อาการาเ็ของหยางลู่ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่ผู้ชมคิดเอาไว้ หลังจากได้รับการรักษาจากอาจารย์ในสำนักแล้วก็ฟื้นขึ้นมาทันที!
แต่สีหน้าของเด็กสาวคนนี้กลับไม่สู้ดีนัก!
เพราะเดิมทีนางคิดว่ามันจะต้องเป็การต่อสู้ที่ดุเดือดแน่ ต่อให้จะต้องลงเอยที่ความพ่ายแพ้ในท้ายที่สุดก็ตาม แต่นางไม่คาดคิดว่าจะต้องพบกับความพ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือของจางอวิ๋นอย่างรวดเร็วเช่นนี้!
หน็อยแน่ เ้าจางอวิ๋น ช่างไม่รู้จักอ่อนโยนกับสตรีบ้างเลย!
หยางลู่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก! ความไม่พอใจส่วนใหญ่เกิดจากการที่นางพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วต่อหน้าเซียวหลิงอวิ๋น! เดิมทีนางอยากจะแสดงฝีมือให้เขาได้ประจักษ์ แต่สุดท้ายกลับต้องรู้สึกอับอายขายหน้าแทน!
เมื่อััได้ถึงสายตาของหยางลู่ที่จ้องมองมาอย่างเงียบๆ เซียวหลิงอวิ๋นก็ส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อกำลังจะให้กำลังใจอีกฝ่าย แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายรีบหันหน้าหนีราวกับกระต่ายน้อยที่ตื่นกลัว!
เซียวหลิงอวิ๋นลูบจมูกของตัวอย่างไร้คำพูด เด็กสาวคนนี้ขี้อายเกินไปแล้ว!
...
หลังจากได้พักผ่อนนานกว่าสองชั่วยาม เซียวหลิงอวิ๋น จางอวิ๋น และผู้ชนะอีกสามคนได้ฟื้นฟูพลังกายและพลังปราณของตัวเองจนเต็มเปี่ยม ในขณะที่ตงฟางไฉ่อวิ๋น หยางลู่ และผู้แพ้อีกสามคนกลับยังดูไม่สู้ดีนัก หลังจากที่ได้พักผ่อนนานกว่าสองชั่วยาม แม้สภาพร่างกายจะดีขึ้นมาก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าสภาพจิตใจยังไม่ดีเท่าตอนก่อนประลองรอบแรก!
ในการประลองรอบที่สอง การแข่งขันนัดแรกเกิดขึ้นระหว่างหวังอี้ที่ทำผลงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ในรอบก่อน พบกับศิษย์หญิงตัวสูง ตงฟางไฉ่อวิ๋น!
ในเวลานี้ใบหน้าที่องอาจของตงฟางไฉ่อวิ๋นยังคงซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าดาบของเยี่ยเฟิงในการประลองรอบก่อนมีผลกระทบอย่างมากต่อร่างกายและจิตใจของนาง นอกจากนี้หลังจากที่ได้เห็นการประลองของหวังอี้กับเซียวหลิงอวิ๋นในรอบก่อนแล้ว นางก็พอจะมองถึงสถานะของตัวเองในปัจจุบันออก และเห็นได้อย่างชัดเจนว่านางคงไม่สามารถต้านทานกระบวนดาบมารที่รุนแรงของหวังอี้ได้ ดังนั้นตงฟางไฉ่อวิ๋นจึงขอยอมแพ้ไป!
การประลองนัดนี้จบลงด้วยการที่ตงฟางไฉ่อวิ๋นขอยอมแพ้ และยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ปรากฏตัวเสียอีก!
ไม่จริงน่า ทำไมถึงเป็แบบนี้ไปได้? สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เซียวหลิงอวิ๋นที่ตอนแรกอยากจะดูกระบวนท่าสามดาบของหวังอี้จากข้างเวที ต้องอ้าปากค้างด้วยความเสียใจ!
โชคยังดีที่นัดที่สองนี้เป็การพบกันระหว่างผู้ชนะในรอบก่อนทั้งสองคนอย่างจ้าวิเจี้ยนกับจางอวิ๋น!
ทันทีที่ทั้งสองคนขึ้นมาบนเวที ก็รู้สึกได้ถึงความขัดแย้งอย่างรุนแรงทันที!
เซียวหลิงอวิ๋นที่รู้สึกหดหู่เมื่อสักครู่ พลันรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย เริ่มดูการประลองด้วยความสนอกสนใจ!
