ว่ากันว่า...หลังจากหัวใจหยุดเต้น สมองยังคงทำงานต่อได้อีก 4-5 นาที ่เวลานั้นเราอาจเห็นภาพความทรงจำในอดีตย้อนขึ้นมา เป็บทสรุปเื่ราวต่าง ๆ ่เวลาที่มีความสุข และความทุกข์ เหมือนที่คนแก่ชอบพูดกันว่า ก่อนตายเราจะเห็นทุกอย่างที่เคยทำมาในชีวิต...
ก่อนหน้าผมไม่เคยเชื่อ...คำโบราณก็ควรอยู่กับคนโบราณสิ ผมเพิ่งจะอายุ 20 เชื่อเื่ที่พิสูจน์ได้เท่านั้น
จนกระทั่ง...วันขึ้นปีใหม่ ที่ทุกคนอยู่รวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลอง ผมเองก็เหมือนคนอื่น ๆ นั่นหละ ที่อยู่กับเพื่อนจนหมดเวลาเคานต์ดาวน์ ระหว่างข้ามถนนเพื่อกลับมาที่รถ ผมคิดว่ามองทางดีแล้วนะ แต่ไม่รู้ทำไม ไอ้รถหรูคันนั้นถึงไม่มีตา พุ่งชนผมจนร่างกระเด็น
ความรู้สึกดับมืด..ไม่รู้หรอกว่านานแค่ไหน แต่อยู่ ๆ ภาพในอดีตที่เคยทำ ก็ย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว เห็นตัวเองแหกปากร้องไห้ เกาะขาแม่แน่นไม่ยอมปล่อย แม้คุณครูจะสวยแค่ไหนก็แกะผมออกจากขาแม่ไม่ได้ เพราะเป็การไปโรงเรียนครั้งแรกของเด็กอนุบาล ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ไหลย้อนผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว เห็นตัวเองแอบขโมยเงินแม่ แอบกินของคนอื่นแล้วไม่ยอมรับ แม้แต่แอบชอบเพื่อนผู้หญิงในห้อง แล้วไม่ได้บอกเธอจนกระทั่งจากลากันไป ภาพทุก่เวลาในชีวิตไหลย้อนมาเป็ฉาก ๆ ไม่ขาดตอน ภาพที่ผมเคยบีบแตรไล่หมาข้างทาง เพราะชอบเวลามันสะดุ้งใเสียงแตรรถ ภาพที่เอาแก้วกาแฟไปวางทิ้งไว้บนท้ายรถคันอื่นเพราะแถวนั้นไม่มีถังขยะ
จะว่าไป...วีรกรรมหลาย ๆ เื่ ผมก็ลืมไปแล้ว แต่ความทรงจำใกล้ตายมันพาย้อนกลับมาจนหมด ถึงตอนนี้เข้าใจแล้ว ว่าคำโบราณที่เขากล่าวไว้ นั้นโคตรจริง!
ห้วงเวลาแห่งความเป็ความตาย ผมไม่รู้ว่าร่างกายภายนอกยังถูกทิ้งไว้กลางถนนแบบนั้น หรือถูกนำมารักษาที่โรงพยาบาล เพราะผมไม่รู้สึกเ็ปอะไร แค่รู้สึกเสียดายที่ยังไม่ได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีเท่านั้น เดิมทีอยากมีแฟนสวย ๆ อยากมีลูก มีครอบครัวสงบสุขเหมือนคนอื่น แต่ชาตินี้คงทำไม่ได้แล้ว....
