ"
คราวนี้จางเหวินซานตัดสินใจปิดเล่มหนังสือแล้วเงยหน้าขึ้นถามกลับ
"แล้วทำทำไมั้แ่แรก?"
คนหนึ่งพยายามต้อนให้จนมุม ทว่าอีกคนก็ดื้อดึงมากเสียจนไม่น่าเชื่อ ความจริงแล้วเหล่าคนรับใช้แอบเข้ามาทำแผลให้แล้วเมื่อคืน ทว่าแทนที่จะให้คำตอบอย่างนั้นไป คนาเ็กลับเพียงวางมือลงบนโต๊ะอย่างสื่อความหมาย เทียนอี้ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
"อะไร?"
"นั่งลงแล้วทำแผลให้เฮีย"
"..."
เกิดความเงียบสงบโอบล้อมรอบกายชั่วขณะหนึ่ง ริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากันเล็กน้อยในที่ขณะกวาดสายตามองสลับระหว่างาแในมือและใบหน้าของผู้เป็สามี ครั้นเมื่อได้ยินคำสั่งย้ำอีกครั้งจึงยอมหย่อนกายลงนั่งทั้งสีหน้าที่ยังคงบูดบึ้งจากการถูกบังคับ
สำลีชุบน้ำแอลกอฮอล์ถูกทาลงบริเวณรอบาแอย่างเชื่องช้า ครั้นเมื่ออีกฝ่ายเผลอจึงแอบฉวยโอกาสกดสำลีลงกับแผลอย่างแรงหนึ่งครั้งเพื่อเป็การเอาคืน ทว่าผู้ถูกกระทำกลับเพียงยกแก้วชาขึ้นดื่มช้าๆด้วยท่าทีสงบ ไม่ได้หลุดร้องออกมาแต่อย่างใด
"ชอบนั่งทำแผลให้คนอื่นแบบนี้ไหม"
หวังเทียนอี้แค่นหัวเราะเสียงขึ้นจมูกให้กับคำถามโง่เง่าที่ถูกส่งมา เอ่ยปากตอบกลับไปทันทีโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา
"ใครมันจะไปชอบ"
ร่างสูงพยักหน้าเล็กน้อยให้กับคำตอบ วางแก้วชาที่ถูกดื่มจนหมดลงบนจานรอง ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปหาผู้เป็ภรรยาแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างเนิบช้าทว่าชัดเจน
"ถ้าเธอทำร้ายเหล่ากงอีก ก็ต้องมานั่งทำแผลให้แบบนี้ตลอดเหมือนกัน...ถ้าไม่อยากทำอีก วันหลังก็อย่าทำอะไรสิ้นคิด"
"อย่างกับสอนเด็ก"
"เฮียอายุมากกว่าเธอเกือบสิบปี...เฮียบอกว่าเธอเป็เด็กได้หรือยัง?"
คราวนี้คนอายุน้อยกว่าได้แต่นิ่งเงียบไปไม่สรรหาถ้อยคำใดมาต่อล้อต่อเถียงอีก าน้ำลายระหว่างคนทั้งสองจึงจบลงเพียงเท่านี้ าแในมือยังคงถูกทำความสะอาดให้อย่างระมัดระวัง ท่ามกลางบรรยากาศภายในห้องที่ถูกรายล้อมไปด้วยความเงียบสงบชวนให้อึดอัดเล็กน้อย
ผ้าพันแผลที่ถูกพันให้อย่างเชื่องช้าทำให้รู้ว่าคนใจร้อนอย่างหวังเทียนอี้แท้จริงแล้วพิถีพิถันมากกว่าที่คิด แม้จะทำแผลเสร็จแล้วกระทั่งเริ่มเก็บอุปกรณ์กลับใส่ที่เดิมก็ยังไม่พ้นสายตาของอีกฝ่ายที่ยังคงจับจ้องมองกันอยู่ตลอด ดวงตาสีน้ำตาลตวัดช้อนขึ้นมองก่อนจะเอ่ยถามเสียงอุบอิบ
"มองอะไรนักหนา"
"ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า"
เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อยังไม่เข้าใจคำถามที่จะสื่ออย่างถ่องแท้ ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปชั่วครู่หนึ่งดวงตาคมสวยกลับเริ่มเบิกกว้างขึ้น ยอดอกที่ยังคงบวมแดงเริ่มออกอาการเจ็บเล็กน้อยเมื่อเริ่มรู้ตัว ร่างขาวหยัดกายลุกขึ้น แยกเขี่ยวใส่แล้วปาผ้าพันแผลในมือใส่คนตรงหน้าทันที
"หุบปากไป!"
