เมื่อเข้าไปใกล้ เ่ิูก็ได้เห็นอักษรแดงชาดบนผืนธงชัดๆ
เขาใจเต้น
ตอนที่อยู่ในหอพิจารณ์นั้นได้ยินแม่หญิงตัวน้อยพูดไว้ว่า กลุ่มศิษย์จากสำนักหงส์ฟ้ามาเพื่อเยี่ยมเยียนนั้นได้แบ่งออกเป็สี่ส่วนกระจายไปตามเขตทั้งสี่ปีของสำนักกวางขาว จัดตั้งสังเวียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โค่นล้มมือดีของสำนักกวางขาวไปไม่น้อย ทำการอาละวาดอย่างอุกอาจ ใครจะคิดเล่าว่าเื่จะเลยเถิดมาถึงขั้นนี้
ธงสองผืนนี้ คงเป็ของศิษย์หงส์ฟ้าตั้งขึ้นมาเป็แน่
เพียงแค่กลอนบทนี้อย่างเดียวก็พอรู้ว่าศิษย์หงส์ฟ้านั้นกำเริบเสิบสานไปถึงขั้นไหน กล้าแขวนธงทนโท่อยู่บนสังเวียนกวางขาว นอกจากจะยั่วโมโหแล้ว น่าจะเป็การต่อยหน้ากันเต็มรักเสียมากกว่า
ทว่าธงนี้แขวนมานานนัก ยังไม่ถูกดึงลงมาเลย สื่อได้ชัดเจนว่าศิษย์กวางขาวไม่มีใครกล้ายืนหยัดสู้ หรือสามารถโค่นล้มผู้แข็งแกร่งของสำนักหงส์ฟ้าได้เลย
นักเรียนสำนักกวางขาวที่ยืนล้อมรอบอยู่หลายคนนั้น ต่างคนต่างก็โกรธ ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าะโขึ้นสังเวียนเลยแม้แต่คนเดียว
มีคนมองเห็นเ่ิูปรากฏกายออกมาแล้วอุทานยินดี
พวกเขาหลายคนนึกถึงเื่หน้าหอสมุดวันนั้น ใจแอบวาดหวัง หากาามารเย่สามารถออกโรงได้ล่ะก็ ธงสองผืนน่าอัปยศนั่น ต้องถูกดึงทึ้งลงมาได้แน่!
ทว่าพวกเขาก็ต้องผิดหวังในพริบตา
เพราะเ่ิูแค่ผ่านทางมาเท่านั้น เด็กหนุ่มเพียงเหลือบมองแวบเดียวก็เดินจากไปอย่างไม่นึกสนใจ ไม่มีความคิดที่จะขึ้นสังเวียนเลยแม้แต่น้อย กายลับหายไปในดงพฤกษาไกลๆ อย่างรวดเร็ว...
“ไปแล้วจริงหรือเนี่ย?”
“น่าผิดหวังเหลือเกิน”
“ผิดหวังบ้าบออะไรหา าามารเย่ไม่ลงมือสิเื่ปกติ เฮอะๆ ฉินอู๋ซวงที่พูดเอาเองว่าตัวเป็หมายเลขหนึ่งของปีหนึ่งทำไมไม่ออกหน้าบ้างเล่า? ปกติร่ำๆ ล่าแต่ชื่อเสียง พอเวลาคับขันกลับหายหน้า นี่ต่างหากที่น่าเกลียด!”
“ข้าเห็นด้วย!”
“เฮ้ยๆ พวกศิษย์ชั้นสูงนั่นปกติจะสบประมาทาามารเย่นี่หว่า ตอนนี้กลับอยากให้ออกโรงเสียอย่างนั้น ฝีปากกับหน้าตาแบบนั้นโคตรน่าเกลียดเลยว่ะ...”
หมู่ชนวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ บ้างทะเลาะกันก็มี
...