แหน่ะ! ถึงตอนนี้คิดว่าผมจะตายแล้วใช่ไหม ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่อยู่ ๆ ผมก็เห็นภาพเหตุการณ์บางอย่าง ที่ผมไม่เคยเห็นในชีวิต
ม่านหมอกจาง ๆ ลอยปกคลุมไปทั่วบริเวณ ผมแทบมองไม่เห็นสิ่งใด นอกจากเงา ๆ ราง ๆ ของใครบางคนเดินอยู่ด้านหน้า ผมก้มมองลงพื้น เห็นเป็พื้นไม้เก่า ๆ สองเท้าค่อย ๆ ก้าวบนพื้นไม้อย่างระวัง เพราะไม่มั่นใจว่ามันแข็งแรงดีหรือไม่ ก่อนจะเงยหน้ามองเงาราง ๆ ที่เดินห่างออกไป
“คุณ เดี๋ยวก่อน!” ผมเรียกเขา แต่ดูเหมือนเงาราง ๆ นั้นไม่ได้ยิน ก่อนเห็นเงาของหญิงแรกรุ่นในชุดเ้าสาว กับชายหนุ่มหล่อเหลาในชุดเ้าบ่าว หันมองหน้ากันพร้อมน้ำตา...ผมรู้สึกแปลกใจ ที่พวกเขาต่างอยู่ในชุดบ่าวสาว แล้วมาเดินทำไมบนนี้ ความคิดยังไม่ทันจางหาย ม่านหมอกก็ค่อย ๆ จางลงเผยให้เห็นพื้นที่ที่ผมยืนอยู่
‘บนสะพานไม้’ สะพานไม้แปลกตาพวกนี้ผมไม่เคยเห็น สมัยนี้มีสะพานไม้แบบนี้ด้วยงั้นเหรอ คำถามมากมายผุดขึ้นในหัว ก่อนจะหันมองไปยังบ่าวสาวคู่นั้น
“ผมรักคุณนะ!” คำพูดอบอุ่น พร้อมสายตาเศร้าสร้อยของชายหนุ่ม เอ่ยกับเ้าสาวของเขา ก่อนจะดึงร่างของหญิงสาวะโลงสู่ด้านล่าง
“คุณ!” ผมทำได้เพียงอ้าปากค้าง พร้อมกันนั้น ไม่รู้น้ำตามากมายจากไหนรินไหลออกมา ทั้งที่ผมไม่เคยรู้จักพวกเขา แต่ทำไมหัวใจผมเ็ปเหมือนถูกใครบีบอยู่ตลอดเวลา จนผมไม่อาจประคองตัว ต้องทรุดลงกองกับพื้น แล้วก้มหน้าร้องไห้แทบขาดใจ
ก่อนพยายามตั้งสติ แล้วหันมองไปรอบ ๆ บ้านเมืองแปลกหูแปลกตา จะว่าเหมือนกรุงเทพฯ ก็เหมือน จะว่าเหมือนต่างจังหวัดก็ใช่ เดาไม่ออกว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ที่ไหนกันแน่ ระหว่างที่ผมสับสนและเจ็บบริเวณหัวใจอยู่นั้น เสียงเรียกอบอุ่นของใครบางคนก็ดังขึ้น
“คุณอาคิราห์ ตื่นแล้วได้แล้วครับ” เสียงเบา ๆ เย็น ๆ ดังขึ้นจากข้างหู แต่กว่าที่ผมจะลืมตาขึ้นมองได้ ต้องรวบรวมพลังอย่างมาก ผมรู้ว่านิ้วตัวเองกระดิกไปมาเบา ๆ แต่ยังไม่สามารถลืมตาได้
“คุณอาคิราห์” สิ้นเสียงอบอุ่นนั้น ผมก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นพยายามปรับสายตา มองตรงไปยังเสียงคุ้นเคยนั้น...
“คุณปลอดภัยแล้วนะครับ ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาล” ชายหนุ่มในชุดแพทย์สีขาวสะอาดตา โน้มตัวแล้วพูดกับผมเบา ๆ
ในตอนแรก ก็คิดว่าตัวเองตาฝาด เพราะใบหน้าของเขานั้น เป็คนเดียวกับคนที่ผมเพิ่งเห็นในภวังค์ รู้ตัวแหละ..ว่ามองเขาไม่ละสายตา ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเห็นเขาในชุดเ้าบ่าวแบบนั้น หลายร้อยความรู้สึกถาโถมเข้ามา ให้ผมสนใจมากกว่าอาการาเ็ของตัวเองซะอีก แต่เขาก็แค่ยิ้ม แล้วหันไปยังพยาบาล
“คนไข้ฟื้นแล้ว หลังจากนี้ต้องเฝ้าระวังอาการแทรกซ้อน ถ้าญาติคนไข้มาแล้วให้โทรหาหมอนะ”
“ค่ะคุณหมอ...” เขาหันมายิ้มให้ผมแล้วก็เดินออกไป ผมยังไม่สามารถขยับกายได้มากนัก ทำได้เพียงกลอกตาไปมา มีท่อและสายระโยงระยางเต็มไปหมด ความจำก่อนหน้าเกิดอะไรขึ้นมันเลือนรางเต็มที มีเพียงความฝันประหลาดนั้นที่จำได้อย่างแม่นยำ
