ดวงจันทร์ขาวนวลลอยอยู่เหนือผืนฟ้า ผิวน้ำใสสะท้อนแสงระยิบระยับ ริมฝั่งแม่น้ำจุดโคมไฟสว่างไสว เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยไม่ขาดสาย
“นายน้อย ถึงแล้วขอรับ!”
หัวเรือมาถึงริมฝั่ง ซือเยี่ยนพาดแผ่นไม้กระดานให้แล้ว เฉิงชิงจึงเดินขึ้นฝั่งได้อย่างมั่นคง
ด้านหน้าก็คือเรือนแยกของท่านเสนาบดี คืนนี้เป็สถานที่รวมตัวของเหล่าปัญญาชน
หากมีวุฒิซิ่วไฉก็จะไม่ถูกขวางตรงธรณีประตูของเรือนแยกแห่งนี้ สามารถเข้าไปได้ตามใจชอบ
แต่หากไม่ใช่บัณฑิตซิ่วไฉก็ต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบตำลึงเงิน จัดงานชุมนุมวรรณกรรมก็ย่อมต้องจ่ายเงิน แต่ค่าใช้จ่ายสำหรับงานชุมนุมวรรณกรรมล้วนมีคหบดีของอำเภอบริจาคให้โดยตลอด ค่าผ่านประตูสิบตำลึงเงินนี้ดูเหมือนจะเก็บโดยไร้เหตุผล?
หลายปีที่ผ่านมาก็ล้วนใช้กฎเกณฑ์นี้ ไม่เคยมีผู้ใดด่าว่างานชุมนุมวรรณกรรมของอำเภอหนานอี๋เห็นแก่เงิน นั่นก็เป็เพราะว่าเงินที่เก็บได้จากค่าผ่านประตูจะนำไปบริจาคแก่โรงเมตตาเด็กและสถานที่อื่นๆ หลังจากจบงาน หากจะให้เฉิงชิงแสดงความเห็น งานชุมนุมวรรณกรรมนี้ก็ค่อนข้างเหมือนกับงานการกุศลยามค่ำคืนของสังคมในยุคปัจจุบัน
หากบัณฑิตที่ครอบครัวยากจนและยังสอบไม่ได้คุณวุฒิ้าจะเข้าร่วมล่ะ?
นอกจากจ่ายเงินก็ยังมีอีกหนึ่งวิธี นั่นก็คือพึ่งความสามารถทางด้านวรรณกรรมของตนเองเข้ามาในงาน!
กำแพงสูงทั้งสองด้านของเรือนแยกแขวนโคมไฟหลากหลายรูปร่างเต็มไปหมด แสงไฟเมื่ออยู่รวมกันแล้วดูสวยงามเป็อย่างมาก ใต้โคมไฟทุกดวงจะแขวนปัญหาไว้หนึ่งข้อ มีทั้งให้แต่งบทกวีที่เข้ากับเทศกาลหนึ่งบท มีให้เขียนจับคู่คำโคลงคู่ท่อนแรกและท่อนหลัง มีปริศนาคำทาย มีให้อ่านตำราออกเสียง… คำถามทดสอบมากมายหลากหลาย หากสามารถแก้ได้สามข้อ ณ จุดนั้น ทางงานชุมนุมวรรณกรรมก็จะเห็นชอบว่ามีคุณสมบัติในการเข้างาน ไม่ต้องจ่ายเงินก็สามารถเข้าได้
ไม่เพียงเท่านี้ ยังสามารถรับรางวัลเป็โคมไฟงดงามหนึ่งดวงด้วย
ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็ผู้ที่คิดวิธีที่สามารถดึงดูดเหล่าบัณฑิตได้มากมายเช่นนี้ขึ้นมา
แม้แต่ผู้ที่มีวุฒิซิ่วไฉยังหยุดอยู่ตรงประตูทางเข้าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง พยายามแก้ปริศนาเ่าั้ เมื่อชนะก็จะได้โคมไฟที่ประทับตราอันเป็เอกลักษณ์ของงานชุมนุมวรรณกรรมไว้มอบให้คน โคมไฟนี้ต้องแก้ปัญหาชนะเท่านั้นถึงจะได้มา แม้จะจ่ายเงินก็ซื้อไม่ได้ เมื่อถือแล้วย่อมได้หน้าเป็พิเศษ
ที่นี่ก็คือสถานที่แห่งแรกของงานชุมนุมวรรณกรรมในค่ำคืนนี้ที่จะสามารถสร้างชื่อเสียงขึ้นมาได้!
