ผู้คนมากมายที่อยู่ ณสนามประลองไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่า นิกายเบิก์จะเป็ฝ่ายชนะและยังชนะได้อย่างราบคาบเสียด้วย หลี่หูเด็กหนุ่มที่ดูแข็งแรงกำยำเมื่อเผชิญหน้ากับชวีหลิวซีผู้บอบบาง เขาก็ไม่ได้มีความได้เปรียบแต่อย่างใด นึกไม่ถึงเลยว่าผลที่ออกมาจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่เห็นฝ่ายที่ดูอ่อนแอกว่ากลับเป็ผู้ชนะเสียอย่างนั้น
เมื่อเท้าของชวีหลิวซีแตะลงบนพื้นอย่างแ่เบานางก็ยกมือขึ้นมาคารวะ “ชวีหลิวซีจากนิกายเบิก์ ขอบคุณที่ชี้แนะ” ฝูงชนเงียบสงบลงชั่วครู่จากนั้นจึงะโคำว่า ‘สุดยอด’ ออกมาตาม ๆ กัน ผู้คนจำนวนมากที่พนันข้างนิกายเบิก์ต่างก็เฮสนั่นขึ้นอย่างไม่อาจยับยั้ง
วินาทีนั้น ในแววตาของชวีหลิวซีก็พลุ่งพล่านไปด้วยแสงแห่งความมั่นใจ
อันเจิงถอนหายใจยาวพลางมองรอยยิ้มของชวีหลิวซี นางเองก็มองไปยังอันเจิงแล้วเริ่มหน้าแดงขึ้น
ตู้โซ่วโซ่วปรบมือด้วยความชอบใจจนฝ่ามือแดงก่ำเขาะโเสียงดังกว่าใคร “หลิวซี...เ้าเก่งจริง ๆ”
ชวีหลิวซีเดินกลับมาด้วยสีหน้าแดงก่ำฝีเท้าน้อย ๆ ที่ย่างเข้ามาดูแล้วช่างน่ารักน่าชังเหลือเกิน
ตรงกันข้าม สีหน้าของเจินจวงปี้น่าเกลียดจนดูไม่ได้เดิมทีเขาไม่ได้เก็บเื่การประลองนี้มาใส่ใจด้วยซ้ำ พวกคนในนิกายนั้นไม่มีอาจารย์คอยสอนทั้งยังขาดตำราสำหรับฝึกพลังวัตรอีก เช่นนี้แล้ว หากคนพวกนี้สามารถเอาชนะศิษย์ในหอสมุดของเขาที่ได้รับการบ่มเพาะมาเป็อย่างดีได้นั่นต่างหากที่เป็เื่แปลก แต่ตอนนี้เื่แปลกก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ทำให้เขารู้สึกรับไม่ได้เป็อย่างมาก
ศิษย์ของหอสมุดมายาหลายคนเข้าไปยกร่างของหลี่หูกลับมาเขายังคงอยู่ในอาการกึ่งสลบไสลจากการขาดอากาศหายใจ ถือว่าชวีหลิวซีไว้หน้าเขามากแล้วไม่เช่นนั้นหากกระแทกฝ่ามือลงที่ท้ายทอยของหลี่หูแรง ๆ เขาอาจพิการไปแล้วก็ได้
“ถือว่าพวกเ้าโชคดีไป”
เจินจวงปี้พูดกับอันเจิงด้วยสีหน้าเ็า“คนเราก็อาจโชคดีบ้างในบางครั้ง อย่าดีใจไปหน่อยเลย ต่อจากนี้ยังเหลืออีกสองยกหากพวกเ้าแพ้แม้แต่ครั้งเดียวก็ถือว่าแพ้การประลองในครั้งนี้เช่นกัน”
อันเจิงยักไหล่ แต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
เจินจวงปี้หันหลังกลับ “ใครจะขึ้นมาประลองยกที่สอง”
เฉินโจวมองไปยังอันเจิงเมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมขยับเขยื้อน จึงมองไปยังเฟิงเซี่ยวซือที่อยู่ข้างกายดูเหมือนเฟิงเซี่ยวซือจะเกรงกลัวเฉินโจวเป็อย่างมากจึงเดินออกมาหนึ่งก้าวพร้อมพูด “ท่านรองอาจารย์ใหญ่ศิษย์ยินดีจะประลองเพื่อหอสมุดมายา”
เจินจวงปี้พยักหน้ารับ “งั้นก็ดีอย่าทำให้หอสมุดมายาต้องขายหน้าอีก!”