ห้องกิจการการศึกษา
คำขอเลื่อนชั้นง่ายกว่าที่เ่ิูคิดไว้มากนัก
เขานึกว่าจะต้องใช้เรียงความขอเลื่อนชั้นยาวเป็โยชน์กับกระบวนการทดสอบพลังอีกหลายขั้น ไม่เคยนึกเคยฝันว่าขั้นตอนทั้งหมดง่ายดายเหลือเกิน แค่กรอกแบบง่ายๆ แล้วหัวหน้าห้องกิจการการศึกษา ซึ่งผมขาวโพลนและหน้าตาง่วงงุนแสนธรรมดา จะกวาดตามองเ่ิูปราดหนึ่ง ก่อนอนุมัติคำขอเลื่อนชั้นด้วยพู่กันด้ามใหญ่ทันที
“เริ่มั้แ่พรุ่งนี้ เ้าไปฝึกวิชาที่เขตปีสองได้เลยนะ เื่ต่อจากนั้นเ้าไม่ต้องห่วงไป ทุกอย่างจะจัดระเบียบเรียบร้อยเอง”
หัวหน้าห้องกิจการการศึกษาส่งป้ายชื่อคืนให้เ่ิู มือมีแสงวาบขึ้นมา เปลี่ยนแปลงรายละเอียดในป้ายเล็กน้อย พอขึ้นรูปดังเดิมแล้วก็ส่งกลับมา จากนั้นก็ปัดมือเร่งส่งเด็กหนุ่มให้กลับออกไป
ตลอดทางที่ออกมาจากห้องนั้น าามารเย่งุนงงไม่หน่อย
นี่มันง่ายเกินไปแล้วมั้ง
หรือเหล่าคนในห้องกิจการการศึกษาจะรู้มานานแล้วว่าเขาต้องมายื่นคำขอเลื่อนชั้น จึงได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้เสร็จสรรพ?
าามารเย่ทึกทักเอาในใจ
เขากลับไม่รู้เลย ว่าสำนักกวางขาวนับั้แ่เปิดมาจนปัจจุบันก็เป็เวลาหลายสิบปี มีระบบบริการเบ็ดเสร็จมานานแล้ว หลายปีที่ผ่านมามักมีศิษย์ผู้อัจฉริยะดั่งฟ้าประทานเกิดขึ้นทุกปี ความไวในการฝึกเหนือกว่ารุ่นเดียวกัน ดังนั้นการเลื่อนชั้นจึงมิได้เป็เื่หายากอะไรเลย
พลังที่แท้จริงของหัวหน้าห้องกิจการการศึกษานั้นลึกล้ำไม่อาจหยั่ง ถึงได้มองรู้ระดับพลังของศิษย์ในแวบเดียว ขอเพียงระดับถึงเกณฑ์แล้วเท่านั้น การเลื่อนชั้นก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
เ่ิูถือป้ายสลักนามใหม่แกะกล่องไว้ในมือ เขามองสำรวจครู่หนึ่ง ในใจค่อยๆ ตื่นเต้นขึ้นมา
“เลื่อนชั้นสำเร็จ คราวนี้ก็เข้าออกสำนักได้ตาม้าแล้ว”
เขาคิดดังนั้นก็ไม่ได้กลับหอพัก รีบเดินลิ่วไปยังประตูใหญ่ของสำนักกวางขาว คลุกคลีอยู่ในสำนักกวางขาวมานานเกือบห้าเดือน เด็กหนุ่มเองก็อยากออกไปเดินเตร็ดเตร่ในเมืองบ้างอย่างรอไม่ไหว
ความจริงแล้วาามารเย่ผู้นี้ ก็ยังมีความกระตือรือร้น และจิติญญาของหนุ่มน้อยที่รักความคึกคักอยู่ในหัวใจ
...
