กลุ่มคนในชุดคลุมสีดำที่เหลืออีกสองคนได้วิ่งหนีไปในทันที ส่วนเสี่ยวถิง จ้าวเชิน และต้าหู ทั้งสามคนนั้นต่างมองดูฉากนี้ด้วยความคาดไม่ถึง เด็กหนุ่มผู้มีวรยุทธ์ระดับทงม่ายสองคนได้ร่วมมือกันสังหารยอดฝีมือระดับจื่อฝู่ผู้หนึ่ง!
“เสี่ยวขวง เ้าเป็อะไรหรือไม่?”
มู่เฟิงรีบเข้าไปประคองมู่ขวงในทันที เด็กหนุ่มหยัดกายลุกขึ้นมาก่อนจะส่ายหน้าพลางยิ้มแหย “ข้าไม่เป็อะไร”
“มาให้ข้าดูหน่อย”
มู่เฟิงมองไปยังาแบนทรวงอกและขาของมู่ขวง ก่อนจะพบว่ามันเป็เพียงาแภายนอกเท่านั้น ปราณกระบี่ไม่ได้เจาะทะลวงถึงอวัยวะภายใน
“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าการฝึกฝนของเ้าจะไม่ได้ไร้ประโยชน์ จากพลังป้องกันของเ้าในตอนนี้ เกรงว่าคงมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่ายเพียงไม่กี่คนที่สามารถเอาชนะเ้าได้”
มู่เฟิงหัวเราะขณะกล่าวออกมา ปราณกระบี่ของผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่นั้นสามารถเจาะทะลวงผ่านหินได้ลึกถึงสามฟุตอย่างไม่มีปัญหา และส่วนที่เหลือหลังจากสามฟุตนั้นก็จะพังทลายลง
แต่ร่างกายของมู่ขวงนั้นกลับสามารถต้านทานพลังโจมตีของปราณกระบี่นี้ได้ ซึ่งนี่คือผลลัพธ์ของโล่พลังที่ได้มาจากวิธีการฝึกผลาญโลหิตหลอมกายา
แน่นอนว่าเป็เพราะมู่ขวงนั้นอยู่ไกลจากระยะการโจมตีด้วยส่วนหนึ่ง เพราะหากเขาอยู่ในรัศมีหนึ่งจั้ง* เกรงว่าปราณกระบี่เมื่อครู่คงสามารถสร้างความเสียหายให้กับเขาได้มากกว่านี้อย่างแน่นอน
(*1 จั้ง เท่ากับประมาณ 2.5 เมตร)
“ขอบคุณในความช่วยเหลือของน้องชายทั้งสอง วันนี้ข้าจ้าวเชินถือว่าติดหนี้บุญคุณพวกเ้าแล้ว”
ทันใดนั้นจ้าวเชินและกลุ่มคนของเขาอีกสามคนรวมถึงผู้าเ็ก็กล่าวขอบคุณเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างซาบซึ้งใจ
“เมื่อผ่านทางมาพบความอยุติธรรม พวกข้าย่อมต้องชักกระบี่เพื่อช่วยเหลือ พี่ชายจ้าวเกรงใจกันเกินไปแล้ว อาการาเ็ของพี่ชายท่านนี้ดูเหมือนจะร้ายแรงมาก ข้าพอจะมียารักษาอยู่บ้าง”
มู่เฟิงหยิบขวดยาสีขาวออกมาจากแหวนเฉียนคุน
“แหวนเฉียนคุน!”
