ถึงจะบอกว่าย้าย แต่ในความเป็จริงนั้นเขาแทบไม่มีอะไรเลยสักอย่าง นอกจากชุดที่เขาสวมใส่อยู่ไม่มีแม้กระทั่งกระเป๋าเดินทาง มีก็แต่ชุดที่ได้มาจากโรงพยาบาล แต่ถึงอย่างนั้นชุดนี้ก็ยังไม่ใช่ของเขาอยู่ดีเพราะมันเป็ของโรงพยาบาล หวังโหรวรู้สึกเหมือนเป็ลางไม่ดี ก็เลยโยนทิ้งไปดังนั้นเมื่อพิจารณาดูอย่างถ้วนถี่แล้วก็พบว่า นอกจากชุดที่ชูหลิงให้เขาใส่ และกล้ามเนื้อที่มีน้ำหนักราว100 จินแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดที่เป็ของเขาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
นั่นทำให้ฉินโจ้วรู้สึกแย่ขึ้นมาในทันทีผ่านมากว่า 20 ปี เขาไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าของตนเองรู้สึกช่างน่าสมเพชเสียจริง
การย้ายบ้านก็ไม่ใช่เื่เล็กๆหลังจากที่ฉินโจ้วโทรไป หวังโหรวและชูหลิงก็กลับมา จากนั้นไม่นานฉินโจ้วเสนอตัวเพื่อช่วยเหลือทั้งสองคนในการทำความสะอาดห้องด้วยความเต็มใจแต่เขาก็ถูกทั้งสองไล่ออกจากห้องก่อนที่จะลงมือทำเสียอีกเมื่อฉินโจ้วเหลือบไปเห็นกองชุดชั้นในแบบซีทรูแบบบางเฉียบ แล้วก็ตามมาด้วยฝ่ามือขนาดใหญ่ทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ในเวลานี้เขาแทบจะข่มใจให้สงบไว้ไม่ไหวเขาเคยคิดที่จะหาโอกาสเข้าไปด้านในอยู่บ่อย ๆ แต่อย่างว่า ชูหลิงนั้นเป็ใครเขาจะหาโอกาสแบบนั้นได้ที่ไหนกัน หลังจากล้มเหลวอยู่หลายครา ในที่สุดฉินโจ้วก็ยอมรับชะตากรรมก่อนจะคิดหาโอกาสใหม่ในคราวหน้า
"นี่นายกำลังคิดจะลักพาตัวผู้หญิงหรืออย่างไร ชูหลิงเอ่ยขึ้นทันที นั่นทำให้หวังโหรวถึงกับชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกลับมาเป็ปกติดังเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่เธอกำลังยกกระเป๋าเก็บใส่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่กลับคอยเงี่ยหูฟังคำตอบจากฉินโจ้วอยู่
"อะไรนะ? ฉินโจ้วถึงกับตกตะลึง"ลักพาตัวอะไรกัน ไปได้ยินมาจากไหนผมเป็นักเรียนดีเด่นนะ ลักพาตัวเอย หลอกลวงเอย ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมทั้งนั้นอาจารย์หวังเป็พยานให้ผมได้ คุณอย่าทำให้ผมใสิหรือว่าคุณกำลังพูดถึงหนานกงเสี่ยว
ชูหลิงแค่นเสียง “เฮอะ...” ออกมาอย่างไม่พอใจสีหน้าท่าทางดูไม่ดีเท่าไร ก่อนจะพูดขึ้นว่า"นายจะไปติดต่อคบหากับผู้หญิงคนไหน ฉันเองไม่เคยสนใจแต่ผู้หญิงคนที่ชื่อหนานกงเสี่ยวนั่น สถานภาพของเธอไม่ธรรมดาเลยคนของตระกูลหนานกงนั้น คงไม่ต้องให้ฉันเตือนนายไว้ก่อนกระมังว่าตัวแทนของตระกูลนั้นทำอะไรได้บ้าง ถึงแม้ว่าฉินหวังกรุ๊ปจะกำลังเติบโตได้อย่างดีภายในเกมแต่ว่าในโลกแห่งความเป็จริงตระกูลของเขาสามารถบดขยี้เราให้ตายได้เพียงใช้แค่นิ้วเดียวฉันเองก็ไม่อยากคิดว่านายจะหาเื่ใส่ตัว จนถลำตัวลงไปลึกกว่านี้ เพราะเมื่อเวลานั้นมาถึงตัวนายเองนั่นแหละที่จะเ็ป ในฐานะที่เป็เพื่อนกันฉันเองก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเตือนนายให้รู้เอาไว้"
"ขอบคุณนะ" ฉินโจ้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาเองก็ไม่ได้คำนึงถึงเื่นี้อย่างจริงจังเลย
ชูหลิงรู้สึกว่าน้ำเสียงของเธอฟังดูจริงจังมากเกินไปจึงปรับระดับเสียงลง ก่อนจะถามขึ้นว่า"ว่าแต่ความสัมพันธ์ระหว่างนายกับสาวคนนั้น นายยังไม่ได้ทำอะไรลงไปใช่ไหมว่าไง?"