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
เ่ิูมาปรากฏกายอยู่หน้าหลุมศพบิดามารดา
ถึงแม้จะผ่านมาได้ไม่ถึงห้าเดือน ทว่าหลุมศพกลับมีหญ้าขึ้นรก เปลี่ยนเป็เหมือนถูกทิ้งร้าง ต้นหลุมเองก็ปกคลุมไปด้วยหญ้า ผันผ่านมรสุมมาหลายระลอก ป้ายหลุมศพพลิกคว่ำเอียงกะเท่เร่...
เ่ิูก้มกายและศีรษะแนบพื้นอย่างเคารพ จากนั้นจึงเริ่มจัดสุสานเสียใหม่
ใช้เวลาไปสิบห้านาทีเต็มถึงจัดการสุสานและโดยรอบได้สะอาดเป็ระเบียบ
เ่ิูนั่งอยู่หน้าหลุมศพ แล้วควักแผ่นกระดาษออกมา
หน้ากระดาษเขียนไว้แน่นขนัดถึงสิ่งที่เขาต้องทำ
ดวงตานั้นมองยังบรรทัดสีแดงบรรทัดแรก
“จะพลิกฟื้นตระกูลเย่ อย่างแรกควรต้องยึดคฤหาสน์คืนมา อัญเชิญป้ายิญญาของพ่อแม่กลับคืนไป...”
เ่ิูกำหมัดแน่น
วันนี้ ในที่สุดก็มาถึง
...
ตัวเมืองลู่ิ
เฉิงเป่ย
ห่างจากเขตเสื่อมโทรมไปได้ไม่ถึงห้ากิโลเมตรดี มีเขตของชนชั้นสูงและเศรษฐีตั้งอยู่ คฤหาสน์รโหฐานตั้งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ อากาศบริสุทธิ์ พันธุ์ไม้เขียวชอุ่ม ถนนหนทางกว้างขวางเป็ระเบียบ นกหลิงส่งเสียงร้อง ผีเสื้อโบยบิน ทิวทัศน์ตระการตา
นี่แหละคือเขตของผู้มีอันจะกินในเขตเหนือ
ทางทิศเหนือของเขตผู้ดีนี้ มีคฤหาสน์ที่ไม่ได้นับว่าใหญ่ ที่ทางไม่เกินร้อยหมู่ ทว่าค่อนข้างเป็ที่ดอน หากน้ำไหลผ่านก็จะไหลออกไปได้ทั้งหมด มีศาลาทั้งบนบกและกลางน้ำ ทำเลที่ตั้งงดงามไร้ที่ติ บรรยากาศทะมึนทึบอ่อนจาง ราวกับมีสิ่งใดรบกวนความสงบของมันอยู่
คฤหาสน์หันหน้าไปทางทิศใต้
ป้ายไม้แดงสลักอักษรตัวใหญ่ ‘ตระกูลติง’ เปล่งประกายแวบวับ
บานประตูมะฮอกกานีสูงหกจ้าง รูปปั้นผีชิวผู้อารักขาเจียระไนจากไข่มุกขาวสูงสามจ้างตั้งอยู่สองด้าน
ติงข่ายเสวียนคือเ้าของคนปัจจุบันของคฤหาสน์นี้
หากเอ่ยถึงที่มาของคฤหาสน์นี้แล้ว ติงข่ายเสวียนก็อดพึงใจมิได้ทุกครั้งไป
ถึงเขาจะมีตำแหน่งเป็ชนชั้นสูง ทว่าก็เป็แค่ชนชั้นสูงชั้นสามในนครลู่ินี้เท่านั้น ทรัพย์สินอิทธิพลทั้งหลายน้อยกว่าพวกชนชั้นสูงยิ่งใหญ่ของจริงชนิดเทียบไม่ติดฝุ่น
ทว่าติงข่ายเสวียนถนัดนักเื่เสาะหาช่องทาง