ที่เ้าอ้วนชุยเตือนให้เฉิงชิงหาคนมาเขียนให้แทน มีเหตุผลครึ่งหนึ่งคือเพื่อที่จะรับมือกับการแข่งขันเข้าประตูนี้
หากสามารถพึ่งพา ‘ความสามารถด้านวรรณกรรม’ ของตนเองเข้าประตูได้ย่อมน่าประทับใจกว่าจ่ายค่าเข้าสิบตำลึงมาก ไม่ต้องพูดถึงผู้ที่มีวุฒิซิ่วไฉ พวกที่ไม่มีวุฒิซิ่วไฉต้องพึ่งการจ่ายเงินเพื่อเข้าไป นั่นไม่เท่ากับยอมรับว่าพวกเขาแย่กว่าระดับหนึ่งจริงๆ หรือ?
สองฟากกำแพงของประตูใหญ่ทั้งสองข้างต่างเต็มไปด้วยโคมไฟ งานฝีมือชั้นสูงรูปแบบเป็เอกลักษณ์ หากสามารถชนะได้ เอากลับบ้านไปให้พี่สาวทั้งสามสักหน่อย ย่อมต้องสามารถเรียกรอยยิ้มของพวกนางได้แน่!
แสงจันทร์ในค่ำคืนนี้งดงาม ไม่รู้ว่านางหลิ่วจะพาเหล่าพี่สาวมาเดินเล่นงานชุมนุมวรรณกรรมหรือไม่ เฉิงชิงคิดอยากจะกลับบ้านไปรับคน เพียงแต่นางกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจูและอวี๋ซานจะเพ่งเล็งนางในงาน นางเป็เป้าหมายอันดับหนึ่งที่ดึงดูดให้ศัตรูเล่นงาน ไม่ควรให้พี่สาวทั้งสามมาพัวพันด้วย
คงไม่มาหรอกมั้ง ตามกฎของราชวงศ์เว่ย นางและพี่สาวทั้งสามล้วนต้องอยู่ไว้ทุกข์อย่างน้อยหนึ่งปี
ภายในหนึ่งปีนี้ห้ามดื่มสุราสังสรรค์ ห้ามพูดคุยเื่แต่งงาน ผู้ที่เป็ขุนนางก็ต้องลาออกจากราชการกลับบ้านเกิดไปไว้ทุกข์ให้บิดามารดา บัณฑิตเตรียมสอบก็ห้ามเข้าร่วมการสอบเข้ารับราชการ
ในราชวงศ์ก่อนหน้าราชวงศ์เว่ย การไว้ทุกข์หนักคือยี่สิบเจ็ดเดือน ตอนนี้ยังมีคนจำนวนน้อยที่รักษาธรรมเนียมโบราณนี้อยู่ คนส่วนใหญ่ยอมรับกันแล้วว่า่ไว้ทุกข์เปลี่ยนจากยี่สิบเจ็ดเดือนมาเป็หนึ่งปีแทน
ใน่ไว้ทุกข์ แม้แต่ไปหาญาติใกล้ชิดก็ยังมีข้อจำกัด มีบางครอบครัวที่หลีกเลี่ยงข้อห้ามนี้ อย่างไรเสียออกนอกบ้านไปพบปะกันน้อยลงก็ย่อมไม่อาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว เมื่อดูจากนิสัยของนางหลิ่ว ความเป็ได้ที่จะพาพี่สาวทั้งสามออกนอกบ้านมาชมจันทร์ในค่ำคืนนี้มีน้อยมาก
พวกนางมาไม่ได้ เฉิงชิงจึงคิดที่จะเอาโคมไฟไปมอบให้บรรดาพี่สาวแทน
คำถามเหล่านี้นางสามารถตอบได้หรือไม่?
นอกเหนือจากการแต่งบทกวีแล้ว อย่างอื่นก็น่าจะพอลองดูได้
ขณะที่เฉิงชิงกำลังมองดูโคมไฟ พวกอวี๋ซานก็ขึ้นฝั่งมาแล้ว
ปีที่แล้วเฉิงกุยสอบได้เป็บัณฑิตซิ่วไฉจึงไม่ต้องตอบคำถาม อีกทั้งไม่ต้องจ่ายค่าผ่านประตู สามารถเดินเข้าไปด้านในได้เลย
แต่เฉิงกุยก็มีความรักพวกพ้อง ้าที่จะเข้าออกพร้อมพวกอวี๋ซาน
พออวี๋ซานมองเห็นเฉิงชิงหมุนไปมาอยู่รอบโคมไฟ ก็หัวเราะเสียงดังแล้วเอ่ยว่า
“ศิษย์น้องเฉิงชิง้าจะเลือกแก้ปัญหาเพื่อเข้าไปด้านในหรือ? ในการสอบประจำเดือนจากสองร้อยคน ศิษย์น้องได้อันดับที่เก้าสิบกว่า มีความหวังที่จะสามารถไขปริศนาได้สำเร็จมากนัก!”