น้ำเสียงแบบนี้ทำให้รู้สึกไม่ดีเลยฉินโจ้วถึงกับขมวดคิ้ว เธอเองก็ไม่ได้เป็แม่ของผมเสียหน่อย เป็แค่ลูกจ้างเท่านั้นทำไมถึงกล้าใส่ร้ายผมแบบนี้ คิดจะก่อฏยึดอำนาจหรืออย่างไรกันฉินโจ้วรู้สึกว่าท่าทางที่ชูหลิงแสดงออกมานั้นต้องมีอย่างอื่นนอกเหนือจากความเป็ห่วงเป็แน่เมื่อรู้อย่างนี้แล้วทำให้เขาเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาจนทำให้ลืมตอบคำถามไปชั่วขณะหนึ่ง
ท่าทางการแสดงออกของฉินโจ้วนั้นอยู่ในสายตาของชูหลิงโดยตลอดแต่ดูเหมือนจะมีความหมายอื่นแอบแฝงอยู่ พวกเขาทั้งสองคนทั้งเธอและเขาเคยมาถึงขั้นนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้มีอะไรเกินเลย ทั้งๆ ที่น่าจะทำไปแล้วชูหลิงรู้สึกโกรธมาก จึงต่อว่าขึ้นมา "นายมันคนอกตัญญู ไม่รู้คุณคนนายทำแบบนี้ได้อย่างไร นายเอาฉัน... เอาน้องโหรวของฉันไปไว้ที่ไหนนายได้เธอแล้วคิดจะทิ้งอย่างนั้นหรือ"
ฉินโจ้วยืนงงไปชั่วขณะ ''นายเอาฉัน...'' สามคำนี้มันหมายความว่าอะไรกัน?ถึงแม้ว่าเธอจะเปลี่ยนเป็ ‘น้องโหรวของฉัน’ทันทีแต่ถ้าคนที่สายตาดีย่อมมองออกว่าท่าทีของชูหลิงนั้นมีความหมายว่าอย่างไร หรือว่าเกี่ยวกับเื่ที่เห็นเธอตอนเปลือยจนหมดเลย้าให้รับผิดชอบ เธอ... ้าอะไรกันแน่ ฉินโจ้วก็ไม่ค่อยแน่ใจ ชูหลิงดูเหมือนไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาทั่วไปไม่คิดว่าจะได้เห็นหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยาที่เป็วัฒนธรรมดั้งเดิมสะท้อนออกมาให้เห็นจากตัวเธอในเวลานี้ถึงแม้พูดไปแล้ว ฉินโจ้วก็ยังไม่เชื่อตัวเองเลยด้วยซ้ำ เขาถึงกับดูโง่ไป
หวังโหรวก็ไม่ได้คิดว่าเื่นี้จะส่งผลกระทบมาถึงตัวเธอด้วยใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็สีแดงขึ้นเล็กน้อย รู้สึกเหมือนเป็ขโมยที่ถูกจับได้เธอเองก็มีความรู้สึกที่ดีให้กับเด็กนักเรียนคนนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วเธอคงไม่ยอมรับเขาและยอมยกห้องของเธอให้กับเขาไปเตียงของเธอปกติไม่เคยให้ใครนอน ก็ยอมยกให้เขาได้อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยอย่างไรก็ตามความรู้สึกก็ยังค่อนข้างคลุมเครืออาจเป็แค่เพียงความห่วงใยของอาจารย์ที่มีต่อนักเรียนก็เป็ได้ เดิมทีก่อนหน้านี้ก็ไม่มีอะไรแต่ทันใดนั้นก็รู้สึก...