คนทั้งสามต่างอุทานออกมาพร้อมกัน สายตาที่พวกเขาใช้มองมู่เฟิงในคราแรกเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย สิ่งของเช่นแหวนเฉียนคุนนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถมีได้ ดูเหมือนว่าภูมิหลังของเด็กหนุ่มผู้นี้คงไม่ธรรมดาเสียแล้ว
คนทั้งสามครุ่นคิดกับตัวเอง
จากนั้นเสี่ยวถิงได้กล่าวขอบคุณและรับมันเอาไว้ นางรีบโรยยาในขวดลงบนาแของสหายในกลุ่มทันที
“ไม่ทราบว่าน้องชายทั้งสองมีนามว่าอะไร? ภายภาคหน้าพวกเราจะต้องตอบแทนบุญคุณของพวกเ้าแน่”
จ้าวเชินเอ่ยถาม
“โอ้ เป็พวกข้าที่เสียมารยาทแล้ว ข้ามีนามว่ามู่เฟิง ส่วนน้องชายของข้ามีนามว่ามู่ขวง พวกเรามายังเทือกเขาอันหนานแห่งนี้เพื่อฝึกฝนวรยุทธ์”
มู่เฟิงกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
“น้องชายแซ่มู่ทั้งสอง หรือว่าพวกเ้าจะเป็คนของตระกูลมู่ในเมืองอันหนานอย่างนั้นรึ? ฝีมือของพวกเ้าทั้งสองนับว่าเก่งกาจมาก กระทั่งสามารถร่วมมือกันสังหารผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่ได้ ข้าขอชื่นชม”
จ้าวเชินกล่าวชื่นชมเด็กหนุ่มทั้งสองจากใจจริง
“พี่ชายจ้าวกล่าวชมกันเกินไปแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็เพราะชายผู้นั้นประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป อีกทั้งการต่อสู้ก่อนหน้านี้ยังทำให้เขาเสียพลังปราณไปไม่น้อย ด้วยเหตุนี้พวกข้าสองพี่น้องถึงสามารถจัดการกับเขาได้สำเร็จ”
“สถานที่ตรงนี้ไม่เหมาะที่จะพูดคุย กลิ่นคาวเืพวกนี้อาจดึงดูดอสูรร้ายออกมาได้ พวกเราออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ”
จ้าวเชินมองไปยังร่างไร้ิญญาบนพื้นก่อนจะกล่าวขึ้น มู่เฟิงจึงพยักหน้า จากนั้นเขากับมู่ขวงก็เดินเข้าไปสำรวจศพของคนทั้งสามที่พวกเขาลงมือสังหาร มู่ขวงได้นำกระบี่เล่มนั้นของอีกฝ่ายเก็บเข้าไปในแหวนเฉียนคุน และนอกจากเหรียญตำลึงทองอีกหนึ่งร้อยตำลึง เขาก็ไม่พบสิ่งใดบนร่างของคนทั้งสามแล้ว
จากนั้นทุกคนก็เดินจากไปโดยไม่มีใครสนใจร่างไร้ิญญาของคนทั้งสามอีก โดยปกติแล้ว อีกไม่นานคงมีสัตว์อสูรที่ผ่านไปมาเข้ามาจัดการกับศพเหล่านี้เอง
พวกเขาเดินมุ่งหน้ามาทางเส้นแบ่งเขตแดนที่จะออกไปนอกเขตเทือกเขาอันหนาน เวลานี้ทุกคนได้หยุดลงบริเวณหน้าลำธารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในที่สุดชายที่ได้รับาเ็จนหมดสติก็พลันตื่นขึ้นมาเช่นกัน เพียงแต่เขายังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มากนัก
มู่เฟิงและมู่ขวงลงไปในธารน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย เวลานี้บนตัวของเด็กหนุ่มทั้งสองล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อและกลิ่นคาวเื
หลี่ต้าหูจับปลาจากต้นน้ำมาได้หลายตัว ด้านเสี่ยวถิงก็กำลังดูแลคนเจ็บ ส่วนจ้าวเชินรับหน้าที่ก่อกองไฟ หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็ได้มานั่งล้อมวงย่างปลาและพูดคุยกัน
จ้าวเชินมองไปยังมู่เฟิงที่ท่อนบนกำลังเปลือยเปล่า และเผยให้เห็นรอยแผลเป็บนตัวของเขา แววตาของเขาแสดงออกถึงความใ ด้านเสี่ยวถิงเองก็ใเช่นกัน
“มู่เฟิง เหตุใดบนตัวเ้าถึงได้มีาแมากมายนัก?”
