มีพลังในเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินหลายประเภทในโลก โดยพลังที่ทรงพลังมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยคือพลังด้านเดชสุริยนและอัคคี ในขณะที่พลังที่ลึกลับที่สุดคือพลังด้านดวงตะวัน จันทรา และดวงดารา แต่พลังที่วิเศษที่สุดคือพลังด้านนที
ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย พลังแห่งเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินด้านนทีนั้นเรียกได้ว่าเป็พลังอันน่ามหัศจรรย์
น้ำไม่มีรูปร่างและไม่มีความแน่นอน มันสามารถอ่อนโยนเหมือนสายลม หรือสามารถรุนแรงได้เหมือนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก นอกจากนี้มันยังสามารถแปลงร่างเป็รูปแบบต่างๆ และมันยังสามารถสะท้อนทุกสิ่งและรองรับทุกสิ่งในโลกนี้ได้
ดังนั้นการควบคุมพลังจากมหาสรรพฟ้าดินด้านนทีให้อยู่ในระดับที่นิ่งจนสามารถนำมาใช้ได้นั้นช่างน่าอัศจรรย์ที่สุด
หลัวเลี่ยสามารถใช้เคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินด้านนทีได้เพราะเขาเข้าใจโดยพื้นฐาน ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจในระดับที่ลึกขึ้น เขาต้องเรียนรู้ในรูปแบบอื่นให้มากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น การจลาจลของัในปัจจุบัน
หลัวเลี่ยจมอยู่กับความคิดในเื่นี้
เขาเปรียบหยดน้ำเป็ัที่ร่วงหล่น เมื่อหยดน้ำรวมตัวกันเป็จำนวนมาก ก็เกิดเป็กระแสน้ำคล้ายัที่ทำลายล้างและกระหายเื
ความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ นั้นติดอยู่ที่ปากของหลัวเลี่ย ทำให้เขามีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินด้านนที จากนั้นเขาจึงมีความเข้าใจในระดับที่สูงขึ้นจนเกือบจะกลายเป็ระดับเงิน
ไม่มีเวลาสำหรับการฝึกฝน
ไม่มีเวลาที่จะเข้าใจ
ในชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปยี่สิบวันแล้ว
หลัวเลี่ยได้รับอะไรมากมาย แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจพลังมหาสรรพฟ้าดินด้านนทีในระดับเงินโดยตรง แต่พลังมหาสรรพฟ้าดินด้านนทีของเขาก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก ซึ่งสิ่งนี้จะเป็รากฐานที่มั่นคงสำหรับเขาในการบรรลุถึงระดับเงินต่อไป
โดยปกติแล้วการก้าวข้ามระดับในเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินนั้นไม่ง่ายเลย แม้แต่ปรมาจารย์ที่มีฝีมือก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีคนที่ไปถึงระดับะซึ่งเป็ระดับสูงสุดหรือไม่
ตอนนี้หลัวเลี่ยมีพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับหยินหยางเท่านั้น หากเขา้าพัฒนาต่อไป เขาจะต้องมีการเรียนรู้ที่สม่ำเสมอมากขึ้น
“ข้ามั่นใจว่าสหายหลัวเข้าใจ”
เสียงที่คุ้นเคยดังเข้าหูของเขา
หลัวเลี่ยหันหน้าไปมองตามเสียงนั้น และเห็นว่านั่นคือหยางเสี้ยวเสีย อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เป็ศิษย์ของหลี่จิ้ง
เสวี่ยปิงหนิงที่ขี่ม้าอยู่กับเขาได้ลงจากม้าแล้วหยุดยืนอยู่ไม่ไกล ในมือของนางถือพู่กันวิเศษคอยคุ้มกันให้เขาอย่างเงียบๆ
"ท่านคือสหายหยาง" หลัวเลี่ยะโลงจากหลังอาชาเดือนดารัญ เขากำกำปั้นทำความเคารพและพูดด้วยรอยยิ้ม "ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะได้พบสหายหยางที่นี่ ชะตาของพวกเราต้องกันนัก"