หวังโหรวเตรียมเอ่ยปากจะพูด ตั้งใจจะแก้ต่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
"อย่าไปสนใจ อย่าไปคิดถึงเขาเองก็ไม่เคยแสดงออกอย่างชัดเจน" ทำให้ชูหลิงแสดงความปรารถนาที่อยู่ในใจออกมาโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ดูโง่งมไปชั่วขณะถึงแม้ว่าเธอจะรีบเปลี่ยนคำพูดกลับอย่างรวดเร็ว เป็ ‘น้องโหรว’ทันทีแล้วก็ตามซึ่งเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าทั้งสองคนจะทันได้ยินสิ่งที่พูดออกไปหรือไม่ ตอนนี้คงทำได้เพียงภาวนาอยู่ในใจสำหรับชายคนที่สามารถเข้ามาอยู่ในโลกของเธอได้นั้น ก็ยังคงเก็บไว้อยู่ในส่วนลึกในใจของเธอแม้จะไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกดีด้วยหรือไม่ก็ตาม เื่ก่อนหน้านี้เป็อย่างไรเธอไม่เก็บเอามาใส่ใจคงต้องพูดว่า สำหรับตัวเธอแล้ว ธุรกิจนั้นย่อมมีความสำคัญมากกว่าผู้ชาย ซึ่งในเวลานี้ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจอย่างแจ่มชัดแล้ว
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกผิดเพราะในความคิดของเธอ ฉินโจ้วควรเป็ของหวังโหรว แต่ในเมื่อพูดออกไปแล้วคงไม่อาจกลับคำได้อีก ถึงแม้ว่าอยากจะอธิบาย ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร จึงทำได้แค่เพียงนิ่งเงียบต่อไป
ทั้งสามคนนั้นต่างไม่มีใครพูดอะไรเลยในห้องนั้นเต็มไปด้วยความเงียบงันชั่วขณะ สายตาของฉินโจ้วจับจ้องไปที่เพดาน ส่วนหวังโหรวนั้นก้มมองลงที่พื้นในขณะที่สายตาของชูหลิงจ้องมองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย เต็มไปด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"จะให้พูดอย่างไรดีทันทีที่ตกหลุมรักก็อกหักเสียแล้ว"
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทำให้พวกเขาทั้งสามสะดุ้งใ จนทำลายบรรยากาศที่แปลกประหลาดนั้นฉินโจ้วคว้าโทรศัพท์ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปราวกับหลบหนี หลังจากนั้นไม่กี่นาทีฉินโจ้วก็โผล่แต่หน้ามาทางประตู เมื่อเห็นทั้งสองคนจึงพูดขึ้นว่า พอดีนัดเพื่อนไว้เดี๋ยวผมออกไปไม่นาน
ฉันรู้อยู่แล้วว่านายน่ะี้เี ชูหลิงดูถูกการกระทำของฉินโจ้วแต่เธอเองก็ไม่อยากเก็บมาคิด จึงผลักฉินโจ้วออกจากห้องไปโดยไม่ยอมให้เขาเข้ามาช่วย
"รีบกลับหน่อยนะแต่ก็... ช่างมันเถอะ ตอนที่นายกลับมา เราคงจะไปถึงบ้านใหม่แล้วถ้ากลับมาแล้วก็โทรมาแล้วกัน เดี๋ยวฉันให้ชูหลิงมารับนายเองเพราะว่านายยังไม่รู้ที่อยู่ของบ้านใหม่" ยังดีที่หวังโหรวคิดอย่างรอบคอบ
"ให้ไปหานายน่ะเหรอฉันไม่ไปหรอก โกหกน่ะสิ ดูท่าคงจะออกไปทั้งวันแหง"ชูหลิงพูดขึ้นพลางทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ
ฉินโจ้วไม่สนใจคำพูดของชูหลิงก่อนจะขอบคุณอาจารย์หวังและเดินจากไป