อาวุธของจ้าวิเจี้ยนคือดาบยาวคมที่มีความยาวห้าถึงหกฉื่อคมดาบเปล่งแสงน่ากลัวออกมา ‘ดาบน้ำใสผ่าสายรุ้ง’ อาวุธชั้นยอดในระดับนักยุทธ์!
จ้าวิเจี้ยนเป็ผู้สืบสายเืชั้นยอดของตระกูลจ้าว เขามีรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา เมื่อผนวกกับพลังที่ แข็งแกร่งและความมีฐานะของลูกชายคนเดียวที่มาจากตระกูลร่ำรวย ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้มีชื่อเสียงอย่างมากในเขตใต้! และยังเป็ที่ชื่นชอบของเหล่าศิษย์หญิงหลายๆ คนอีกด้วย!
ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถดึงดูดแม่นางว่านฮวนผู้มากความสามารถได้
ทั้งคู่ต่างก็ชนะในรอบแรก หลังจากที่ได้เวลาพักหนึ่งถึงสองชั่วยามแล้ว ทั้งพลังกายและพลังปราณของพวกเขาต่างก็เต็มเปี่ยมทั้งคู่!
บนเวทีประลองอันกว้างขวาง!
จ้าวิเจี้ยนที่ทั้งสูงและหล่อเหลามองไปยังจางอวิ๋นที่เอาจริงเอาจังอย่างยิ่ง ในขณะที่ใบหน้าของเขาไม่มีความตึงเครียดเลยแม้แต่น้อย กลับกัน ตัวเขากลับเผยรอยยิ้มออกมา ใช้นิ้วมือของเขาลูบคมดาบน้ำใสผ่าสายรุ้งสุดรักสุดหวงอย่างอ่อนโยน ราวกับกำลังััผิวสาวที่เนียนนุ่ม แล้วพูดด้วยเสียงที่น่าหลงใหลและนุ่มนวล:
“อาวุธที่ดีก็เหมือนกับชีวิตที่สองของนักยุทธ์ ดาบน้ำใสผ่าสายรุ้งเล่มนี้อยู่กับข้ามาสี่ปีเต็มแล้ว นับั้แ่ที่ข้าเข้าสำนักมาเมื่อตอนอายุได้สิบสองปี ตลอด่เวลาที่ผ่านมา ดาบเล่มนี้เอาชนะศิษย์ร่วมสำนักไปจำนวนมาก ดื่มเืของโจรไปไม่รู้กี่คนแล้ว ในวันนี้มันก็จะทำเช่นนั้นอีกครั้ง ระวังเอาไว้ก็แล้วกัน เพราะอีกเดี๋ยวเ้าก็ต้องตกเป็เป้าของมันอีกคน!” ในขณะที่เขาพูดประโยคสุดท้ายออกมา จ้าวิเจี้ยนก็ส่งสายตาที่เฉียบคมราวกับอินทรีกำลังหมายตาเหยื่ออยู่บนท้องฟ้า จับจ้องไปที่จางอวิ๋น
ในบรรดาผู้ที่คอยชมการประลองอยู่นี้ หวังอี้ หลิวิเฉวียน และคนอื่นๆ ที่รู้เื่ราวภายในสำนักดีต่างก็เผยรอยยิ้มเหยียดหยามบนริมฝีปาก จ้าวิเจี้ยนช่างเป็คนที่ไร้ยางอายจริงๆ ตัวเขาแค่ติดตามอาจารย์ออกไปกวาดล้างพวกโจรขโมยม้า ได้ยินมาว่าตัวเขาฆ่าโจรไปเพียงสี่ถึงห้าคนเท่านั้น เป็แค่โจรขโมยม้าตัวจ้อยที่มีระดับพลังยุทธ์เทียบเท่ากับนักยุทธ์ระดับสามหรือสี่ แต่เมื่อเื่เล่าออกจากปากเขามันกลับกลายเป็ผลลัพธ์อันรุ่งโรจน์จากการดื่มเืโจรขโมยม้าจำนวนนับไม่ถ้วน พร้อมอาวุธสุดคมในมือ!
แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแผนการโจมตีทางจิตใจของจ้าวิเจี้ยนนั้นได้ผลจริงๆ!
คู่ต่อสู้ของเขาอย่างจางอวิ๋น ที่จู่ๆ ก็ถูกจ้องมองด้วยดวงตาอันเฉียบแหลมสองดวงของจ้าวิเจี้ยน พลอยจิตใจสั่นคลอนอย่างไม่มีเหตุผล เปิดปากเพื่อกล่าวตอบโต้: “หากเ้ามีความสามารถ...”