เ้าอ้วนชุยที่ขึ้นฝั่งตามหลังมาพอได้ยินคำกล่าวนั้นก็เกือบจะสะดุดล้ม
เฉิงชิงสอบได้อันดับที่เก้าสิบเจ็ดยังถูกคนเยาะเย้ย ตัวเขาผู้นี้สอบได้อันดับที่หนึ่งร้อยสองควรจะทำอย่างไรดีเล่า?
ด่าคนไม่ควรเปิดเผยปมด้อย อวี๋ซานผู้นี้ชั่วร้ายและน่ารังเกียจเสียจริง หากอีกฝ่ายไม่ใช่บุตรชายของเ้าเมือง เ้าอ้วนชุยคงถลกแขนเสื้อต่อยคนไปแล้ว
เฉิงชิงชำเลืองมองอวี๋ซาน “น่าแปลก ประตูใหญ่ของเรือนแยกออกจะกว้างขวาง ข้าจะจ่ายเงินเข้าไปหรือตอบคำถามแล้วเกี่ยวอะไรกับเ้าด้วย? ศิษย์พี่อวี๋ เ้าก็คิดถึงตนเองบ้างเถิด ข้าจำได้ว่าศิษย์พี่ก็ยังสอบไม่ผ่านเป็บัณฑิตซิ่วไฉ!”
ลักษณะที่คนเห็นก็ไม่ชอบ แม้แต่สุนัขยังรังเกียจของอวี๋ซานผู้นี้ เฉิงชิงมองแล้วไม่สบอารมณ์นัก หลังจากรู้ว่าเ้าเมืองอวี๋เป็ผู้ที่รักและทะนุถนอมชื่อเสียงความเป็ขุนนางแล้ว เฉิงชิงยิ่งตอกกลับอวี๋ซานไม่ยั้งมือ
อวี๋ซานสามารถทำอะไรนางได้หรือ?
หากยกมือขึ้นมา เฉิงชิงก็สามารถโก่งคอร้องะโได้ว่าคุณชายบุตรเ้าเมืองตีคนแล้ว นางเป็ผู้ที่สามารถละทิ้งหนังหน้าได้ หากตีกับคนเช่นอวี๋ซานแล้วยังห่วงหน้าตา นั่นก็คงจะถูกรังแกจนตายไปแล้วเป็แน่
อวี๋ซานเลิกคิ้วขึ้น “ถึงแม้ว่าข้าจะยังสอบไม่ผ่านขั้นซิ่วไฉ แต่ก็ยังพอสามารถตอบคำถามสามข้อได้ ข้ากลัวว่าศิษย์น้องจะทำให้สถานศึกษาเสียหน้า ดังนั้นจึงเป็ห่วงเ้า อย่าพยายามเกินตัวเลย แค่สิบตำลึงเงินเท่านั้น หากศิษย์น้องควักไม่ไหว ข้าผู้เป็ศิษย์พี่จะช่วยออกเงินแทนเ้าไปก่อนก็ได้”
เฉิงชิงเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“ข้าจำได้คร่าวๆ ว่าศิษย์พี่อวี๋ถูกครอบครัวตัดเบี้ยหวัดรายเดือนแล้ว ตัวท่านต้องประหยัดเพื่อเอาชีวิตรอด ยังจะมีเงินเหลือมาจ่ายค่าผ่านประตูให้ข้าอีกหรือ?”
พรูด
เ้าอ้วนชุยที่แอบอยู่ด้านหลังกลั้นไม่ไหวจึงหัวเราะออกเสียง แล้วรีบเอามือปิดปากตนเองทันที
แต่อวี๋ซานเห็นเขาแล้ว ผู้ที่เรียกว่าเ้าอ้วนชุยร่างกายสะดุดตาเป็พิเศษ ถึงคิดจะแอบแต่ก็แอบไม่พ้น เ้าอ้วนนี่อยู่ห้องติงเก้า ทั้งยังอาศัยอยู่ข้างห้องเฉิงชิง ย่อมต้องเป็พวกเดียวกับเฉิงชิงแน่
เมื่อถูกสายตาอาฆาตมาดร้ายของอวี๋ซานจ้อง เ้าอ้วนชุยก็ร้องทุกข์อยู่ภายในใจ
ยังดีที่เฉิงชิงเป็เป้าหมายในการเพ่งเล็งที่แท้จริง เขาหันศีรษะกลับไปมองเฉิงชิงแล้วหัวเราะอย่างมีเลศนัย “เ้ายังกล้าพูดอีกว่าตนเองไม่ได้แอบฟัง!”