โรงแรมจิ่นซิ่วตั้งอยู่บนถนนหงฉีเป็โรงแรมระดับห้าดาว เป็แหล่งรวมของร้านอาหารและที่พัก มีคาราโอเกะและซาวน่าเป็สถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในเมืองก้านโจวผู้ที่มาใช้บริการส่วนใหญ่ก็เป็คนที่มีฐานะร่ำรวยพนักงานทั่วไปไม่ค่อยมีใครมาที่นี่ เพราะมาแต่ละครั้งต้องมีไม่ต่ำกว่าหลายพันหยวนสำหรับคนทั่วไปแล้วที่นี่ถือได้ว่าค่อนข้างจะหรูหราเป็อย่างมากเลยทีเดียว
เผลอแพล็บเดียวสิ้นเดือนก็มาถึงอย่างไม่ทันรู้ตัวเขาเองก็เป็หัวหน้าของกลุ่มตำรวจเมือง ทำให้หาวันหยุดพักร้อนได้เพียงแค่สองวัน ''หงยี่'' หัวหน้าทีมแมลงตัวเล็ก จึงรีบโทรหาฉินโจ้วทันทีที่เลิกงาน
มีสิงโตคู่ขนาดราว 2 เมตรตั้งอยู่หน้าทางเข้าซ้ายขวาของประตูโรงแรม แลดูน่าเกรงขาม เมื่อเดินขึ้นบันไดไปก็จะพบกับสาวงามรูปร่างสูงโปร่งสี่คนยืนเรียงรายทั้งซ้ายและขวาหน้าตาสะสวยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สวมชุดกี่เพ้าผ่าข้างยาว เมื่อใดก็ตามที่ย่อตัวลงชายกระโปรงก็จะแหวกออก เผยให้เห็นต้นขาขาวเนียนที่ซ่อนอยู่สุภาพบุรุษทั้งหลายที่ผ่านไปมาถึงกับต้องเหลียวมองอยู่บ่อยครั้ง
พื้นปูด้วยหินอ่อนธรรมชาติ มันถูกขัดเงาด้วยเทคนิคที่ยอดเยี่ยมเงางามจนสามารถสะท้อนภาพของคนได้ ทั้งหมดเรียบเนียนเสมอกัน จนดูคล้ายกับกระจกเงาฉินโจ้วเดินเข้าไปในห้องโถง พนักงานโรงแรมรีบเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้มและทักทายว่า"ไม่ทราบว่ามาท่านเดียว หรือนัดเพื่อนไว้แล้วครับ"
ฉินโจ้วยังไม่ทันได้ตอบ ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกก็มีสาวงามในชุดราตรียาวสีแดงเพลิงก้าวออกมาไม่รู้ว่าเพราะพื้นมันลื่นหรือส้นสูงนั้นสูงมากเกินไปจึงทำให้ร่างกายทรงตัวไม่อยู่ก่อนที่เธอจะเซเข้ามาหา และชนเข้ากับฉินโจ้ว ในขณะที่หญิงสาวคนนั้นกำลังเข้ามาใกล้เขาฉินโจ้วก็ก้าวออกด้านข้างโดยปกติแล้วถ้าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นในเกม เขาจะหมุนตัวหลบด้วย ''ย่ำหิมะไร้รอย'' ซึ่งจะมีระยะห่างราวสามฉื่อแต่ครานี้ดูเหมือนจะให้ผลที่แปลกไป ไม่ได้คาดคิดว่าจะทำสำเร็จถึงแม้ระยะที่ได้จะแตกต่างแต่อย่างน้อยก็สามารถหลบการชนของหญิงสาวได้พ้น ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นรวดเร็วมากฉินโจ้ว ก็ไม่ทันได้มองให้ดี
"โอ๊ย..."
สาวงามคนนั้นจึงล้มหน้าคะมำลงไปจับกบกับพื้น เธอรู้สึกอายมากกระโปรงยาวสีแดงเพลิงเปิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจเผยให้เห็นต้นขาขาวเนียนกับสะโพกที่อวบอิ่ม เมื่อมองจากมุมด้านหลังก็จะเห็นบางสิ่งที่อยู่ภายใต้ชั้นในแบบซีทรูเนื่องจากทั้งสองแขนนั้นัักับพื้นเป็อย่างแรก ก่อนที่ใบหน้าจะแนบไปกับพื้นจึงลดแรงกระแทกลงไปพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงดูไม่จืดเป็แน่โชคยังดีที่พื้นนั้นเรียบมันราวกับกระจก ไม่อย่างนั้นหน้าของเธอคงจะต้องมีแผลเป็อย่างแน่นอนนี่ยังโชคดีที่ข้อศอกทั้งสองข้างเป็แค่รอยฟกช้ำ