และก่อนที่จะทันได้พูดจบ!
จ้าวิเจี้ยนก็เปิดฉากโจมตีก่อนแล้ว ร่างกายสูงโปร่งของเขาบุกเข้าหาอย่างรวดเร็ว ดาบน้ำใสผ่าสายรุ้งในมือของเขากลายเป็สายรุ้งสีเงินในอากาศและฟาดฟันลงมา!
สีหน้าของจางอวิ๋นเปลี่ยนไป!
เขาแอบนึกเสียใจในใจ “หนอยแน่ะจ้าวิเจี้ยน ช่างเป็คนน่ารังเกียจเสียจริง เ้าใช้คำพูด สายตา และแรงกดดันทำให้ข้าเสียสมาธิ”
ให้ตายสิ เ้าคนน่ารังเกียจนี่ก็ช่างเลือกเวลาโจมตีได้เหมาะเจาะจริงๆ!
จ้าวิเจี้ยนเปิดฉากโจมตีในชั่วขณะที่อีกฝ่ายกำลังเสียสมาธิ
อีกทั้งยังใช้กระบวนท่าสังหารทันทีที่เปิดฉากโจมตีเสียด้วย! ไร้ซึ่งการหลอกล่อหรือต้อนให้จนมุมแม้แต่น้อย!
จากภายนอก การโจมตีที่ตระเตรียมมาอย่างยาวนานของจ้าวิเจี้ยนนี้เหมือนจะเป็แค่การฟันดาบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ในสายตาของเหล่าอาจารย์และจางอวิ๋นที่เป็คู่ต่อสู้ของเขา จะพบว่าอีกฝ่ายฟันอย่างต่อเนื่องติดต่อกันสามสิบครั้งเป็อย่างน้อย แต่เนื่องจากความเร็วที่ต่อเนื่องจนเกินไป ทำให้มองได้ไม่ทัน ดังนั้นในสายตาของศิษย์ระดับล่างหลายคนที่ชมการต่อสู้ จะมองเห็นว่าฟันไปแค่ดาบเดียวเท่านั้น
เวลานี้ จางอวิ๋นรู้สึกตัวว่าตัวเขาได้เสียโอกาสไปแล้ว
ในฐานะที่เป็คู่แข่งมานาน เขาย่อมรู้จักจ้าวิเจี้ยนเป็อย่างดี พลังดาบของอีกฝ่ายนั้นประยุกต์มาจากหมัดซ้อนคลื่นอันโด่งดังของตระกูลจ้าว ซึ่งได้นำมาใช้สร้างเป็ ‘วิชาดาบซ้อนคลื่น’ ถ้าหากตัวเขาล่าถอยหรือหลบ ก็จะทำให้พลังดาบของอีกฝ่ายแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่ คลื่นดาบก็จะถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นทะเล แล้วตัวเขาก็จะไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย
ฉะนั้นในตอนนี้ตัวเขาจะต้องห้ามหวาดกลัว ห้ามหนี แต่ต้องบุกเข้าไปสู้อย่างสุดกำลังเพื่อให้ได้โอกาสชนะ เสียงคำรามราวกับฟ้าร้องดังขึ้น จางอวิ๋นไม่หนี เลือกบุกไปข้างหน้า แทงออกไปด้วยหอกเงินเกล็ดหิมะยาวเก้าฉื่อในมือ
การแทงนี้เต็มไปด้วยพลังที่รุนแรงและหนักแน่น!
“แก๊งๆๆๆๆ” เสียงของดาบกับหอกปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จางอวิ๋นจะรู้วิธีตอบโต้อย่างถูกต้อง แต่ก็เสียโอกาสสวนกลับในตอนแรกไปแล้ว ตัวของเขาถูกกดดันด้วยพลังมหาศาลจากดาบยาวของอีกฝ่าย ราวกับเป็เรือลำน้อยที่อยู่ท่ามกลางทะเลคลั่ง แม้จะพยายามแล่นหนี แต่ก็ไม่อาจรอดคลื่นลมที่รุนแรงนี้ไปได้ ถึงตัวเขาจะพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม แต่ก็สามารถต้านรับคลื่นลมนี้ได้เลย
จ้าวิเจี้ยนที่เป็ฝ่ายได้เปรียบเผยรอยยิ้มภาคภูมิใจออกมา ดาบน้ำใสผ่าสายรุ้งในมือโจมตีหนักหน่วงยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยพลังที่ราวกับจะผ่าแยกูเาออกจากกันได้!