เฟิงเซี่ยวซือยกมือคารวะ “รองอาจารย์ใหญ่วางใจได้ข้าไม่ใช่เ้าหลี่หูไร้สมองนั่น”
ตู้โซ่วโซ่วขยับไหล่ยืดเส้นยืดสายเตรียมก้าวขาไปข้างหน้า“ครั้งนี้ถึงตาข้าแล้ว”
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะก้าวออกไปอันเจิงกลับชิงก้าวออกไปก่อน “ข้าขอขึ้นประลองก่อน”
ตู้โซ่วโซ่วหยุดชะงักไปชั่วขณะเขาเตรียมจะพูดออกไปว่า อันเจิงเ้ายังไม่ได้อยู่ในระดับบ่มเพาะขั้นใดเลยฉะนั้นเ้าจะขึ้นไปไม่ได้ แต่อันเจิงกลับเดินไปถึงกลางลานแล้วยกมือขึ้นมาคารวะเสียแล้ว
ในขณะที่เฟิงเซี่ยวซือเดินไปถึงครึ่งทางแล้วพบว่าอันเจิงคือตัวแทนฝ่ายตรงข้ามที่จะขึ้นประลองเขาก็เกิดความลังเลขึ้นมาทันที เมื่อหันกลับไปมองเฉินโจวก็พบว่าสีหน้าของเฉินโจวดูไม่สู้ดีนักด้วยคิดว่าอันเจิงจะรอขึ้นประลองในยกสุดท้ายแต่กลับออกมาก่อนเสียได้ ในเมื่อออกมาแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้อีกเฉินโจวขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดกับเจินจวงปี้ “รองอาจารย์ใหญ่การประลองยกนี้เปลี่ยนให้ข้าขึ้นประลองแทนเถิด”
เจินจวงปี้รับสินบนมาจากเฉินโจวแน่นอนว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธคำขอของเฉินโจวอยู่แล้วแต่เกาซานตัวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับหัวเราะเสียงเย็น “อะไรกันนี่เป็เพราะรู้ว่าฝ่ายของตัวเองสู้ไม่ได้ จึงอยากเปลี่ยนผู้เข้าประลองอย่างกะทันหันรึ?รองอาจารย์ใหญ่เจิน ศักดิ์ศรีของหอสมุดมายาอยู่ที่ไหนกัน ? หากอาจารย์ใหญ่มู่กลับมาแล้วได้ยินเื่ที่เ้าทำลายศักดิ์ศรีของหอสมุดมายาละก็เกรงว่าชีวิตของเ้านับจากนี้คงจะลำบากแน่ ในโลกมายาแห่งนี้ไม่ได้มีคนดีมากมายนักต่างก็รู้กันดีว่าแต่ละคนเป็อย่างไร แต่อย่างน้อยพวกเราก็ยังรักศักดิ์ศรีกันอยู่บ้าง”
เจินจวงปี้นิ่งไปพลางคิด “ไม่ว่าจะอย่างไรเราก็ต้องรักษาชื่อเสียงไว้ไม่ใช่หรือ”
สีหน้าของเจินจวงปี้เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องเขาหันไปมองเชียวจ่างเฉินอย่างลืมตัว
เชียวจ่างเฉินพูดขึ้น“เ้าคือผู้ดำเนินงานประลองในครั้งนี้ ข้ามีหน้าที่ดูเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ควรคำนึงถึงชื่อเสียงของหอสมุดมายาด้วย”
เจินจวงปี้รู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่อย่างไรเชียวจ่างเฉินก็เอ่ยปากพูดออกมาแล้วเขาจึงไม่กล้าที่จะขัดขืน ฉะนั้นเขาจึงหันกลับไปที่เฉินโจว “ไว้เ้าค่อยลงประลองในยกต่อไปเถอะ”
ดูเหมือนว่าเฉินโจวยังอยากจะพูดอะไรต่อแต่เจินจวงปี้กลับแสดงสีหน้าเ็าและตวาดขึ้นในทันที “หุบปาก!”
