“เด็กน้อย?” เขาลืมตาขึ้นมอง
เห็นเพียงร่างเล็กจ้อยของ่เี่ิ สวมอาภรณ์สีดำยาวของผู้คุมกฎ รอยยิ้มดั่งผกาเบ่งบาน หัวเราะฮิๆ อยู่หน้าประตู มองตรงมายังเขาอย่างปลื้มปิติ เ่ิูอดไม่ได้ที่จะชะงักด้วยคาดไม่ถึง ก่อนว่า “เ้ามาทำไมหรือ?”
เด็กหญิงตัวน้อยหัวเราะอย่างเริงร่า ดวงตาฉายแววกระปรี้กระเปร่า ดั่งแสงอาทิตย์แรกแห่งวสันต์
“พี่ชิงหยู คิดถึงข้าหรือเปล่า?” นางหิ้วกระโปรงยาวไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งหิ้วกล่องข้าวสีแดงสูงเท่าครึ่งตัวนางมาด้วย นางะโโลดเต้นมาหา พลางวางสารพัดอาหารไว้ตรงหน้าเ่ิู
เมื่อเปิดกล่องอาหารออก กลิ่นหอมยั่วจมูกฟุ้งกระจาย
ภายในมีจานชามน้อยใหญ่แตกต่าง บรรจุอาหารน่ากินไว้คละชนิด เห็นได้ชัดว่าปรุงขึ้นอย่างตั้งใจทั้งนั้น
น้ำย่อยเ่ิูเริ่มทำงานอย่างไม่อาจหักห้าม
“ท่านกินก่อนเถอะ กินเสร็จค่อยคุยนะ”
ดวงตางามกระจ่างของนวลนางปรากฏรอยยิ้มพึงใจเด่นหรา นางว่า “ข้ารู้ดี ว่าพี่ชิงหยูถูกขังอยู่ในนี้ทุกวัน ต้องเบื่อมากแน่ๆ ข้าถึงมาส่งของกินอร่อยๆ ให้ไง!”
เ่ิูหัวเราะเบาๆ และไม่คิดเกรงใจ เด็กหนุ่มจัดกับข้าววางไว้บนพื้น ก่อนนั่งลงขัดสมาธิ แล้วสวาปามด้วยความเร็วแสง
สองชั่วโมงผ่านมา ถึงแม้จะทุ่มกำลังฝึกฝน จนการเติบใหญ่ของพลังเติมเต็มเขาด้วยความรู้สึกสัมฤทธิ์ผล ทว่าสำหรับจิตใจของเด็กหนุ่มแล้ว แน่นอนว่าเขาเบื่อหน่ายเหลือเกิน
อาหารของหอพิจารณ์เองก็ห่วยแตกที่สุด ไม่เคยเปลี่ยนแปลงสักที ตัวเขาที่น้อยครั้งจะเลือกกิน รู้สึกอดทนต่อไปแทบไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
กับข้าวน่าลิ้มรสสารพัดอย่างตรงหน้า ถูกบุรุษกลืนกินเข้าไป หมดจดไม่มีเหลือ
ร่างเล็กมองเ่ิูอย่างดีใจ นางหัวเราะไปรินน้ำให้เขาไป
“เด็กน้อย เ้าเข้ามาได้อย่างไรกัน?” เ่ิูเหลือบมองนางพลางถาม “หอพิจารณ์เคร่งครัดเ้าระเบียบ มีแต่อาจารย์คุมกฎเท่านั้นที่เข้ามาได้ ถึงจะเป็อาจารย์ใหญ่ข่งคง ก็ยังเข้ามาไม่ได้...”
เขาแปลกใจจริงๆ
่เี่ิยิ้ม “เคร่งครัดเหมือนที่พี่ชิงหยูบอกตรงไหนกันล่า ข้าแค่ใช้คะแนนแลกใบอนุมัติให้เข้ามาก็เท่านั้นเอง”
“ใช้คะแนนแลกหรือ?” เ่ิูเข้าใจขึ้นมาแล้ว ใจซาบซึ้งแต่ยังคงจับจ้องนางมิคลาดสายตา “พวกคุณหนูลูกเศรษฐีอย่างพวกเ้า ใช้คะแนนอันล้ำค่าแลกกับสิทธิ์เื่ที่จะทำก็ไม่คุ้มไม่ทำก็เสียดายนี่น่ะหรือ?”