หอกเงินเกล็ดหิมะยาวเก้าฉื่อของจางอวิ๋นสั่นะเืพร้อมกับส่งเสียง “ชิ้ง” ออกมา จากนั้นก็ก้าวถอยหลังอย่างไม่ลังเล จับหอกด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วกวัดแกว่งและตีกวาดในคราวเดียว “แกร๊งๆ” จ้าวิเจี้ยนฟันดาบสองครั้งติดกันไปยังด้ามหอกด้วยพลังที่ท่วมท้น จางอวิ๋นรู้สึกได้ว่าพลังดาบของอีกฝ่ายไม่เพียงแต่ทรงพลังและหนักแน่น ยังรู้สึกได้ถึงอันตรายที่มาจากดาบอีกด้วย หลังจากที่ฟันออกไปอีกสองดาบ แขนของเขาก็ทั้งเจ็บทั้งชา เขาแทบจะจับหอกยาวเก้าฉื่อไว้ไม่อยู่ด้วยซ้ำ ร่างจางอวิ๋นเริ่มสั่นเทิ้ม ถอยหลบออกไปด้านข้าง
จ้าวิเจี้ยนพลิกตัวกลางอากาศ ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตา ตัวเขาประหลาดใจเล็กน้อยที่คู่ต่อสู้สามารถรับการโจมตีอันรุนแรงของเขาได้ แต่เขาก็ไม่ได้หยุดโจมตีหรือถอย กลับรุกไปข้างหน้าพร้อมกับดาบน้ำใสฝ่าสายรุ้งในมือแล้วทั้งร่างกายก็กลายเป็ดั่งพายุ เปิดฉากรุกรุนแรงรอบใหม่ ทำให้จางอวิ๋นที่ยังไม่ทันจะฟื้นลมหายใจต้องเผชิญกับพายุคลั่งรุนแรง
การต่อสู้ที่ดุเดือดนี้ ทำให้ศิษย์หลายคนที่ชมอยู่ข้างสนามต่างพากันกลั้นหายใจด้วยความกระวนกระวาย
“ดาบรวดเร็วดั่งสายลม พลังของดาบเองก็น่าเกรงขาม ทว่าหอกกลับล้มเหลวที่จะแปรสภาพกลายเป็ัและร่ายรำ ไม่มีโอกาสที่จะพลิกกลับมาชนะแล้ว การประลองรอบนี้ จ้าวิเจี้ยนเป็ฝ่ายชนะแน่!” บนอัฒจันทร์ รองเ้าสำนักิญญาเมฆาลูบเคราที่คางของตัวเองพร้อมแสดงความคิดเห็น!
ตัวเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลจ้าว สำหรับเขาแล้ว จ้าวิเจี้ยนถือเป็ศิษย์น้องที่สนิทสนมกันมาก!
“จางอวิ๋นแพ้ศึกนี้ไปแล้วครึ่งหนึ่งเพราะการโจมตีทางจิตใจและแรงกดดันของอีกฝ่าย หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็ยากที่จะบอกได้ว่าใครแพ้หรือใครจะชนะ!” ผู้าุโคนหนึ่งที่ถือหางจางอวิ๋นกล่าว!
“ไม่ว่าจะเป็การต่อสู้ระหว่างนักยุทธ์หรือผู้ใช้พลังิญญา สิ่งที่สำคัญก็คือผลลัพธ์ นี่คือสัจธรรมผู้ที่แพ้ย่อมต้องตายและหายไป จะมาพูดทีหลังว่ายังไม่ได้เอาจริงไม่ได้! ไม่ใช่แค่สำนักเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสำนักชั้นนอกและชั้นในของสำนักิญญาเมฆา หรือแม้แต่การต่อสู้กับสำนักอื่นๆ ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับผลลัพธ์!” ผู้าุโของสำนักหลักอย่างชายชราที่ไว้เคราแพะพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น!
...
“ว้าว ศิษย์พี่จ้าวิเจี้ยนเท่มาก! ศิษย์พี่จางอวิ๋นถูกจัดการเสียราบคาบเลย!” ศิษย์หญิงคนหนึ่งที่อยู่รอบนอกเวทีประลองก็มองดูการต่อสู้ที่ดุเดือดนี้ พร้อมกับสายตาที่เป็ประกายดั่งดวงดาวในดวงตาของนาง
“จ้าวิเจี้ยน จางอวิ๋น หวังอี้ และหลิวิเฉวียน ล้วนเป็อัจฉริยะสี่คนที่ได้รับการยอมรับในหมู่ศิษย์ระดับกลางของเขตใต้ ไม่คาดคิดว่าเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากัน จ้าวิเจี้ยนจัดการกับจางอวิ๋นได้อย่างราบคาบเช่นนี้!”