เฉินโจวส่งประกายความดุร้ายและไม่พอใจออกมาทางแววตาแต่ในที่สุดก็ไม่กล้าที่จะก้าวออกไป เขาไม่ได้กลัวเจินจวงปี้แต่คนที่เขากลัวคือเชียวจ่างเฉินต่างหาก เชียวจ่างเฉินเป็รองแม่ทัพของกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กแห่งแคว้นเยี่ยนจึงมีอำนาจของแคว้นเยี่ยนคอยหนุนอยู่ ต่อให้เขาได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเฉินแต่อย่างไรเสีย อำนาจของตระกูลก็สู้อำนาจของแคว้นไม่ได้อยู่ดีหากในเวลานี้เขาทำให้เชียวจ่างเฉินขายหน้าเชียวจ่างเฉินไม่มีวันปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
ดังนั้นเฉินโจวจึงทำได้เพียงมองอันเจิงด้วยความเกลียดชังแววตาของเขาในตอนนี้สามารถฆ่าคนได้เลยทีเดียว
อันเจิงหัวเราะพลางมองไปยังเฟิงเซี่ยวซือ“เริ่มประลองกันได้รึยัง?”
เฟิงเซี่ยวซือรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อยเขาเดาว่าอันเจิงคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายเบิก์ว่ากันว่าเด็กพวกนั้นต่างยกย่องเขาในฐานะผู้นำฉะนั้นต้องเป็คนที่ต่อกรด้วยยากที่สุดแน่ เดิมทีเฉินโจวตั้งใจว่าจะประลองกับอันเจิงแต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็เขา ความมั่นใจของเฟิงเซี่ยวซือหายไปในพริบตาแต่ขึ้นหลังเสือแล้วย่อมลงไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงกัดฟันและเดินหน้าต่อเขาคารวะแล้วแนะนำตัวขึ้น “ข้าเฟิงเซี่ยวซือจากหอสมุดมายา ระดับการบ่มเพาะขอบเขตจุติ์ขั้นสอง”
ที่จริงแล้วเขามีเจตนาให้อีกฝ่ายอ่อนข้อให้เขารู้ดีว่าตนเองชนะการประลองครั้งนี้ไม่ได้แน่ ดังนั้นสู้แสดงว่าตัวเองอ่อนแอให้ฝ่ายตรงข้ามออมมือให้จะดีกว่า เมื่อไม่นานมานี้ เขารับรู้ได้ว่าตนกำลังจะเลื่อนระดับการบ่มเพาะเป็ขอบเขตจุติ์ขั้นสามปีนี้เขาอายุสิบเจ็ดปีแล้ว ระดับความก้าวหน้าในการฝึกเช่นนี้ แม้ไม่ดีมากแต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ได้มาตรฐานแล้ว เขามีรูปร่างสูงใหญ่กว่าอันเจิงแต่กลับพูดจาอย่างนอบน้อมนับเป็เื่ที่น่าประหลาดใจไม่น้อย พวกที่เดิมพันข้างหอสมุดมายาเมื่อเห็นดังนั้นจึงรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาทันที
“อันเจิงจากนิกายเบิก์...”
อันเจิงหัวเราะแล้วพูดต่อ “ข้ายังไม่ได้เข้าสู่ระดับการบ่มเพาะสักขั้นเลย”
เมื่อประโยคนี้ถูกเปล่งออกมา ผู้คนก็นิ่งอึ้งไปตามๆ กัน
“เ้า...เ้าว่าอย่างไรนะ?”