เด็กหญิงหัวเราะฮิๆ อย่างไม่ใส่ใจ นางตอบเขาไป “เกลียดจริง ข้าไม่ใช่พวกคุณหนูลูกเศรษฐีอะไรนั่นเลยนะ ระคายหูชะมัดเลย... นี่ก็เกือบสามเดือนแล้ว ข้าคิดถึงพี่ชิงหยูมากๆ เลย แค่หกคะแนนเอง ไม่ใช่เื่เลย ตอนนี้ข้าพลังแกร่งมากแล้วนะ ฮิๆ เก็บคะแนนได้ง่ายมากเลยล่ะ!”
“อะไรนะ? หกคะแนน?” เด็กหนุ่มฟังจบแล้วก็ยกมือเคาะหัวนางเสียงดัง “เ้าก็ยังไม่ใช่ลูกเศรษฐีธรรมดาอยู่ดีนั่นแหละ!”
หกคะแนน มากพอจะแลกกับอาจารย์ระดับสูงที่มีน้ำพุสี่ตามาสอนแนะแนวทางได้หนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ถูกแม่เด็กน้อยนี่เอามาแลกกับใบอนุญาตเข้าหอพิจารณ์เข้าแล้วจริงๆ...
เ่ิูหมดคำจะพูด
“โอ๊ย เจ็บๆๆ” เด็กน้อยปิดหน้าผากป้อยๆ “พี่ชิงหยูท่านก็พูดเกินไปนะ นักยุทธ์ต้องใช้เชาวน์ปัญญาฝ่าฟันทุกอย่าง ถึงจะบรรลุถึงได้แน่วแน่ มีปณิธาน ไม่ให้ใช้ความคิดแง่ร้ายทำความผิด ไม่อาจเข้าทางสายมืด นี่มันเื่สำคัญมากเลยนะ!”
“ข้าไม่มีเพื่อนในสำนักหรอก ข้าเปิ่นเกินไป ไม่มีใครชอบสมาคมกับข้า พี่ก็เข้มงวดกับข้าเหลือเกิน ั้แ่ท่านถูกกักอยู่ที่หอพิจารณ์นี้มา ข้าเบื่อมากเลยนะ เอาแต่คิดเป็ตุเป็ตะ ฝึกยุทธ์ก็ช้า ข้าคิดถึงท่านจริงๆ นะ ถึงได้มาหอพิจารณ์เพื่อพบท่าน ”
เ่ิูฟังเหตุผลเป็ชุดของนางแล้วจะยิ้มก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่ถูก
ในสำนักกวางขาวนี้ นอกจาก่เี่ิแล้ว เด็กหนุ่มก็ไม่มีเพื่อนคนไหนอีก หลายวันมานี้มีหลายครั้งเหลือเกินที่นึกคิดถึงเด็กน้อยตัวเล็ก บอกตามตรง การที่นางมาพบเขาได้ ใจเ่ิูก็ตื้นตันนัก
เพียงแต่ราคาที่แลกมา มากเกินควรไปหน่อยเท่านั้น
พอนึกถึงหกคะแนนนั่นแล้ว เขาก็เจ็บใจไม่น้อย
ทว่าเื่ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว...
เ่ิูก็ทำได้เพียง...กินดื่มให้อิ่มหนำสำราญเท่านั้น
“จะว่าไป สองสามเดือนมานี้ ในสำนักมีเื่อะไรน่าสนุกบ้างหรือเปล่า?” เ่ิูสวาปามไปถามไปเรื่อยเปื่อย
“มีสิ ตอนครึ่งเดือนที่แล้ว สำนักจัดการทดสอบสู้ศึกจริงครั้งที่สอง ฉินอู๋ซวงเป็ที่จับตามองมาก ข่าวว่าเขาพบเื่มหัศจรรย์ ได้สมบัติลับหายากมาชิ้นหนึ่ง ไม่ใช่เล็กน้อยเลย พลังพัฒนาเร็วมากเลยล่ะ”
“เขาเด่นเหนือใครอื่น จนเข้าสู่น้ำพุตาที่สองแล้ว ใครๆ ก็พูดกันว่าพลังของเขามากพอจะเลื่อนชั้นได้เลย การจะเลื่อนไปปีสองไม่ใช่ปัญหา...” เด็กหญิงบรรยายจ้อยๆ
ฉินอู๋ซวงพบเื่มหัศจรรย์?