“หลังจากผ่านการต่อสู้รอบสิบคนนี้ไป อันดับของอัจฉริยะทั้งสี่จะต้องแปรเปลี่ยนเป็แน่ เซียวหลิงอวิ๋นและเยี่ยเฟิงจะต้องติดอยู่ในสองอันดับแรกอย่างแน่นอน และคิดว่าอีกสองคนถัดมาก็น่าจะเป็จ้าวิเจี้ยน หรือไม่ก็หวังอี้นี่แหละ!”
...
บนเวทีจางอวิ๋นคำรามอย่างดุดัน เขาละทิ้งการป้องกันตัว แล้วแทงไปข้างหน้าด้วยพลังทั้งหมดด้วยการกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดที่เขาสามารถใช้ได้ ‘หนึ่งหอกกำเนิดเจ็ดบัว’!
พลังของหอกนี้ราวกับัที่ลอยขึ้นจากทะเล ชั่วขณะต่อมา ที่ปลายหอกก็เปล่งแสงออกมากลางอากาศราวกับดอกบัวสีเงินเจ็ดดอก
เผชิญหน้ากับการตอบโต้ที่เรียกได้ว่าสู้ยิบตาของจางอวิ๋น!
ดวงตาของจ้าวิเจี้ยนก็เบิกกว้าง ะโกลับไป “แน่จริงก็เข้ามา!”
แสงจากดาบสว่างจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ “แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง...” หลังจากประกายไฟกระจัดกระจายออกไปทั้งสี่ทิศ ตัวของจางอวิ๋นก็กระเด็นลอยไปข้างหลัง โดยมีเืหยดพราวลงมาราวกับเกล็ดหิมะตลอดทาง
สิ้นเสียงดัง “แกร๊ง” หอกเงินเกล็ดหิมะยาวเก้าฉื่อในมือของเขาก็ไม่สามารถจับได้มั่นมืออีกต่อไป หล่นลงมากองพื้น จนทำให้เกิดเสียงดัง “แกร๊ง...” ยาวๆ
เืไหลออกมาจากฝ่ามือทั้งสองข้าง ใบหน้าของจางอวิ๋นซีดเซียว โซซัดโซเซออกไปหลายก้าวก่อนที่จะลุกขึ้นมายืนนิ่งๆ ได้ เขามองไปทางจ้าวิเจี้ยนที่ถอยหลังออกไปเพียงสองก้าวเท่านั้น ที่บริเวณไหล่ซ้ายของเขาก็มีรอยเสื้อขาด มีเืไหลซิบๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างไม่เต็มใจและจนปัญญา “ศิษย์พี่จ้าว วรยุทธ์ของเ้ายอดเยี่ยมมาก การประลองครั้งนี้เ้าชนะ!”
ใช่ว่าจ้าวิเจี้ยนไม่อยากเอาชนะอีกฝ่าย แต่พลังจากกระบวนท่าของอีกฝ่ายเมื่อสักครู่นี้ทรงพลังอย่างยิ่ง ทรงพลังเสียจนตัวเขาต้องกระเด็นถอยออกมาอย่างแรงหลังจากที่ทำลายกระบวนท่าสังหารของอีกฝ่าย กระทั่งได้รับาเ็สาหัส ในขณะที่อีกฝ่ายได้รับาเ็ที่ไหล่ซ้ายเพียงเฉียด และไม่ใช่แค่เพราะความสามารถที่ล้ำลึกของอีกฝ่ายเท่านั้น อย่าลืมความจริงที่ว่าตัวเขาได้รับาเ็มาั้แ่ก่อนหน้า กระดูกยังไม่สมานตัวดี
แม้จะรู้สึกเสียดายมากที่ตนไม่สามารถใช้กระบวนท่าที่รุนแรงยิ่งกว่าโจมตีอีกฝ่าย แต่จ้าวิเจี้ยนก็ยังคงแสดงท่าทีที่มีน้ำใจจากภายนอก “ศิษย์น้องอวิ๋น ข้ายอมรับการยอมแพ้ของเ้า!”