พนักงานโรงแรมถึงกับใ ถ้าแขกที่มาพักเกิดอุบัติเหตุทางโรงแรมจะต้องเป็ฝ่ายรับผิดชอบ เขาจึงรีบเข้าไปช่วยสาวงามคนนั้นให้ลุกขึ้น และพูดขึ้นว่า"เป็อย่างไรบ้างครับ คุณอู๋เจ็บตรงไหนหรือเปล่าเดี๋ยวผมพาคุณไปโรงพยาบาล"
"นายเดินยังไงของนายตาบอดหรือไง ถึงไม่เห็นว่าฉันกำลังเดินอยู่ จะรีบไปไหนไม่ทราบ" สาวงามไม่สนใจพนักงานโรงแรมแม้แต่น้อย แต่ะโต่อว่าฉินโจ้วที่อยู่ตรงหน้าด้วยเสียงอันดังสายตาจ้องมองราวกับจะกินเืกินเนื้อ
สาวงามคนดังกล่าวนั้นสะดุดล้มกับพื้นโดยบังเอิญซึ่งมีหลายคนในห้องโถงเห็น เพียงแต่ส่วนใหญ่ก็เพียงแค่มอง ไม่ได้สนใจแต่อย่างใดก่อนจะต่างคนต่างเดินต่อไปตามปกติ แม้ว่าจะเป็การต่อว่าของสาวงามแต่ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คน ทำให้หลายคนเริ่มล้อมวงเข้ามาถึงแม้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาก็อยากดูเื่สนุกและมีผู้คนได้เห็นเหตุการณ์ เมื่อมองไปที่สาวงาม ความคิดก็เปลี่ยนไปในทันทีผู้คนต่างคิดในแง่ดีว่าเธอคงจะแค่อารมณ์ไม่ดี
คิ้วของฉินโจ้วเริ่มขมวดเข้าหากันไม่ได้คิดเลยว่าจะเกิดเื่แบบนี้ขึ้นหลังจากที่ก้าวเข้าโรงแรมซึ่งเื่นี้มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลยไม่ต้องพูดถึงเื่ที่เขาไม่ได้ชนสาวงาม หรือต่อให้ชนคนที่ต้องรับผิดชอบก็ต้องเป็ฝ่ายตรงข้ามอยู่ดี การที่เห็นคนล้มแล้วไม่ช่วยเหลือดูเหมือนว่าไม่ได้ผิดกฎหมายแต่อย่างใด
เมื่อเห็นท่าทีของสาวงามที่แสดงออกมาเขาเองก็รู้ว่าอธิบายไปก็เปล่าประโยชน์ เวลาได้เจอคนแบบนี้คงทำได้แค่บอกตัวเองว่าดวงไม่ดีเขาจึงไม่สนใจคำต่อว่าจากสาวงามคนนั้น และเดินตรงไปที่ลิฟต์ดูเหมือนว่าหงยี่จองห้องไว้อยู่ที่ชั้น 7
"นายคิดจะไปเฉยๆ หลังจากที่ชนคนอื่นหรือนายควรจะต้องรับผิดชอบในเื่นี้นะ"สาวงามคนดังกล่าวพุ่งเข้ามาก่อนจะดึงเสื้อของฉินโจ้วเอาไว้ ด้วยท่าทีที่หยาบคายไร้เหตุผล
“ปล่อยมือซะ”ฉินโจ้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็า ระดับเสียงนั้นไม่ได้ดังมากถึงแม้ว่าเขานั้นไม่ได้โกรธ แต่แรงกดดันที่รุนแรงก็ยังคงแผ่พุ่งออกมาเมื่อสาวงามได้จ้องมองั์ตาคู่นั้น ในใจถึงกับสั่นอย่างไม่รู้เหตุผลและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จึงรีบปล่อยมือ
ฉินโจ้วพูดกับพนักงานโรงแรมด้วยน้ำเสียงปกติว่า“คุณคงจะเห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจนั้แ่ต้นจนจบว่าผู้หญิงคนนี้รีบก้าวออกมาจากลิฟต์และสะดุดล้มลงที่พื้นซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวกับผม ผมหวังว่าทางโรงแรมจะจัดการกับเื่นี้ทันที อย่าทำให้ผมหมดอารมณ์ในการมากินอาหารถ้าคุณไม่สามารถจัดการได้ ก็ให้เรียกคนที่สามารถจัดการได้มาแทน” ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะค่อนข้างอ่อนโยนแต่พนักงานโรงแรมกลับรับรู้ได้ถึงความกดดันที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น ก่อนจะโน้มตัวน้อมรับคำสั่ง