กลับกัน มันชักน่าสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“แล้วเขาเลื่อนชั้นแล้วหรือยัง?” เ่ิูถาม
เขาค่อนข้างสนใจปัญหานี้พอสมควร
หากฉินอู๋ซวงเลื่อนชั้นได้สำเร็จแล้วล่ะก็ จะกลายเป็ตัวอย่างการลงสอบได้ดีนักแล เขาเองก็อยากลองชิมลางเลื่อนชั้นดูบ้างเหมือนกัน สำเร็จการศึกษาให้ไวที่สุดเท่าที่จะไวได้
“ไม่หรอก” เด็กหญิงส่ายหน้าดิก มองศิษย์พี่อย่างนึกพิเรนทร์ นางเอ่ยต่อ “ที่จริงหัวหน้าหมวดหวังเยี่ยนก็เห็นด้วยกับการที่เขาจะเลื่อนขั้น แต่ฉินอู๋ซวงปฏิเสธเองน่ะสิ”
“ปฏิเสธหรือ? น้ำเข้าสมองมันหรือไง?” เ่ิูชะงัก เกือบจะหายใจไม่ออก กลืนอาหารลงไปอย่างทุลักทุเล
นวลนางร่างน้อยเผยแววตายั่วยุชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นางหัวเราะฮิๆ พลางแถลงไข “ใช่แล้ว ฉินอู๋ซวงพูดเองกับปากเลยนะ ว่าเขาจะรอท่านออกจากหอพิจารณ์ได้ก่อน โค่นท่านด้วยมือตัวเองเสร็จแล้วค่อยเลื่อนชั้น”
ที่แท้ก็อย่างนี้เอง
เ่ิูหัวเราะเฮอะๆ
“ยังมีเื่สนุกอื่นอีกไหม?” เขาเลียจานในมือจนหมด
“อื้ม ขอข้าคิดก่อนน้า...” สาวน้อยเท้าคางครุ่นคิดแล้วนึกได้ “อ้อ ใช่แล้ว เยี่ยนสิงเทียนหายตัวไป”
“อะไร? หายตัวหรือ? หมายความว่า?” เ่ิูใ
“สิบวันก่อนในการทดสอบสู้ศึกจริง เยี่ยนสิงเทียนหายสาบสูญ ไปที่ไหนก็ไม่รู้ เป็หรือตายก็ไม่ทราบ” นวลนางกระเถิบเข้ามาใกล้อย่างลับๆ ล่อๆ เอ่ยเสียงต่ำ “หลายคนบอกว่า ฉินอู๋ซวงลงมือลับหลังกับเยี่ยนสิงเทียน วางแผนมืดในการทดสอบ...”
“มีเื่พรรค์นี้ด้วย?” เ่ิูคิดตาม เขาแย้ง “แต่ว่า เยี่ยนสิงเทียนไม่เคยทำผิดต่อฉินอู๋ซวงนี่”
“นั่นก็พูดยากนะ เยี่ยนสิงเทียนเป็ผู้นำของเด็กยากแค้นปีหนึ่ง เห็นว่าพลังแข็งแกร่งมากเลย เป็ไม้กันศิษย์สูงศักดิ์มาตลอด แล้วยังมีคนพูดอีกนะ ว่าพอฉินอู๋ซวงเจอสมบัติแล้วก็ลอบท้าสู้เยี่ยนสิงเทียน ชนะหรือแพ้ก็ไม่รู้ด้วย...”
เด็กน้อยพูดมากเป็ต่อยหอย
เด็กหนุ่มนิ่ง เขาคิดใคร่ครวญโดยไม่เอื้อนเอ่ยออกมา
บรรยากาศนี้เองที่ว่าไร้ลมไม่มีคลื่น ถ้ำโพรงไร้วาโย
ทุกสิ่งที่นางบอก ก็ใช่ว่าจะหยุดกระแสลมหรือจับภาพได้ทั้งหมด
เยี่ยนสิงเทียนต่ำต้อยมาั้แ่เริ่ม แต่กลับให้ความรู้สึกล้ำลึกและสูงส่งยากจะอธิบาย หากเขาจะทำให้ฉินอู๋ซวงหวั่นก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้
สำนักกวางขาวที่ภายนอกสงบเงียบ ถูกความขัดแย้งระหว่างชนชั้นสูงกับชนชั้นล่าง ก่อกวนวกวนเป็พายุฝนโลหิต
ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปร
เยี่ยนสิงเทียนหายสาบสูญ น่ากลัวว่าจะร่วงมากกว่ารอด
คิดถึงจุดนี้ เ่ิูก็ไม่พอใจขึ้นมาบ้าง
เผ่าพันธุ์มนุษย์ในภพไทวะนี้ใช่ว่าจะแข็งแกร่งทรงอำนาจ ต้องเผชิญหน้ากับเผ่าอื่นนับไม่ถ้วน ชะตากรรมทั้งเผ่าแทบจะแขวนอยู่บนเส้นด้าย ควรจะรู้รักสามัคคีกันไว้ แต่กลับสู้กันเองภายในเสียนี่
ชั้นสูงชั้นล่างไร้สาระอะไรกัน ขัดแย้งไม่จบไม่สิ้นเสียที หัวกะทิของสังคมต้องมาเสียพลังกับศึกในบ้านใช่ใดอื่น
จะหน้าไหนก็ใจคอคับแคบเหมือนกันหมด!