...
การนั่งเรือเดินทางข้ามจากฮ่องกงมายังเกาะมาเก๊าใช้เวลาไม่นานมาก บรรดาสถานที่บันเทิงและบ่อนคาสิโนตั้งเรียงรายให้เห็นอยู่ระหว่างทางที่ตัวรถขับเคลื่อนผ่าน ก่อนจะหยุดลงที่หน้าแรงแรมหรูระดับห้าดาวแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงดังไปทั่วในหมู่นักท่องเที่ยวและบรรดานักธุรกิจ
โรงแรมหวงหลงคือโรงแรมในความดูแลของกลุ่มจินหลง เป็โรงแรมขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมของจีนดั้งเดิมผสมกับศิลปะโปรตุเกสได้อย่างลงตัว
ภายในมีทั้งห้องพักหรูที่สามารถมองเห็นทัศนวิสัยในเมืองมาเก๊าได้อย่างชัดเจน มีห้างสรรพสินค้าและแบรนด์ดังภายใน ซ้ำยังมีจุดเด่นเป็การเปิดบ่อนคาสิโนขนาดใหญ่ มีลูกค้าเข้าออกเพื่อใช้บริการวันละหลายพันราย กวาดรายต่อปีได้จำนวนมากมายมหาศาลจนนับไม่ถ้วน
"ทางนี้ครับนายท่าน"
ร่างสูงพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปตามทางที่ถูกบอกไว้ ภาพแผ่นหลังกว้างของผู้นำกลุ่มจินหลงในชุดสูทสีเทาเข้มพอดีตัวที่เดินอยู่เบื้องหน้า พร้อมกับกองทัพบอดี้การ์ดที่เดินประกบด้านหลังเพื่อรักษาความปลอดภัย มุ่งเข้าสู่โถงทางเดินกว้างใหญ่ที่ถูกตกแต่งและออกแบบทุกรายละเอียดให้ออกมาสมบูรณ์แบบอย่างประณีตบรรจง
...วินาทีนั้นหวังเทียนอี้จึงได้เรียนรู้ว่ากลุ่มเฟิ่งหวงของตนที่กำลังก้าวถอยหลัง คงเป็ได้เพียงแค่บริวารน้อยๆที่้าอำนาจจากผู้ชายคนนี้เพื่อช่วยต่อลมหายใจให้ตระกูลดำรงต่อไปได้วันต่อวันก็เท่านั้น
"เดินมาหาเฮีย"
น้ำเสียงทุ้มกังวานที่ดังอยู่ไม่ไกลเป็ผลให้สติที่หลุดลอยวิ่งกลับเข้าร่างอีกครั้ง ครั้นเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังหยุดยืนรออยู่ ปีศาจภายในหัวและความดื้อดึงก็เริ่มออกฤทธิ์ทันที ปลายเท้าที่ก้าวเดินอย่างเชื่องช้าหยุดชะงักนิ่งสวนทางกับคำสั่ง
"ทำไมต้องเดินไปหา"
ดวงตาทั้งสองคู่สบกันแน่นิ่งชั่วขณะหนึ่งท่ามกลางบรรยากาศความเงียบสงบที่เข้าโอบล้อมรอบกาย สายตาหลายสิบคู่เริ่มแอบชำเลืองมองอย่างหวาดหวั่นเมื่อผู้เป็ภรรยาทำตัวท้าทายสามีไม่หยุดหย่อน ก่อนที่จางเหวินซานจะเป็ฝ่ายเดินเข้าไปหาเสียเอง
!!!