ได้ยินพนักงานโรงแรมเรียกผู้หญิงคนนั้นว่า‘คุณอู๋’ ฉินโจ้วเดาเอาว่าผู้หญิงคนนั้นก็คงมีสถานะบางอย่างเนื่องจากสถานภาพของพนักงานโรงแรมคนนี้ไม่สามารถรับมือกับเื่นี้ได้เขาจึงให้คนที่สามารถจัดการได้ลงมาแทน คนธรรมดาทั่วไปก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน
“คุณอู๋ ในเมื่อคุณไม่ได้รับาเ็ก็แล้วกันไปแล้วกัน มองดูแล้วใบหน้าของคุณก็ยังดูสวยดีเหมือนเดิม ผมคิดว่าเื่นี้คงไม่จำเป็ต้องรบกวนผู้จัดการหรอก” พนักงานโรงแรมพยายามพูดโน้มน้าวเพราะเขาเองก็เข้าใจเหตุการณ์ั้แ่ต้นจนจบเป็อย่างดี ถ้าให้พูดออกมาสุดท้ายแล้วคุณอู๋ก็จะเป็ฝ่ายเสียหน้า ถึงแม้ว่าจะโน้มน้าวใจได้สำเร็จแต่ความจริงก็เพื่อผลประโยชน์ของคุณอู๋เอง ฉินโจ้วมองไปที่ชายคนนั้นดูเหมือนเป็คนที่พูดจาได้ดีทีเดียวหรือต่อให้เขานั้นต้องรับผิดชอบ นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้คุณอู๋ต้องเอาปี๊บคลุมหัวเป็แน่
หลังจากที่คุณอู๋ได้ฟังการโน้มน้าวใจแล้วก็เงื้อมือตบไปที่หน้าของพนักงานโรงแรมคนนั้น เสียงถูกตบดังขึ้น ทำให้ผู้คนในห้องโถงได้ยินอย่างชัดเจนใบหน้าของพนักงานโรงแรมสะบัดไปตามความแรง ถึงจะรู้สึกเ็ปแต่ไม่สามารถทำอะไรได้
คุณอู๋ท่าทางในตอนนี้ราวกับถูกเหยียบหางก่อนจะชี้หน้าด่าพนักงานโรงแรมว่า “แค่พวกมดปลวกไร้ค่ามีสิทธิ์อะไรมาสะเออะพูดกับฉัน แกอยู่ข้างใครกันแน่แกยัง้าทำงานที่นี่ต่อไปไหม เ้าเด็กนั่นให้อะไรแก ถึงต้องไปช่วยพูดเข้าข้างมันฉันจะบอกแกไว้เลยนะ คิดจะมาแหย่แม่แก่คนนี้ อย่าหวังว่าจะจบง่ายๆไม่ต้องรบกวนผู้จัดการ อย่างนั้นเหรอ ได้...เดี๋ยวฉันจะโทรเรียกผู้จัดการออกมา ให้มาดูพนักงานของเขาหน่อยว่ามีคุณภาพมากแค่ไหน ไร้มารยาท ไม่มีการศึกษา” ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาผู้จัดการของโรงแรมหลังจากนั้นไม่นานโทรศัพท์ก็ต่อติด และตามมาด้วยเสียงพูดคุยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ฟังดูเหมือน้าให้ตักเตือนลูกน้อง
พนักงานของโรงแรมจิ่นซิ่วนั้นมีประสิทธิภาพสูงมากผู้จัดการลงมาหลังจากนั้นไม่นานนัก คุณอู๋เพิ่งจะวางหูไปได้ไม่ถึงสามนาทีชายวัยกลางคนสวมสูทรีบเดินออกมาจากลิฟต์พิเศษ รองเท้าหนังเงาวับ ผมหวีเรียบแปล้ ผิวหน้าเหลืองๆคล้ายกับขี้ผึ้ง ดูแล้วน่าจะเป็ผู้จัดการโรงแรมจิ่นซิ่ว ชื่อ ‘หวงฝู๋เฉิง’ ซึ่งคนทั่วไปในเมืองนี้ต่างเรียกเขาว่า ‘พระพุทธรูปทองคำ’
เมื่อออกจากลิฟต์มาหวงฝู๋เฉิงก็มองไปที่ห้องโถง ก่อนจะหันไปที่พนักงานต้อนรับด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะพูดขึ้นว่า"เกิดอะไรขึ้นกับนาย ลืมกฎของพนักงานโรงแรมไปแล้วหรืออย่าลืมสิว่าลูกค้าก็คือพระเ้า ไปล่วงเกินลูกค้าได้อย่างไรกันรีบขอโทษคุณอู๋เดี๋ยวนี้เลยนะ"