“อ้อ อีกอย่าง อาจารย์เวินหว่านที่สอนแปดกระบวนท่าให้พี่ ท่านไปจากสำนักกวางขาวเมื่อเดือนที่แล้วนะ” ่เี่ิเสริมอีก
“อะไร? เ้าเวินไปแล้วเหรอ?” คราวนี้เ่ิูใของจริงแล้ว
เวินหว่านไปแล้วจริงๆ หรือ?
“ไปที่ไหนกันล่ะ?” เขาถามทันที
่เี่ิเห็นสีหน้าเ่ิูเคร่งขรึมขึ้นมา ก็แอบสะดุ้งเล็กน้อย เื่นี้นางแค่หลุดปากไปเท่านั้น ไม่นึกว่าพี่ชิงหยูจะมีปฏิกิริยามากขนาดนี้ เท่าที่นางรู้ อาจารย์กำยำท่าทางหาญกล้าคนนั้น ไม่ใช่คนสำคัญอะไรไม่ใช่หรือ?
ในสำนักกวางขาว คนที่รู้ไมตรีระหว่างเวินหว่านกับเ่ิูนั้นมีไม่น้อย แต่ในหมู่นักเรียนกลับน้อยจนเกือบไม่มี
“ได้ยินว่าถูกโยกย้ายไปประจำการรักษาชายแดนที่ด่านโยวเยี่ยนแล้วล่ะ!”
ด่านโยวเยี่ยน?
เ่ิูนิ่งค้าง
เขารู้จักด่านโยวเยี่ยนดี
มันเป็ป้อมปราการสำคัญทางการทหาร ห่างจากนครลู่ิไปพันลี้ เป็เขตแกนกลางของตะเข็บชายแดนระหว่างอาณาจักรเสวี่ยกับเผ่าปีศาจแดนเหนือ ที่นั่นลุกโชนด้วยไฟามาตลอด โดยเฉพาะสิบปีมานี้ อาณาจักรเสวี่ยกับเผ่าปีศาจแดนเหนือกระทบกระทั่งกันไม่ได้หยุด ความสัมพันธ์นับวันยิ่งตึงเครียด ด่านโยวเยี่ยนเสมือนเป็โล่กำบัง ตั้งมั่นคงอยู่ที่เทือกเขาโยวเยี่ยน เขตปะทะของอาณาจักรเสวี่ย ทอดยาวไปไกลพันลี้
ลู่ิเป็นครแดนไกล
ด่านโยวเยี่ยนเป็เมืองสำคัญเขตชายแดน
หากด่านโยวเยี่ยนพ่ายแพ้ ทัพของฝ่ายปีศาจจะรุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินเสวี่ยได้ เมื่อถึงเวลานั้น ส่วนที่จะเป็เป้าหมายต่อไปคือสิบกว่านครของมนุษย์เอง
อาณาจักรเสวี่ยจะเกณฑ์พลไปทุกปี เสริมกำลังของป้อมปราการให้เข้มแข็ง ทำากับทัพปีศาจ เื่พวกนี้ เ่ิูรู้แล้วทั้งหมด แต่ร้อยวันพันปีไม่เคยนึก ว่าอาจารย์สำนักกวางขาวอย่างเวินหว่านจะถูกโยกย้ายไปด่านโยวเยี่ยน
เขาคิดอย่างลับๆ ว่าเื้ัต้องมีอะไรอยู่แน่
ด่านโยวเยี่ยนมีาสามครั้งหลังอาหาร เ้าเวินหนอเ้าเวิน มีชีวิตรอดกลับมาให้ได้นะ
“เ้าเวินนี่เหลือเกิน ก่อนไปไม่คิดจะไม่ล่ำลากันเลยสักคำ”
เ่ิูกล่าวโทษในใจ ทันใดก็นึกออก ว่าก่อนหน้านี้ได้วานให้เขาช่วยเอาไข่มุกสามเม็ดที่ได้มาไปประเมินราคาแน่นอน ไปแบบรีบๆ ลนๆ เฉกนี้ คงไม่ได้มุบมิบไปกินเองหรอกใช่ไหม
ไปคราวนี้ ไม่รู้ว่าตอนไหนถึงจะได้เจอกันอีก
คิดถึงตรงนี้แล้ว เ่ิูก็เสียใจขึ้นมา