"ทำอะไร!!!"
ดวงตาสีน้ำตาลสวยเบิกกว้างขึ้นเมื่อร่างทั้งร่างลอยหวือ ถูกจับอุ้มพาดบ่าเหมือนกระสอบทรายท่ามกลางสายตาผู้คนนับสิบ กำปั้นขาวทุบลงกับแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายพลางแยกเขี้ยวขู่ จางเหวินซานเพียงกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นแล้วเอ่ยตอบ
"เธอไม่เดินเฮียก็ต้องอุ้มไป"
"ปล่อยลง!"
"พยายามสิ"
"แม่ง ไอ้เวรเอ้ย!"
เสียงสบถร้องโวยวายดังก้องไปทั่วโถงทางเดิน ยิ่งเห็นว่ามีบรรดาบอดี้การ์ดเดินตามกันมาเป็ขบวนก็ยิ่งรู้สึกอับอาย ครั้นเมื่อทุบหลังสามีจนหมดแรงคนที่แผลงฤทธิ์จึงเริ่มอ่อนกำลังลง ฝ่ามือขาวเปลี่ยนเป็ขยุ้มเสื้อสูทของอีกฝ่ายจนยับยู่พร้อมกับเสียงร้องฟึดฟัดในลำคอแ่เบาเมื่อทำอะไรไม่ได้
ร่างสูงมุ่งเดินตรงสู่ห้องรับรองขนาดใหญ่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้อย่างหรูหรา ก่อนจะปล่อยร่างของภรรยาลงบนโซฟาจนได้ยินเสียงร้องจุกเบาๆ ครั้นเมื่อดวงตาคู่นั้นตวัดขึ้นมองสบกันจึงเริ่มเอ่ยปรามทันที
"ที่นี่ไม่ใช่ที่คฤหาสน์ อย่าดื้อกับเหล่ากงด้วยเื่ไม่เป็เื่"
"แล้วจะเอามาด้วยทำไมั้แ่แรก"
เอ่ยเถียงคำไม่ตกฟาก แม้ว่าจะไม่มีอะไรที่สามารถสู้กับอีกฝ่ายได้ ดังนั้นการต่อล้อต่อเถียงอย่างดื้อดึงจึงเป็วิธีการป้องกันตัวเองปราการสุดท้ายของคนที่ต้องมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยอย่างเขา คล้ายกับว่าาระหว่างคนทั้งสองกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ทว่าเสียงเคาะประตูของบอดี้การ์ดกลับดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
"แขกมาถึงแล้วครับนายท่าน"
เหล่าผู้บริหารและนักลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจสีเทาจำนวนสามถึงสี่คนเดินเข้ามาก่อนจะหยุดชะงักมองเทียนอี้ด้วยสีหน้าและสายตาแปลกประหลาดเล็กน้อย เวลาผ่านไปไม่นาน ทว่าหวังเทียนอี้กลับเริ่มรู้สึกว่าตัวเองถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของคนนอกโดยสมบูรณ์
ไม่ว่าจะเป็เนื้อหาเกี่ยวกับธุรกิจคาสิโนของกลุ่มจินหลงที่เขาไม่เคยรู้เื่ด้วย หรือแม้กระทั่งการใช้ภาษาจีนกวางตุ้งในการสนทนาซึ่งตัวเขาที่มาจากฝั่งทางเหนือไม่เคยใช้และฟังไม่ค่อยเข้าใจ ยังไม่รวมถึงถ้อยคำปรามาสและสายตาแปลกประหลาดที่ได้รับมาตลอดั้แ่มาอยู่ที่นี่คนเดียว
ถึงแม้จะนั่งอยู่ข้างผู้เป็สามี เป็จุดศูนย์กลางของวงสนทนาทว่ากลับไม่ได้มีส่วนร่วม ซ้ำยังดูจะเป็ส่วนเกินเสียมากกว่า เวลาผ่านไปเนิ่นนานท้องไส้ก็เริ่มกิ่ว ครั้นเมื่อหยัดกายลุกขึ้นยืนจะเดินออกไป ข้อมือก็ถูกคว้าไว้ในทันที
"จะไปไหนอีก"
"ไปข้างนอก"
"ได้ข่าวมาว่าอยู่ที่ฮ่องกงไม่กี่วันก็มีข่าวออกมามากมาย"
"..."