หลังจากที่อบรมพนักงานโรงแรมคนนั้นเสร็จใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดกับสาวงามด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า"คุณอู๋ ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ต้อนรับคุณได้ไม่ดี เนื่องจากพนักงานคนนี้เพิ่งเข้ามาใหม่จึงยังไม่เข้าใจกฎระเบียบของที่นี่ เื่กระทบกระทั่งคราวนี้คุณเองก็เป็คนใจกว้างเหมือนมหาสมุทร “โจวกังยังไม่รีบขอโทษอีก”คำพูดสุดท้ายนั้นสำหรับพนักงานโรงแรมคนนี้
พนักงานโจวกังก็เต็มไปด้วยความคับข้องใจแต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงมันออกมา เขารู้ดีว่าในเวลานี้ถ้าเขาแสดงความไม่พอใจหรือแก้ตัวอะไรแม้แต่เพียงเล็กน้อยงานที่รายได้ดีงานนี้ก็คงจะสิ้นสุดลง เขากลั้นใจก่อนจะเดินตรงไปหาคุณอู๋ และพูดด้วยความนอบน้อมว่า"คุณอู๋ นี่เป็ความผิดของผมเองที่ผมไม่ได้พูด คุณเองเป็คนใจกว้างหวังว่าคงจะไม่ถือสาหาความกับคนที่ความรู้น้อยอย่างผม
“เชอะ...” หญิงงามส่งเสียงไม่พอใจก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็าว่า "ฉันเห็นแก่หน้าผู้จัดการหวงจะให้โอกาสนายได้แก้ตัว ตอนนั้นนายยืนอยู่ตรงนี้คงจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเอาล่ะนายบอกพวกเราสิว่า เกิดอะไรขึ้น ชายคนนั้นชนฉันจนล้มลงกับพื้น ฉัน้าความรับผิดชอบฉัน้าคำขอโทษ" เธอไม่รอให้โจวกังนั้นได้เล่าเื่ราวเพื่อจะได้แก้ไขบางสิ่งให้เป็ไปอย่างที่มันควรจะเป็เธอกำลังข่มขู่โจวกังให้เราเล่าเื่ตามที่เธอ้า ถ้าโจวกังเป็คนที่ไม่ซื่อสัตย์ก็ต้องยินยอมตามที่เธอ้าเหตุการณ์ที่สร้างความขุ่นเคืองให้เธอก็ถือว่าแล้วกันไป และถ้าโจวกังไม่เชื่อฟังเื่ก็ยังไม่จบลงแค่นี้แน่
"เอ่อ... "โจวกังถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ จะให้เขาพูดโกหกอย่างนั้นหรือ
ฉินโจ้วนั้นเดินมาถึงหน้าประตูลิฟต์แล้วแต่เนื่องจากผู้จัดการมา เขาจึงหยุด ดูว่าผู้จัดการจะรับมือกับเื่นี้อย่างไรแต่เท่าที่ดู ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบกับสิ่งที่หญิงบ้าคนนั้นทำ แต่ก็ถือว่าผู้จัดการเข้ามาแก้ปัญหาได้ดี
ทันทีที่หวงฝู๋เฉิงเห็นปฏิกิริยาที่แสดงออกของลูกน้องเขาก็รู้ได้ทันทีว่าที่คุณอู๋พูดนั้นไม่น่าจะสมเหตุสมผลเขาเห็นเื่แบบนี้มานักต่อนักแล้ว จึงไม่ยากที่จะรับมือเขาปรับอารมณ์ลงครู่หนึ่งก่อนจะะโไปยังฝูงชนที่ห้อมล้อมอยู่ว่า"ไม่มีอะไรแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดี อย่ามัวแต่ยืนอยู่ที่นี่และทำให้เวลาที่มีค่าของคุณต้องเสียเปล่า ไม่ว่าคุณจะรับประทานอาหารอะไรหรือใช้บริการอื่นๆ วันนี้ทางโรงแรมจะลดค่าบริการทุกอย่างในโรงแรมลง 10% ครับ"
ผู้คนที่อยู่รายรอบถึงกับตาเป็ประกาย แต่ละคนจึงเริ่มแยกย้ายกันไปคนที่รู้จักหวงฝู๋เฉิงดีนั้นจะรู้ว่าเขาเป็คนง่ายๆ สบายๆแต่ไม่เคยแสดงออกทางสีหน้า คนที่ไม่รู้ก็รู้สึกดีใจกับส่วนลด 10% ถึงแม้ว่าจะเป็เพียงแค่ 10% แต่มันก็ช่่วยประหยัดไปได้หลายพันหยวนไม่มีใครที่จะอยู่ได้โดยไม่พึ่งพาเงิน