เสี่ยวถิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“รอยแผลเหล่านี้บางส่วนดูเหมือนจะเพิ่งหายดี แต่บางส่วนก็ดูเหมือนจะเป็รอยแผลเก่าที่ผ่านมานานแล้ว นอกจากนี้แผลส่วนใหญ่ล้วนมาจากของมีคมประเภทดาบและหอก ไม่น่าแปลกใจเลยที่เ้าจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ แท้จริงแล้วเ้าก็เคยผ่านประสบการณ์การต่อสู้มามากมายแล้วนี่เอง”
จ้าวเชินกล่าวด้วยความใ
“คิกๆ พี่ชายจ้าวท่านไม่รู้อะไรเสียแล้ว พี่เฟิงของข้านั้นเติบโตมาในกองทัพ เขาเคยผ่านศึกมานับร้อย ผ่านการสังหารศัตรูมามากมาย รอยแผลเหล่านี้ล้วนได้จากการต่อสู้ในสนามรบทั้งสิ้น”
มู่ขวงยิ้มร่าพลางกล่าวอย่างภูมิใจในรอยแผลของมู่เฟิง
“จริงรึ ข้าคิดว่าน้องชายมู่เฟิงอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น เขากลับเคยผ่านศึกรบมามากมายขนาดนี้เชียว?”
เสี่ยวถิงกล่าวด้วยความชื่นชม
“น้องชายของข้าพูดจาโอ้อวดเกินไปแล้ว ข้าเคยอยู่ในกองทัพและเคยผ่านการรบมาหลายครั้งก็จริง แต่ไม่ได้ผ่านศึกมาเป็ร้อยครั้งอย่างที่เขากล่าวหรอก”
มู่เฟิงสวมใส่เสื้อผ้าเพื่อปกปิดรอยแผลเป็และรอยสักรูปกิเลน
“รอยสักรูปลิเลนสีโลหิตรูปนั้น ข้าเคยได้ยินเื่ของมันมาก่อน ข้าจำได้ว่ามันเป็รอยสักของทหารจากทัพตระกูลมู่ หรือว่าน้องมู่เฟิงเคยเข้าร่วมกองทัพทหารตระกูลมู่มาก่อน”
จ้าวเชินเอ่ยถาม
เมื่อได้ยินคำถามนั้น มู่เฟิงพลันหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าในที่สุด
“ข้าได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้ กองทัพทหารตระกูลมู่ถูกกวาดล้างในศึกแนวหน้าของชายแดน ทหารกล้าที่ทำเพื่อบ้านเมืองเช่นนี้ ข้าจ้าวเชินนับถือและชื่นชมเป็ที่สุด คาดไม่ถึงว่าน้องมู่เฟิงจะเคยเข้าร่วมกองทัพทหารตระกูลมู่มาก่อน ไม่น่าแปลกใจเลยที่ความแข็งแกร่งของเ้าจะโดดเด่นมากขนาดนี้ ไอหยา อย่าได้พูดถึงเื่นั้นเลย วันนี้ข้าขอขอบคุณในความช่วยเหลือของน้องชายทั้งสอง ข้าจ้าวเชินขอดื่มคารวะให้พวกเ้า!”
จ้าวเชินชูถุงเหล้าในมือขึ้นมา ขณะกล่าวกับมู่เฟิงและมู่ขวง
เสี่ยวถิงและหลี่ต้าหูต่างยกถุงเหล้าของตัวเองขึ้นมาเช่นกัน ก่อนจะกำหมัดคำนับเด็กหนุ่มทั้งสองเพื่อแสดงความขอบคุณ
“ดื่ม!”
คนทั้งห้าต่างดื่มเหล้าจากถุงเหล้าของตน จากนั้นพวกเขาก็นั่งพูดคุยกันต่อ
“พี่ชายจ้าว ไม่ทราบว่าคนพวกนั้นเป็ใครรึ เหตุใดต้องลงมือกับพวกท่านด้วย?”