"อยู่ที่มาเก๊าคงจะไม่สร้างเื่ให้นายท่านต้องลำบากใจอีกหรอกใช่ไหม?"
เสียงของหนึ่งในแขกคนสำคัญวัยกลางคนเอ่ยขึ้นแทรก จงใจใช้ภาษาจีนกลางพูดเพื่อให้เขาเข้าใจอย่างโจ่งแจ้ง ดวงตาคมสวยตวัดมองผู้พูดอย่างเอาเื่ก่อนที่แขกอีกคนจะเอ่ยขึ้นเสริมเมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับที่ไร้ซึ่งมารยาท
"ผมคิดว่านายท่านอบรมสั่งสอนพฤติกรรมของภรรยาหน่อยก็ดีนะครับ"
คราวนี้หวังเทียนอี้แค่นหัวเราะเสียงขึ้นจมูก ท้าวมือลงกับโต๊ะไม้เนื้อดีอย่างเชื่องช้าทั้งที่ยังยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ ริมฝีปากบางกระตุกแย้มรอยยิ้มเยาะก่อนจะเอ่ยตอบโต้กลับบ้างด้วยอารมณ์ที่เริ่มเดือดดาล
"ห่วงมากนักก็เอาลูกชายลูกสาวของแกมาประเคนให้เขาแทนสิ"
"..."
"ถ้าปากมันว่างมากนักก็เอาน้ำชาเหียกๆนี่กรอกใส่ปากแล้วกลั้วซะ จะได้ไม่ต้องไปทำปากเน่าใส่ใครเขาอีก"
"เทียนอี้"
เสียงเอ่ยเรียกชื่อดังขึ้นกว่าปกติพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่กอบกุมข้อมือขาวแรงขึ้นจนต้องแอบเบ้หน้าเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเจ็บ คนอายุน้อยกว่ากระชากข้อมือหนีให้หลุดจากพันธนาการแล้วเอ่ยเถียงกลับบ้าง
"นายมันก็ดีแต่บังคับฉันนั่นแหละ"
เสียงปิดประตูดังกระแทกตามหลังเมื่อร่างของคนที่เพิ่งจะก่อเื่เดินดุ่มออกไป จางเหวินซานลอบถอนหายใจแ่เบา ดวงตาคมมองตามร่างของภรรยาที่เดินตัวเปล่าออกจากโรงแรมไปผ่านกระจกบนตึกสูงแล้วจึงหันไปหาบอดี้การ์ดที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ไม่ไกล
"ตามไปดูเขา...แค่เดินตามห่างๆไม่ต้องให้รู้ตัว"
...