ผมนอนบนเตียงในห้องไอซียู มีพยาบาลแวะเวียนเข้ามาแล้วจดอาการทุกระยะ ่เวลานั้นผมง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา ไอ้สายระโยงระยาง คนอื่นอาจดูเหมือนเกะกะ แต่สำหรับผมแล้ว มันไม่ได้เกะกะอะไร เพราะผมแทบขยับกายไม่ได้เลย ทำได้เพียงแค่ลืมตามองพยาบาลที่เดินเข้าเดินออกเท่านั้น
ก่อนเสียงร้องไห้ฮือ ๆ ดังขึ้น ทำให้ผมลืมตามอง มันไม่ใช่เสียงของความฝันอะไรหรอก แต่เป็เสียงร้องไห้ของแม่ผมเอง คุณวิภาวี ธนะกุล เป็คุณแม่ที่สุขุมในสายตาคนอื่น แต่สำหรับผมแล้ว คุณแม่หวงผมยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ เจอผมในสภาพเละเทะอย่างนี้ แค่ร้องไห้คงน้อยไป ผมเดาว่าแกคงเป็ลมไปแล้วไม่ต่ำกว่าสองรอบ
“คุณ! ตั้งสติสิ เดี๋ยวก็เป็ลมไปอีกหรอก!” นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำ คุณวิภาวีก็เตรียมจะเป็ลมอีกแล้ว ก่อนคุณพ่อจะเดินเข้ามาจับมือแม่ไว้ แล้วทั้งสองก็หันสายตาเศร้ามายังผมที่นอนอยู่
‘ให้ตายเถอะ อย่าร้องไห้นะ’ ผมภาวนาในใจพยายามไม่ร้องไห้ ให้คุณพ่อกับคุณแม่เห็น ไม่งั้นคุณวิภาวีได้เป็ลมอีกรอบแน่ ๆ
“คีร์ครับ! คีร์....จำแม่ได้ไหมลูก...” เสียงอบอุ่นของคุณแม่ทำเอาผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่จริง ๆ แม่ผมทั้งคน ทำไมจะจำไม่ได้ แต่ร่างกายตอนนี้ อ่อนแรงเกินกว่าจะลุกขึ้นไปกอดทั้งสองคนได้
“คุณคะ.. ลูกน้ำตาไหล ลูกต้องเจ็บมากแน่ ๆ เลย ฮือๆ” คุณวิภาวี หันไปหาสามีแล้วซบหน้าร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ผมเห็นแบบนั้น ก็รีบกลั้นน้ำตาทันที ก่อนฝีเท้าของใครบางจะเดินเข้ามา
“คุณรัชพล กับคุณวิภาวีครับ” เสียงอันแสนอบอุ่นเอ่ยขึ้น ทำให้ผมมองเขาไม่ละสายตา ผิวขาวเนียนละเอียด ใส่แว่นเหมือนในความฝันราวกับคนเดียวกัน ต่างกันตรงที่เวลานี้เขาอยู่ในชุดกาวน์สีขาวสะอาด
“หลังจากผ่าตัดเอาเืคั่งในสมองออกแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร แต่ก็ยังไว้ใจอะไรไม่ได้ เพราะสมองยังมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอยู่”
“ภาวะแทรกซ้อนมีอะไรบ้างคะคุณหมอ แล้วลูกชายดิฉันจะหายไหม” แม่ถามด้วยความเป็ห่วง
“ก็อาจจะเกิดเืออกซ้ำได้ ภาวะความดันในสมองสูง ทุกอย่างเป็ไปได้หมดครับ แต่เท่าที่เฝ้าสังเกต คุณอาคิราห์สู้มากนะครับ” เขาอธิบายด้วยความชำนาญ พลางหันมองมายังผมแล้วยิ้มให้เหมือนเคย ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมมองเขาราวกับว่าเคยรู้จักกันมานานแสนนาน แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าผมเคยเห็นเขามาก่อนที่จะฝันถึงเขาไหม
“หมอจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดนะ คุณวิภาวีไม่ต้องเป็ห่วง” เขาพูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แล้วก็หันมาทางผม
“เดี๋ยวก็หาย...” เขาส่งยิ้มให้ผม แล้วเดินจากไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้