เฟิงเซี่ยวซือแทบไม่เชื่อหูของตัวเองฝ่ายตรงข้ามได้รับการยอมรับจากผู้คนในนิกายเบิก์ เป็ไปได้อย่างไรที่จะยังไม่ได้เข้าสู่ระดับการบ่มเพาะ?เด็กผู้หญิงเมื่อครู่ แม้จะชนะการประลองได้เพราะความบังเอิญ แต่นางก็เข้าสู่ขอบเขตจุติ์ได้แล้วหากอันเจิงยังไม่ได้เข้าสู่ระดับการบ่มเพาะ แล้วเขาทำให้คนอื่น ๆ ยอมรับได้อย่างไร?ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาคิดได้ก็คืออันเจิงต้องกำลังแกล้งล้อเขาเล่นอยู่แน่
“ท่าน...ศิษย์พี่ท่านนี้พวกเราต่างเป็ผู้ฝึกฝนพลังวัตร เวลาประลองก็ควรพูดความจริงให้กระจ่างจะพูดปดไม่ได้เด็ดขาด”
อันเจิงกล่าวยืนยัน “ข้าไม่ได้พูดปด ข้ายังไม่ได้เข้าสู่ระดับการบ่มเพาะจริงๆ หากเ้าไม่เชื่อก็ให้อาจารย์ในหอสมุดมายามาตรวจสอบข้าได้แล้วมาดูกันว่าข้าพูดปดหรือไม่”
ประชาชนรอบด้านเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ทุกคนต่างไม่อยากเชื่อว่าอันเจิงจะยังไม่ได้เข้าสู่ระดับการบ่มเพาะเจินจวงปี้ก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาก้าวยาว ๆ เข้ามาหาจากนั้นก็ยื่นมือไปจับที่ข้อมือของอันเจิง ความหมายที่สื่อผ่านแววตาของเขาก็คือ มาดูกันว่าข้าจะเปิดโปงคำโกหกของเ้าอย่างไรแต่เมื่อเขาััชีพจรของอันเจิงได้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “เ้า...นี่เ้ายังไม่ได้เข้าสู่ระดับการบ่มเพาะงั้นรึ...ฮ่าๆ ๆ เ้ายังไม่ได้เข้าสู่ระดับการบ่มเพาะจริง ๆ ด้วย!”
“เขายังไม่ได้เข้าสู่ระดับการบ่มเพาะ?ไม่รู้จักเจียมตัวเอาเสียเลย กล้าท้าประลองกับผู้ฝึกตนขอบเขตขอบเขตจุติ์ขั้นสองไม่รู้ว่าใจกล้าหรือโง่กันแน่!”
“เห็นทีครั้งนี้ข้าคงไม่ต้องเสียเงินแล้วเขารนหาที่ตายนัก ตัวเองยังไม่ทันได้เข้าสู่ระดับการบ่มเพาะแท้ ๆ แต่กลับมาโอ้อวดบอกว่าต้องชนะสามยกจึงจะถือว่าชนะการประลองที่แท้แล้วก็แค่คนลวงโลก อยากข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามก็เท่านั้น”
“นั่นเป็ถึงหอสมุดมายาเชียวนะมีหรือจะโดนข่มขู่ง่าย ๆ แบบนี้? ทีนี้ก็หมดกันทำตัวเองแท้ ๆ ดูซิว่าทีนี้เขาจะจัดการกับเื่นี้อย่างไร!”