เกาะมาเก๊าคลาคล่ำไปด้วยรถราและผู้คนมากมาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทว่าอาหารกลับไม่ถูกปากตัวเขาสักอย่าง ร่างขาวเดินเตะฝุ่นออกจากโรงแรมมาไกลมากเสียจนจำทางกลับไม่ถูกแล้ว จะโทษความใจร้อนของตัวเองก็ได้ ทว่าอยู่ตรงนี้ก็ยังดีกว่าต้องมานั่งฟังคำปรามาสจากใครหลายคน ทั้งที่ตัวเขาก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำผิดอะไร
เวลาล่วงเลยผ่านไปั้แ่บ่ายจนถึง่เย็น ทว่าตัวเขากลับยังปรับตัวอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง สำเนียงการพูดของคนในพื้นที่และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วเป็ผลให้เทียนอี้เริ่มรู้สึกอึดอัด จะพูดคุยกับใครแต่ละทีก็ลำบาก ครั้นเมื่อฝ่ายนั้นฟังเขาไม่รู้ความก็ลูกไล่ตะเพิดออกมาบ้างจนมีสภาพอย่างกับคนเร่ร่อนก็ไม่ปาน
"เห้อ"
เสียงทอดถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกับร่างขาวที่หย่อนกายลงนั่งข้างทางอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วนั่งห่อตัวกอดเข่า ดวงตาสีน้ำตาลสวยสะท้อนภาพความวุ่นวายเบื้องหน้า ทุกคนดูมีความสุขต่างจากตัวเขาที่รู้สึกเบื่อหน่ายในสิ่งที่ตัวเองต้องพบเจอ
ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสกลับถูกเมฆเข้าบดบัง มีเสียงพัดอู้ของลมมรสุม หลายๆคนเริ่มวิ่งหาที่บัดบังฝนทว่าชายหนุ่มกลับยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่มีท่าทีจะขยับตัวลุกไปที่ไหนอีก
...อยากกลับปักกิ่ง...
กลับไปที่ที่ไม่มีใครมาว่าเขาเหมือนหมูเหมือนหมาอย่างนี้
สายฝนสาดเทกระหน่ำลงมาอย่างกะทันหันพร้อมกับเสียงฟ้าร้องที่ดังอึกทึกไปทั่ว เนื้อผ้าเริ่มเปียกชุ่มกระทั่งรู้สึกหนาวเหน็บจนต้องห่อตัวเข้าหากันอีก ก่อนที่เงาร่มจะกางอยู่เหนือศีรษะพร้อมกับร่างของใครอีกคนที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
"ลุกขึ้นมา"
ดวงหน้าเงยขึ้นตามเสียงเรียก ก่อนจะพบกับผู้เป็สามีที่ยืนกางร่มให้กันอยู่ ดวงตาทั้งสองคู่สบกันแน่นิ่งชั่วขณะหนึ่ง ครั้นเมื่อคนที่ยังนั่งอยู่ยังไม่ยอมขยับตัวจึงเอ่ยเรียกซ้ำอีกครั้ง
"อาเทียน"
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นหนึ่งครั้งพลันร่างที่นั่งอยู่สะดุ้งเฮือกใหญ่ เรียวนิ้วเริ่มจิกเกร็งเข้าหากันจนขึ้นข้อขาว ร่มใบใหญ่ถูกเอนเข้ามาหามากขึ้นไม่ให้ถูกฝนสาดพร้อมกับน้ำเสียงของผู้พูดที่ดูจะเข้มงวดขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ
"ถ้ายังกลัวเสียงฟ้าร้องอยู่ก็อย่ามาทำตัวอวดเก่ง"
"..."
"ลุกขึ้นมาหาเฮีย"
คราวนี้ร่างสูงสมส่วนยอมหยัดกายลุกขึ้นตามคำสั่ง เสื้อสูทสีเทาเข้มถูกถอดแล้วห่มคลุมไหล่ไว้ให้เพื่อบรรเทาอาหารหนาวเหน็บ ก่อนจะถูกพากลับไปที่รถซึ่งจอดรออยู่ แม้จะยังสงสัยว่าอีกฝ่ายตามหาตัวเขาเจอได้อย่างไร แต่แล้วก็ได้แต่ล้มเลิกข้อสงสัยนี้ไปโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
หงส์ปีกหักตัวนี้ ต่อให้จะตะเกียกตะกายเดินเร่ร่อนหนีไปยังทิศทางไหน ก็ล้วนแล้วแต่เป็พื้นที่ที่อยู่ภายใต้อาณัติของัผู้ยิ่งใหญ่ตนนี้ทั้งนั้น
...
21.30 น.