คฤหาสน์หลังนี้เดิมทีเป็ของตระกูลเย่ พอสามีภรรยาตระกูลเย่ล้มตายในศึกพิทักษ์เมือง เหลือไว้แต่เพียงบุตรชายไม่รู้ประสีประสา ติงข่ายเสวียนเห็นโอกาสเหมาะจึงใช้วิธีสกปรกยากจะมองออก แทบไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร เพียงแค่ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ตนจึงได้ที่แห่งนี้มาไว้ในในที่สุด
กระทั่งคนรับใช้ที่เป็ของตระกูลเย่ ก็ยังกลายมาเป็ทรัพย์สมบัติของตระกูลติง
หลายปีมานี้ติงข่ายเสวียนอยู่คฤหาสน์หลังนี้มาจนชิน เขายิ่งรู้สึกว่าที่นี่ช่างเหมาะเหม็ง จึงย้ายข้าวของจากบ้านชั้นกลางมาอยู่ที่นี่อย่างว่องไว
เื่ราวเป็เช่นนี้ก็สะดวกดีอยู่หรอก
ทว่าเมื่อห้าเดือนก่อนหน้า ลูกชายคนเดียวของตระกูลเย่เ้าเ่ิู กลับเปลี่ยนจากไอ้โง่ดักดานเป็ศิษย์สำนักกวางขาวพร์เก่งฉกาจเสียได้ ติงข่ายเสวียนชักนั่งไม่ติดเก้าอี้
เขาเริ่มกังวลว่าเมื่อใดที่เ่ิูปีกกล้าขาแข็ง แล้วกลับมาชำระบัญชีแค้นกับเขา วันนั้นเื่ราวทั้งหมดจะถูกเปิดโปง แค่คิดก็คงวุ่นไม่หยอกแล้ว
ดังนั้นติงข่ายเสวียนจึงเริ่มวางแผนลับ ตระเตรียมการส่วนหนึ่งไว้แล้ว
เช่นจ้างวานยอดฝีมือมาเป็องครักษ์
วันนี้เมื่อฟ้าสาง ติงข่ายเสวียนตาขวากระตุกเป็ลาง จิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย เหมือนมีเื่ไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น อารมณ์จึงพลอยแย่ตามไปด้วย
เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน ก็เกิดเื่ขึ้นจนได้
คนรับใช้นางหนึ่งนำอาหารมาจัดวาง ไม่ทันระวังทำตะเกียบด้ามหนึ่งตกพื้น ตะเกียบเงินกระทบพื้นเป็เสียงเคร้ง ดึงดูดทุกความสนใจของคนในคฤหาสน์
ติงข่ายเสวียนผู้อารมณ์ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้วโกรธเกรี้ยว เขาไม่ฟังความใดๆ ทั้งนั้น สั่งการให้คนมัดหญิงคนนี้ไว้แล้วหวดเสีย
“ฮึ นังทาสยาจก บังอาจดูิ่ข้า ไม่อยากมีลมหายใจแล้วใช่ไหม...” ติงข่ายเสวียนคำราม
ความโมโหที่ไร้ที่มานั้น ระบายลงกับร่างกายหญิงนางนี้จนหมดสิ้น
ยามนั้นเองที่ติงข่ายเสวียนเพิ่งรู้ความว่าสตรีอายุสี่สิบกว่าผู้นี้คือหนึ่งในคนรับใช้ตกทอดมาจากตระกูลเย่ และยังว่ากันว่าเป็แม่นมคนหนึ่งของเ้าลูกโทนเ่ิูด้วย
ความจริงนั้นยิ่งทำให้เขาโกรธหนักจนแทบบ้า
นางถูกแส้หวดเป็ชุด หญิงที่น่าเวทนาเสื้อผ้าขาดวิ่น เ็ปจนสลบล้มไป
“แกล้งตาย? ฮึ หวดเซ่ หวดมันให้แรงๆ มันตายเมื่อไรก็หาที่ฝังซะ!” ติงข่ายเสวียนอวลด้วยโทสะ เขาตะเบ็งลั่นไม่ปรานี