ก่อนหน้านี้หยางเสี้ยวเสียได้มอบสนับมือยุวราชให้กับหลัวเลี่ย
"ข้าก็ไม่คิดว่าจะได้พบกับสหายหลัวที่นี่" หยางเสี้ยวเสียก็ค่อนข้างอารมณ์ดีเช่นกัน
ตอนแรกหยางเสี้ยวเสียอยู่อีกด้านหนึ่งของูเาัทมิฬ แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้ยินใครบางคนเอ่ยถึงอาชาเดือนดารัญ ดังนั้นเขาจึงมาดู และปรากฏว่าเป็หลัวเลี่ยที่กำลังเรียนรู้วิชาอยู่ สิ่งนี้ทำให้เขาทั้งตื้นตันใจและชื่นชม
ในเวลานี้หุบเขาสุสานัยังคงอยู่ในสภาพการก่อจลาจลของั
หลัวเลี่ยกล่าวว่า "ครั้งที่แล้วข้ายังไม่ได้ขอบคุณสหายหยางที่มอบสนับมือยุวราชคู่นี้เป็ของขวัญแก่ข้าเลย"
หยางเสี้ยวเสียโบกมือแล้วพูดว่า “สหายหลัว เ้าอย่าได้เกรงใจไปเลย แค่สนับมือยุวราช แต่สหายหลัว หากเ้าไม่ทำให้ดินแดนนี้วุ่นวายสักสองถึงสามวัน ข้าก็จะชื่นชมเ้ามาก”
หลัวเลี่ยพูดด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ว่า "นี่เ้ากำลังชมข้าหรือว่าร้ายข้ากันแน่"
"ข้าก็อยากเป็เหมือนสหายหลัวเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีความสามารถเช่นนั้น" หยางเสี้ยวเสียถอนหายใจ "ทำลายกลองจู่หลงเช่นนั้นหรือ ข้าเหลือเชื่อมากเมื่อคิดถึงเื่นี้"
"ไม่ใช่ว่าเ้าสามารถขึ้นไปที่สังเวียนับรรพชนจากทางด้านหน้าได้เลยหรือ เ้าทำเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น" หลัวเลี่ยกล่าว
คนส่วนใหญ่ต่างรู้วิธีขึ้นไปบนสังเวียนับรรพชน
หยางเสี้ยวเสียเองก็เช่นกัน
"ข้าได้ยินมาว่ามีผู้มากฝีมือระดับสูงมากกว่าพันคนจากทั่วทั้งดินแดนถูกส่งมารวมตัวกัน แม้แต่หลงไป๋จางที่อ้างว่ามีระดับสูงสุดยังมา" หยางเสี้ยวเสียรู้สึกว่าหลัวเลี่ยไม่ได้ฝืนเข้าไปเพียงเพื่อแสดงความอวดเก่งของเขา และเขารู้ว่ามันเป็ไปไม่ได้ที่จะฝืนเข้าไป
หลัวเลี่ยพยักหน้าและนึกถึงหลงไป๋จางคนนั้นในใจ
พวกเขายืนข้างกันมองดูเหตุการณ์จลาจลของั
“ดูจากสถานการณ์แล้ว การจลาจลคงจะจบลงไม่ง่ายนัก” หลัวเลี่ยขมวดคิ้ว
“อาจใช้เวลาร่วมสามถึงห้าเดือน” หยางเสี้ยวเสียยิ้ม
หัวใจของหลัวเลี่ยกระตุกเล็กน้อย
สามถึงห้าเดือน?
เขายังต้องขึ้นไปที่สังเวียนับรรพชนอีกนะ มันไม่ง่ายเลยที่จะผ่านเส้นทางนี้ไป และนอกจากนี้ยังมีอุปสรรคอื่นๆ ระหว่างทางอีกด้วย หากล่าช้าไปสามถึงห้าเดือน เขาก็ไม่มีเวลาเพียงพอแล้ว
หยางเสี้ยวเสียเข้าใจความรู้สึกของหลัวเลี่ย เขาจึงอธิบายต่อว่า "ัที่ล้มลงในครั้งนี้คือัหยินที่ร่วงหล่นจากตำแหน่งที่สูงมาก"
ัหยินเป็ัที่ใกล้เคียงกับัที่แท้จริงในเผ่าั
"ดูเหมือนว่าโชคของข้าจะไม่ดีเอาเสียเลย" หลัวเลี่ยพูด
หากรอไปสามถึงห้าเดือน หลัวเลี่ยเกรงว่าพวกเขาจะถึงวาระที่จะต้องทนทุกข์ทรมาน
"ข้าโชคดีพอที่จะได้ยินบรรพชนอธิบายวิชายุทธ์" หยางเสี้ยวเสียเอ่ย "เขาเคยพูดว่า เมื่อเ้าล้มเหลวอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะทำให้เ้าสามารถไปได้ไกลขึ้นเรื่อยๆ บนเส้นทางสู่ความสำเร็จ ชีวิตที่ปราศจากความล้มเหลวนั้นเป็สิ่งที่เป็ไปไม่ได้ เ้าจะต้องล้มเหลวเพื่อไปสู่จุดสูงสุด ใช่ มีบรรพชนผู้หนึ่งที่พ่ายแพ้มาตลอดชีวิต และสุดท้ายก็ได้มาถึงจุดสูงสุดของบรรพชนแล้ว เขาตั้งใจจะทะลวงระดับเทพ แต่ก็ล้มเหลวหลายครั้ง การดิ้นรนเพื่อชัยชนะเท่านั้นที่จะสามารถบรรลุความรู้แจ้งอันยิ่งใหญ่ และบรรลุสถานะของเทพได้”
ล้มเหลว?
เขาจะต้องล้มเหลวต่อหน้าเยาวชนทั้งหลายในดินแดนนี้อย่างนั้นหรือ?