พายุมรสุมยังคงไม่หมดไป เสียงลมพัดอู้และเสียงฟ้าร้องอึกทึกจากภายนอกยังคงดังขึ้นไม่หยุดหย่อน เทียนอี้ที่ไม่ถูกกับเสียงฟ้าร้องสักเท่าไหร่ครั้นเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกลำบาก ร่างขาวในชุดนอนนอนขดอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ทว่ายังคงไร้ซึ่งความรู้สึกง่วงงุน
ห้องพักภายในโรงแรมเงียบสงบ มีการตกแต่งด้วยกลิ่นอายของจีนย้อนยุคที่ผสมกับสถาปัตยกรรมโปรตุเกสอย่างลงตัว กลิ่นหอมจากเครื่องหอมที่วางอยู่ไม่ไกลช่วยขับกล่อมให้ผู้พักอาศัยรู้สึกผ่อนคลาย ดวงตาคมสวยเหลือบมองใครอีกคนที่ยังคงนั่งอ่านเอกสารอยู่บนเตียงอีกฟากหนึ่งอย่างเงียบๆ
คล้ายกับว่าเขาคงจับจ้องอีกฝ่ายนานจนเกินไป เ้าตัวจึงได้หันหน้ามาถามกันอย่างรู้ตัว
"กลัวเสียงฟ้าร้องจนนอนไม่หลับเลยหรือไง"
"หัวค่ำแบบนี้ใครจะไปนอน"
"ยังต้องให้คนกล่อมนอนตอนฝนตกอยู่หรือเปล่า?"
คำถามต่อมาเป็ผลให้ผู้ฟังชะงักนิ่ง ดวงตาสีน้ำตาลสวยละจากคู่สนทนาแล้วกลอกมองไปทางอื่น เอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงแ่เบา ทว่าฝ่ามือภายใต้ผ้าห่มกลับบีบเข้าหากันเล็กน้อย
"เื่ไร้สาระ"
บทสนทนาหยุดลงเพียงเท่านั้นก่อนที่ร่างสูงจะหยัดกายลุกขึ้นจากเตียงนอนเดินเข้าห้องน้ำไป เวลาล่วงเลยผ่านไป เทียนอี้เริ่มอยู่ในอาการสะลึมสะลือ ภาพแผ่นหลังเปลือยเปล่าประดับรอยสักของอีกฝ่ายปรากฏอยู่ในระยะสายตา มันทรงอิทธิพลและมากด้วยอำนาจ ดึงดูดซึ่งสายตาผู้มองให้จับจ้องอยู่แต่ส่วนนั้นโดยไม่อาจละไปมองสิ่งอื่นใด
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้งโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างบนเตียงสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเริ่มขยับค่อยๆตัวเข้าสู่บริเวณกลางเตียงอย่างแเี
"เฮียคิดว่าเธอกลัวเสียงฟ้าร้องจนนอนไม่หลับ"
"ใครบอก"
"กลัวก็บอกว่ากลัว จะทำเก่งไปเพื่ออะไร"
"อ่อนแอต่อหน้าคนอย่างนายเหรอ เหอะ ฝันไปเถอะ"
คราวนี้ผู้ฟังชักจะเริ่มเืขึ้นหน้า ผงกหัวเถียงคอเป็เอ็น คนอย่างหวังเทียนอี้รักและหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีเสียยิ่งกว่าสิ่งใด เื่แบบนี้ยิ่งยอมไม่ได้ เหวินซานไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด เพียงมองหน้าผู้เป็ภรรยาครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบสายตาลงมองข้อมือของตนที่ถูกฝ่ามือขาวกอบกุมไว้อย่างแแ่
"แล้วเธอจับมือเฮียทำไม"
คล้ายกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านร่างให้ได้สติ หวังเทียนอี้รีบผละมือออกทว่าข้อมือขาวทั้งสองข้างกลับถูกกอบกุมเอาไว้แ่เบาก่อนจะรวบกดลงกับพื้นเตียงเหนือศีรษะเพื่อพันธนาการอย่างแแ่
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงเข้าใกล้เพื่อลดทอนช่องว่างระหว่างกัน กระทั่งได้กลิ่นหอมเป็เอกลักษณ์และััของลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดใบหน้า
"ฉันเกลียดนาย"
น้ำเสียงที่เอ่ยพูดช่างแ่เบา ทว่ากลับยังคงดังมากพอให้ผู้ฟังได้ยินมันอย่างชัดเจน ดวงตาทั้งสองคู่สบกันแน่นิ่งชั่วขณะหนึ่ง พลันบรรยากาศรอบตัวหยุดชะงักนิ่ง ไม่รับรู้ถึงสิ่งใดอีกนอกััเรียวนิ้วของอีกฝ่ายที่เกลี่ยัับริเวณริมฝีปากของร่างใต้อาณัติอย่างหยอกเย้า
"...เหรอ"
"..."