“พวกเ้าพูดคุยเสียงดังเกินไปแล้ว ข้าไม่มีทางที่จะไม่ได้ยิน ศิษย์พี่อวี๋ ที่นี่มีคนมากมายเช่นนี้ ท่าน้าจะถกเถียงกับข้าเกี่ยวกับเื่วันนั้นจริงหรือ? ได้ยินว่าคืนนี้ท่านเ้าเมืองอวี๋ก็ได้รับเชิญมาก่อนหน้าแล้ว ไม่สู้…”
ผู้ที่กระทำผิดจนถูกทางบ้านตัดเบี้ยหวัดรายเดือนคืออวี๋ซาน
ผู้ที่ถูกเมิ่งไหวจิ่นลงโทษคัดตำราหลุนอวี่สิบจบก็คืออวี๋ซานอีก
หากอวี๋ซานไม่กลัวเสียหน้า เฉิงชิงก็ยินยอมที่จะสร้างชื่อเสียงให้อวี๋ซานต่อหน้าผู้คน ถึงแม้จะอยู่ต่อหน้าเ้าเมืองอวี๋เฉิงชิงก็ไม่หวั่น
เฉิงกุยเห็นทั้งสองคนจะก่อเื่ตรงนี้แล้วก็รีบขัดขวาง “อาเสี่ยน พวกเราเร่งเข้าไปกันเถิด”
คนตรงทางเข้าเยอะเกินไปแล้ว ไม่เพียงมีบัณฑิตที่รอเข้างานเท่านั้น ยังมีชาวบ้านที่มาชมความครึกครื้น มีแม้กระทั่งพ่อค้าเร่ที่หาบสิ่งของมาขาย หากทะเลาะต่อหน้ากลุ่มคน ถึงชนะไปก็ยังเสียหน้าอยู่ดี
อวี๋ซานส่งเสียงฮึดฮัด กลุ่มของพวกเขาต่างมาอย่างเตรียมตัวแล้ว แต่ละคนเลือกโคมไฟมาสามดวงเพื่อแก้ปริศนา
ผู้ที่ทำหน้าที่ต้อนรับอยู่ตรงทางเข้ายิ้มพลางอธิบาย
“คุณชายอวี๋ ปีนี้งานชุมนุมวรรณกรรมเปลี่ยนกฎแล้ว หากตอบได้สามข้อก็สามารถเข้างานได้ และได้รับโคมไฟหนึ่งดวง หากตอบได้สิบข้อก็ยังได้รับเงินสิบตำลึงเงินเป็รางวัล หากตอบได้ยี่สิบข้อก็จะได้รับเงินห้าสิบตำลึงเงินเป็รางวัล หากสามารถตอบได้สามสิบข้อนั้นก็เก่งกาจเกินไปแล้ว!”
เฉิงชิงมองคำถามบนโคมไปได้เกือบครบแล้ว พอมาคิดว่าสามข้อได้โคมไฟหนึ่งดวง นางมีพี่สาวสามคน หากจะให้โคมไฟคนละหนึ่งดวง อย่างน้อยนางก็ต้องตอบได้เก้าคำถามถึงจะได้
พอเพิ่มนางหลิ่วเข้าไปอีก นางก็อยากจะท้าทายความสามารถของตนเองว่าจะสามารถตอบได้ถูกสิบสองข้อหรือไม่
ยามนี้เมื่อได้ยินว่าตอบถูกสิบข้อจะได้เงิน เฉิงชิงก็อดไม่ได้ที่จะแทรกตัวไปยืนอยู่ด้านหน้า
ยังมีเื่ดีงามเช่นนี้ด้วยหรือ?
คำโบราณไม่เคยหลอกลวงคนเลยจริงๆ นางไม่แน่ใจหรอกว่าในตำรามีใบหน้าดั่งหยกหรือไม่ แต่ในตำรามีเรือนทองคำอยู่[1]จริงแท้แน่นอน
[1] มาจากคำกล่าวที่ว่า “ในตำรามีเรือนทองคำ ในตำรามีใบหน้าดั่งหยก” หมายถึง หากพากเพียรตั้งใจศึกษาจนได้คุณวุฒิแล้ว ลาภยศหญิงงามก็จะตามมา