หลัวเลี่ยแอบถอนหายใจ เขาไม่สามารถปล่อยวางได้ ถ้าเขาสามารถทำให้สำเร็จได้แล้วทำไมเขาจะต้องยอมล้มเหลว
"ขอบคุณสหายหยางสำหรับคำแนะนำของเ้า" หลัวเลี่ยกล่าว "อย่างไรก็ตาม ความภาคภูมิใจที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของข้าทำให้ข้าไม่อยากล้มเหลว แม้ว่าข้าจะแพ้ ข้าก็ต้องทำให้ดีที่สุดแทนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ เพราะการยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ใช่นิสัยของข้า"
หยางเสี้ยวเสียเข้าใจว่าอัจฉริยะอย่างหลัวเลี่ยจะยอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรออกมาอีก
การสนทนาของพวกเขาจบลงทั้งอย่างนั้น
ผู้คนมากมายที่อยู่รอบๆ ให้ความสนใจคนทั้งสอง และถ้าทุกคนได้ยินสิ่งที่ทั้งสองพูด พวกเขาก็จะรู้จักตัวตนของทั้งสองคนอย่างแน่นอน
บางคนที่พอจะมีชื่อเสียงเล็กน้อยเดินมาหาพวกเขา
เกือบทั้งหมดเป็หัวหน้ากลุ่มต่างๆ และมีคนไม่กี่คนที่ร่ำรวย โดยสังเกตได้จากเสื้อผ้าของพวกเขา
“ข้าน้อยหวงอวี้จากแคว้นปิงเฟิงคารวะท่านทั้งสอง” คนแรกที่เอ่ยปากพูดคือชายในชุดคลุมที่ดูสูงส่งมาก
หลัวเลี่ยยิ้มพร้อมกล่าวว่า "ที่แท้พระองค์ก็เป็องค์ชายจากแคว้นปิงเฟิงหรือ"
ราชวงศ์ของแคว้นปิงเฟิงมีแซ่ว่าหวง และแคว้นนี้ก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ท่ามกลางบรรดาแคว้นทั้งแปดร้อยแห่ง แคว้นนี้ถือได้ว่าเป็แคว้นระดับกลางเท่านั้น โดยผู้ที่ยังอยู่ในรุ่นเยาว์มีองค์ชายหวงอวี้เพียงพระองค์เดียว ซึ่งพระองค์เป็ที่รู้จักในฐานะว่าที่จักรพรรดิองค์ต่อไปของแคว้น หลัวเลี่ยเคยได้ยินเื่ราวเกี่ยวกับคนคนนี้มาบ้างเล็กน้อย
"อ๋องเซี่ยจะสุภาพเกินไปแล้ว" หวงอวี้โบกมืออย่างรวดเร็ว "เป็เกียรติของข้าที่ได้รู้จักอ๋องเซี่ย ข้าชื่นชมในฝีมือของอ๋องเซี่ยที่แสดงให้ทุกคนได้เห็นในแคว้นเหยียนหลงมาก อย่างไรก็ตามสถานะของแคว้นปิงเฟิงไม่สูงนัก และไม่สามารถออกเสียงในกลุ่มพันธมิตรของแปดร้อยแคว้นได้ ขออ๋องเซี่ยได้โปรดเข้าใจทางแคว้นปิงเฟิงด้วย"
ตัวแทนของพันธมิตรทั้งแปดร้อยแคว้นคือต้วนเหยียนเจี๋ยแห่งแคว้นเหยียนหลง ผู้ที่วางแผนจะสังหารหลัวเลี่ย
ที่หวงอวี้พูดแบบนี้ก็เพราะเขาพยายามที่จะแยกความสัมพันธ์ออกจากกันให้มากที่สุด
"ขอให้องค์ชายโปรดวางใจ ตัวข้าเป็คนที่สามารถแยกแยะระหว่างเื่ราวและความไม่พอใจส่วนตัวออกจากกันได้" หลัวเลี่ยกล่าว
หวงอวี้กล่าวว่า "ข้าเคยได้ยินมาว่าอ๋องเซี่ยเป็วีรบุรุษ และในวันนี้ท่านก็เป็เช่นนั้นจริงๆ" เขาเว้นไปชั่วขณะ จากนั้นก็กล่าวต่อว่า "อ๋องเซี่ย ข้ารู้ว่าเ้า้าเดินทางจากไปโดยรวดเร็วที่สุด ข้าเพิ่งถามผู้าุโของแคว้นข้าที่ข้าพามาที่นี่ด้วย ด้วยประสบการณ์อันเก่าแก่ของเขาที่เคยมาในหุบเขาสุสานั เขาบอกว่าการจลาจลัครั้งนี้อาจกินเวลาราวสามเดือนครึ่ง ข้าหวังว่าข้อมูลในเื่นี้คงพอจะช่วยอ๋องเซี่ยได้”
่เวลาที่ได้รับรู้จากคนที่มีประสบการณ์แบบนี้นับว่าเป็เื่ที่เชื่อถือได้มาก
หากต้องรอเป็เวลาสามเดือนครึ่งจริง หลัวเลี่ยคิดว่าแผนการเดินทางหนึ่งปีครั้งนี้อาจเป็เื่ที่ทำได้ยากแล้ว หรือว่าเขาคงต้องยอมแพ้จริงๆ?