มู่เฟิงเอ่ยถาม
“พวกเขาเป็คนของกลุ่มพยัคฆ์เหลือง กลุ่มพยัคฆ์เหลืองเป็กลุ่มกำลังขนาดใหญ่ในเมืองอันหนาน ก่อนหน้านี้พวกเขามีความขัดแย้งกับกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าของเรา ครั้งนี้พวกเรามายังเทือกเขาอันหนานเพื่อช่วยคนตามหาสมุนไพรชนิดหนึ่ง และเราก็ได้พบต้นผลชิงหยวนในท้ายที่สุด ข้าปีนขึ้นต้นไม้เพื่อเก็บผลชิงหยวนสองผล แต่ระหว่างนั้นก็ได้พบกับคนของกลุ่มพยัคฆ์เหลืองเข้า จากนั้นพวกเขาจึงลงมือกับพวกเราเพื่อหวังจะชิงของไป”
จ้าวเชินกล่าวอธิบาย
ผลชิงหยวนเป็ผลไม้ชนิดหนึ่งที่ดูดซับพลังปราณเพื่อเติบโต หากผู้ฝึกตนที่มีระดับวรยุทธ์ต่ำกว่าระดับหนิงกังได้กินมันเข้าไป ผลชิงหยวนก็จะช่วยเพิ่มพลังปราณให้กับคนผู้นั้นได้ หากผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นเก้าได้กินมันเข้าไป คนผู้นั้นย่อมสามารถทะลวงสู่ระดับจื่อฝู่ได้สำเร็จ
“แท้จริงแล้วก็เป็เช่นนี้”
มู่เฟิงพยักหน้า และทันใดนั้นจ้าวเชินก็ได้หยิบผลไม้ที่มีขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งออกมา ผลไม้ลูกนี้มีสีครามใสบริสุทธิ์และมีพื้นผิวแวววาวสะท้อนออกมา สิ่งนี้ก็คือผลชิงหยวน
“น้องชายทั้งสอง ผลชิงหยวนลูกนี้ข้าขอมอบมันให้พวกเ้า ส่วนอีกผลหนึ่งนั้นน้องสาวของข้ากำลังจะก้าวขึ้นสู่ระดับจื่อฝู่ นางจำเป็ต้องใช้มัน ดังนั้นข้าจึงไม่อาจมอบมันให้พวกเ้าได้ ข้าขอขอบคุณน้องชายทั้งสองที่ช่วยชีวิต”
จ้าวเชินกล่าวอย่างจริงใจและส่งมอบผลชิงหยวนให้กับมู่เฟิง
“ไม่ๆ ๆ พวกท่านเกือบต้องสละชีวิตเพื่อแลกมันมา พวกเราสองพี่น้องไม่อาจรับเอาไว้ได้”
มู่เฟิงและมู่ขวงต่างส่ายหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวปฏิเสธ
“ไอหยา พวกเ้าทั้งสองรับมันเอาไว้เถอะ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงรู้สึกผิดในใจ ผลชิงหยวนลูกนี้ยังเทียบกับน้ำใจของน้องชายทั้งสองไม่ได้ด้วยซ้ำ”
จ้าวเชินยัดเยียดผลชิงหยวนใส่ในมือของมู่เฟิง
“ใช่ๆ พวกเ้ารับเอาไว้เถอะ”
เสี่ยวถิงและหลี่ต้าหูกล่าวอย่างจริงใจเช่นกัน
มู่เฟิงมองหน้าคนทั้งสอง ในเมื่อไม่อาจปฏิเสธได้อีก ดังนั้นเขาจึงยอมรับมันเอาไว้ มู่เฟิงมอบผลชิงหยวนลูกนั้นให้กับมู่ขวง ในตอนนี้วรยุทธ์ของมู่ขวงนั้นอยู่ในระดับทงม่ายขั้นเก้าแล้ว เป็โอกาสอันดีที่เขาจะได้ใช้ผลชิงหยวนนี้เพื่อก้าวขึ้นสู่ระดับจื่อฝู่
พวกเขายังคงพูดคุยกันต่อในระหว่างกินอาหาร เนื่องจากจ้าวเชินต้องพาสหายร่วมกลุ่มเข้าไปรับการรักษาในตัวเมือง ดังนั้นกลุ่มคนทั้งสองจึงได้กล่าวลาและแยกย้ายกันไปตามทาง
มู่เฟิงและมู่ขวงนั้นยังคงรั้งอยู่ในเทือกเขาอันหนานต่อ เนื่องจากมู่เฟิงยัง้าล่าอสูรร้ายเพื่อฟื้นฟูจุดตันเถียนจื่อฝู่ของตน