ฝูงคนเริ่มส่งเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆต่างก็กล่าวเย้ยหยันและหัวเราะเยาะอันเจิง พวกคนที่คราแรกคิดว่าตนเองพนันผิดข้างก็กลายเป็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีพวกเขาต่างพากันส่งเสียงฮือฮาทำให้สถานการณ์เข้าสู่ความวุ่นวายทางด้านเกาซานตัวก็มองไปทางผู้เฒ่าฮั่วด้วยสีหน้าสงสัย เขาเค้นถามผ่านสายตา ผู้เฒ่าฮั่วจึงหัวเราะเป็เชิงขอโทษเกาซานตัวส่ายหัวอย่างจนปัญญาแล้วพึมพำออกมา “เห็นทีว่าครั้งนี้ข้าคงต้องเสียหยกแห่งิญญาเสียแล้ว”
เจินจวงปี้ปล่อยมืออันเจิงแล้วเดินไปยืนข้างเฟิงเซี่ยวซือจากนั้นจึงหัวเราะพลางพูดขึ้น “หากเ้าไม่อาจเอาชนะผู้ที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระดับการบ่มเพาะได้หอสมุดมายาคงขายขี้หน้าแย่ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมการประลองนี้ถึงมีกฎห้ามฆ่าคนที่แท้แล้วเขาก็กลัวตายนี่เอง...ฮ่า ๆ ๆ เฟิงเซี่ยวซือ ทีนี้ก็เป็หน้าที่เ้าแล้วนะ”
เฟิงเซี่ยวซือหัวเราะขึ้นแล้วพยักหน้า“รองอาจารย์ใหญ่วางใจได้ ข้าจะระวังให้มาก รับประกันว่าไม่ให้เขาถึงตายแน่”
สีหน้าของเฉินโจวดูซับซ้อนนัก เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคู่แข่งของตนจะอ่อนหัดได้ถึงเพียงนี้เขาวางเป้าหมายเอาไว้หลายขั้นตอน ขั้นตอนแรกคือการเอาชนะอันเจิงที่ทำให้เขาเสียแขนไปข้างหนึ่งและทำให้อันเจิงอับอายมากที่สุดแต่ตอนนี้เมื่อได้รู้ว่า แท้จริงแล้วตนนำหน้าอันเจิงมาไกลแสนไกล ในใจก็มีหลายความรู้สึกถาโถมเข้ามาทั้งผิดหวังและดีใจปะปนกัน
ตู้โซ่วโซ่วจ้องไปยังฝูงชนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาและด่าขึ้นด้วยความโมโห แต่เห็นได้ชัดว่าเสียงของเขาช่างไร้ประโยชน์นักเขาวิ่งเข้าไปเพื่อจะหยุดอันเจิงแต่อันเจิงก็ก้าวออกไปเสียก่อน “โปรดชี้แนะด้วย”
เฟิงเซี่ยวซือบีบมือตัวเองเพื่อเป็การยืดเส้นยืดสาย“อันเจิง ข้านับถือในความกล้าหาญของเ้าแต่ข้าคิดว่าความกล้านี้ช่างโง่เขลาเหลือเกิน”
อันเจิงไม่ได้พูดโต้ตอบแต่อย่างใดเขาเพียงทำท่าเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเริ่มลงมือเท่านั้น
เฟิงเซี่ยวซือพูดขึ้น “เช่นนั้นจะมาโทษข้าไม่ได้นะระวังตัวให้ดี หมัดและเท้าของข้าไม่มีหูไม่มีตา หากทำให้เ้าาเ็เ้าก็อย่าหาว่าข้ารังแกแล้วกัน”
หลังจากที่พูดจบเขาก็ก้าวเดินเข้ามาทันทีสำหรับลูกศิษย์ที่อยู่ในหอสมุดมายาแล้วนับว่าเขามีความแข็งแกร่งในระดับปานกลางหรืออาจถึงขั้นดีเลยทีเดียวความตื่นตระหนกก่อนหน้านี้สลายหายไปจนหมดแล้ว ความผ่อนคลายหลังความกดดันหายไปทำให้ไม่คิดออมมืออีกเขาตั้งใจจะทำให้อันเจิงอับอายขายหน้าจนถึงที่สุด ดังนั้นจึงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพียงก้าวเดียวก็ส่งตัวเขาไปไกลถึงสามเมตร ร่างของเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าอันเจิงจากนั้นก็ตบออกไปอย่างแรง
การโจมตีในครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อให้อันเจิงได้รับาเ็แต่ทำไปเพื่อหยามศักดิ์ศรีต่างหาก หากฝ่ามือที่ตบไปครั้งนี้โดนใบหน้าของอันเจิงละก็นิกายเบิก์คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
อันเจิงยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ เมื่อเห็นฝ่ามือของเฟิงเซี่ยวซือใกล้เข้ามาจึงเริ่มเคลื่อนไหวแต่การเคลื่อนไหวนี้ รวดเร็วเสมือนัเหินฟ้าเลยทีเดียว
ระยะเวลาที่อันเจิงฝึกฝนความเร็วในตราประทับท้าทาย์นั้นนับว่ายาวนานกว่าตู้โซ่วโซ่วและคนอื่น ๆ มากเขารู้ว่าตัวเองไม่ได้มีพร์เหมือนคนอื่น ดังนั้นจึงต้องฝึกร่างกายให้แข็งแกร่งและรวดเร็วมากขึ้นหากฝึกร่างกายจนถึงขั้นสุดยอดแล้ว ก็จะสามารถต่อกรกับผู้ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตจุติ์ได้อันเจิงจับแขนของเฟิงเซี่ยวซือเอาไว้ จากนั้นก็กระชากเข้าหาตัวเองในขณะเดียวกับที่ก้าวขาไปด้านหลังชั่วพริบตาก็สามารถดึงร่างเฟิงเซี่ยวซือให้ลอยขึ้นมา
“หน้าอก เข้าเป้า!”
ในขณะที่อันเจิงกล่าวสามคำนี้กำปั้นของเขาก็ชกไปบนอกของเฟิงเซี่ยวซือทั้งหมดสิบสองหมัดด้วยกันและทุกหมัดก็เข้าจุดสำคัญทั้งสิ้น
“ท้องน้อย เข้าเป้า!”
อันเจิงยกร่างของเฟิงเซี่ยวซือให้ขนานกับพื้นอีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้น อันเจิงก็ยกเข่าขึ้นกระแทกลงบนท้องน้อยของเฟิงเซี่ยวซืออย่างจัง
“กระดูกสันหลัง เข้าเป้า!”
ร่างของเฟิงเซี่ยวซือยังหล่นลงมาไม่ถึงพื้น อันเจิงก็ส่งหมัดไปยังกระดูกสันหลังของเขาไม่ต่ำกว่ายี่สิบครั้งแล้วตุ้บ! เฟิงเซี่ยวซือกระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรง ฝุ่นละอองตลบไปทั่วสนามประลอง
“เ้าช้าเกินไป”
อันเจิงก้มตัวลงมือทั้งสองจับหัวของเฟิงเซี่ยวซือแล้วดึงเข้าหาตัวจากนั้นก็ชกลงที่หว่างคิ้วสามครั้ง ใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามนองไปด้วยเืทันที
หลังจากนั้นอันเจิงก็ลุกขึ้นเขาจับแขนเฟิงเซี่ยวซือเอาไว้ต่อด้วยลากและบิด เป็เหตุให้ไหล่ข้างนั้นหลุดแล้วอ่อนระทวยลงทันทีเขาเปลี่ยนไปจับแขนอีกข้าง ลงมือกระทำอย่างชำนาญ ลากและบิด! ไม่นานแขนอีกข้างก็ยกไม่ขึ้นเช่นกันนับั้แ่ที่อันเจิงลงมือจนกระทั่งสิ้นสุดลง เขาใช้เวลาเพียงสามสิบวินาทีเท่านั้น
“อะไรกัน!”
มีคนอุทานขึ้น “เขายังไม่ได้เข้าสู่ระดับการบ่มเพาะก็จริงแต่จากทักษะการต่อสู้ทางร่างกายที่เขามี หากไม่ใช่ขั้นสุดยอดก็คงใกล้เคียงแล้ว”
“มิน่าเล่าเขาถึงไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย นี่เหมือนการรังแกกันชัด ๆ”
อันเจิงลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปหาเฉินโจว“การประลองยกที่สาม อันเจิงจากนิกายเบิก์ ขอท้าประลองกับเ้า!”
เฉินโจวชะงักไปชั่วขณะจากนั้นก็หัวเราะอย่างเหี้ยมเกรียม “สมใจข้ายิ่งนัก!”