"เฮียก็ไม่ได้พิศวาสเธอสักเท่าไหร่"
ฝ่ามือข้างหนึ่งวางนาบลงปิดดวงตาสีน้ำตาลสวยให้หลับลง พร้อมกับร่างเบื้องบนโน้มตัวลงมาป้อนจุมพิตให้อย่างเชื่องช้า ลำคอขาวถูกกอบกุมไว้แ่เบาแล้วจับบังคับให้เงยใบหน้าขึ้นเพื่อรับััได้อย่างถนัดถนี่ เสียงลมหายใจที่เริ่มถี่กระชั้นดังคละเคล้าไปกับเสียงหยาดน้ำลายฉ่ำแฉะ ริมฝีปากล่างถูกดูดดึงขบเม้มจนบวมเจ่อ กระนั้นก็ยังคงถูกััซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักเบื่อ
มือที่เคยกอบกุมพันธนาการผู้เป็ภรรยาปล่อยออก ก่อนจะลากลงสอดเข้าไปใต้ผ้าห่ม เสื้อไหมพรมถูกเลิกขึ้นไปอย่างช้าๆพร้อมกับฝ่ามือที่ลูบไล้ัักับผิวเนื้อใต้ร่มผ้าอย่างใจเย็น หลังมือประดับรอยสักรูปพระอาทิตย์อย่างประณีตตัดกับผิวเนื้อสีขาวจัด พลันบั้นเอวพอดีมือแอ่นขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกเรียวนิ้วเกลี่ยััอย่างถูกจุด
"อือ"
เสียงครางเครือดังแ่เบาในลำคอ จิกเล็บลงบนแผ่นหลังกว้างเปลือยเปล่าที่บดบังตัวเขาไว้จนมิด รอยสักดุดันบนแผ่นหลังถูกฝ่ามือขาวลูบตะกุยจิกจนเกิดรอยข่วนเป็ทางเมื่อถูกมอบััให้กระทั่งเริ่มหายใจไม่ทัน
"แฮ่ก...วันหนึ่งฉันจะชนะนายให้ดู"
ถ้อยคำเอ่ยขานดังขึ้นพร้อมกับเสียงหอบโกยอากาศเข้าริมฝีปาก ดวงตาคมสวยยังคงถูกฝ่ามือของอีกฝ่ายปิดเอาไว้ ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าผู้ฟังกำลังมีสีหน้าเป็อย่างไร
"อาเทียนน้อยอวดดีจริงๆ"
จะรับรู้ก็เพียงแต่น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่กระซิบอยู่ข้างใบหู พร้อมกับปลายคางที่ถูกจับให้เชิดขึ้นรับััจุมพิตอีกครั้ง...และอีกครั้งตราบจนกว่าผู้เป็สามีจะพอใจ
...
"ถ้าปากมันว่างมากนักก็เอาน้ำชาเหียกๆ นี่กรอกใส่ปากแล้วกลั้วซะ จะได้ไม่ต้องไปทำปากเน่าใส่ใครเขาอีก"
- หวังเทียนอี้ -
...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้