คนรับใช้ทุกผู้รวมตัวอยู่ด้วยกัน พวกเขาเงียบกริบเป็ป่าช้า ไม่กล้าขอความเมตตาใด
“อย่า อย่านะ! นายท่าน ข้าขอล่ะ ข้าขอล่ะ แม่ข้าไม่ได้ตั้งใจ ขอท่านเมตตานางด้วยเถอะ!” เด็กหญิงคนหนึ่งพุ่งเข้ามากอดหญิงคนนั้นอย่างไม่คิดชีวิต นางอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา
เด็กหญิงคนนี้อายุอานามน่าจะสิบสามสิบสี่ รูปร่างเล็กทว่าสวยสด แม้จะสวมชุดหยาบๆ ของคนใช้อยู่ก็ตาม นางร่ำไห้เป็เผาเต่า มือกอดหญิงที่ถูกตีจนสลบไปแน่นนัก กลัวลนลานจนตัวสั่นงันงกราวลูกไก่ขาวถูกลมฝนกระหน่ำใส่
นางเป็ลูกสาวของสตรีคนนั้น มีนามว่าเสี่ยวฉ่าว
พอเห็นมารดาถูกเฆี่ยนโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เสี่ยวฉ่าวก็ใกลัวจนสติหดหาย น่าเสียดายนักที่นางเป็แค่เด็ก จะเอาปัญญาที่ไหนไปปกป้องแม่จากการลงโทษอันโหดร้ายของผู้ปกปักคฤหาสน์ได้ ไม่นานกายนางก็เต็มไปด้วยรอยแส้ เืสดตัดกันเป็ริ้ว
“นังทาสชั้นเลว ยังกล้าขัดขวางอีกหรือ? ฮึ กล้าไม่ใช่เล่นนะ ไม่มีคำข้าอยู่ในสายตาสักนิด มา ดึงนังนี่ออกไป ข้าอยากให้มันเห็นแม่ไม่รู้ประสีประสาของมันโดนหวดจนตายกับตา จะได้รู้ทำให้ข้าติงข่ายเสวียนไม่พอใจ จะมีชะตากรรมอย่างไร...”
ติงข่ายเสวียนคำรามเหมือนหมาบ้า ยังคงโกรธไม่ลืมหูลืมตา
ขณะนั้นเอง สตรีผู้น่าสงสารพลันตื่นขึ้นท่ามกลางความรวดร้าวแทบแหลกลาญที่ได้รับ
นางดันลูกสาวออกไปสุดชีวิต
“เสี่ยวฉ่าว อย่าสนแม่เลยลูก...เ้า...ต้อง...ต้องอยู่ต่อไป...ต้องมีสักวัน...ที่พี่หยูของเ้าจะกลับมา...” ทั้งเนื้อตัวมีแต่เืสด นางพยายามลืมตาเอื้อนเอ่ยอย่างอ่อนแรง
“ไม่ แม่ ข้าอยากให้ท่านอยู่ต่อ ท่านไม่อยู่ แล้วข้าจะอยู่อย่างไรล่ะ?” เสี่ยวฉ่าวร่ำไห้อย่างตื่นกลัว
พ่อเสียชีวิตไปในาเมื่อสี่ปีก่อน หลายปีมานี้นางอยู่กับแม่ดูแลกันและกันเพียงสองคน แม้ทุกวันจะช่างยากเข็ญ แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถมอบความอบอุ่นแก่กันได้ เด็กหญิงไม่เคยคิดไว้เลย ว่าหากสูญเสียมารดาไป ท่ามกลางโลกที่โเี้เ็านี้ จะไม่มีครอบครัวคนใดอยู่กับนางอีกต่อไป แล้วนางจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน
“มัวนิ่งทำบ้าอะไรอยู่? หวดมันสิ หวดมันแรงๆ...” ติงข่ายเสวียนคำรามเหมือนหมาบ้า