เมื่อฝูงชนแยกย้ายกันไปจนหมดแล้ว หวงฝู๋เฉิงมองไปที่ฉินโจ้ว ก็พบว่าไม่คุ้นหน้า ซึ่งเขากำลังยืนสบายอารมณ์อยู่ให้ความรู้สึกที่ดูสงบเยือกเย็นแผ่กระจายออกมา โดยไม่มีความหวาดกลัวแสดงออกมาให้เห็นแม้แต่น้อยตรงกันข้ามท่าทีของเขากลับมองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบถ้าดูจากคนที่หวงฝู๋เฉิงเคยพบปะติดต่อด้วยนั้น มีเพียงแค่สองสามคนเท่านั้นที่มีสายตาเช่นนี้ซึ่งแสดงถึงความมั่นใจในตนเอง ไม่ว่าจะเกิดเื่ราวใหญ่โตแค่ไหนก็มั่นใจว่าสามารถแก้ไขได้ แต่ว่าในตระกูลเชื้อพระวงศ์ ถึงเขาจะไม่เคยได้พบทั้งหมดแต่เท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมา ไม่มีใครที่รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงเลย หรือว่าจะเป็ักำลังข้ามน้ำ?ถ้าเป็ัข้ามแม่น้ำ ที่เป็ลูกหลานจากทางการที่มาจากเมืองอื่นถ้าเป็แบบนี้ก็คงจะมีปัญหาอยู่บ้าง เพราะหญิงงามเองก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน
ต่อให้สถานะของหญิงงามเองก็เถอะ หวงฝู๋เฉิงก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใดเพราะเป็เพียงแค่สมาชิกทั่วไปของแผนกการลงทุนเมืองแต่เมื่อไม่นานมานี้เธอได้แฟนที่ค่อนข้างเก่งซึ่งเป็คนที่ทำให้หวงฝู๋เฉิงรู้สึกกลัว เขาเป็ลูกคนที่สองของกลุ่มหงเย่ เป็ 1ใน 4 บริษัทั์ใหญ่ของเมืองก้านโจวเป็ผู้นำด้านการตลาดเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งมีคุณสมบัติเทียบได้กับผู้นำเมืองหวงฝู๋เฉิงนั้นเป็คนที่สามารถเข้าได้ทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะขาวหรือดำแต่ทว่าในสายตาของเขานั้นลูกชายคนที่สองนี้ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ
ระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น หวงฝู๋เฉิงก็คิดวิธีไว้เรียบร้อยแล้วก่อนจะยิ้มให้กับฉินโจ้วและพูดว่า "ผมชื่อหวงฝู๋เฉิง เป็ผู้จัดการของที่นี่ดูเหมือนว่าคุณน่าจะมาที่นี่เป็ครั้งแรก ไม่ทราบว่าคุณมาจากกลุ่มที่ยิ่งใหญ่แห่งไหนครับและจะให้เรียกคุณว่าอะไรดีครับ?
ฉินโจ้วก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือแต่อย่างใดก่อนจะพูดขึ้นว่า “ทำไมกัน?ถ้าไม่มีชื่อเสียง ก็จะไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้อย่างนั้นหรือ?"
หวงฝู๋เฉิงไม่คิดเลยว่าฉินโจ้วจะพูดอย่างไม่สุภาพเช่นนี้ทั้งเสียดสีและทิ่มแทง ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้พบเจอเหตุการณ์แบบนี้มานานหลายปีแล้ว เวลานี้เขาซ่อนทั้งความตื่นเต้นและความโกรธเอาไว้ในใจชายหนุ่มคนนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว นับั้แ่ที่ได้เข้ารับตำแหน่งที่โรงแรมจิ่นซิ่วผ่านมาหลายปี ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มานานมากแล้วแต่เขาเองก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกโกรธออกมาให้เห็นแต่อย่างใด กลับหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “ฮ่า... ฮ่า... นั่นไม่จริงหรอกโรงแรมของเรานั้นยินดีต้อนรับแขกจากทั่วทุกสารทิศ เรายินดีต้อนรับทุกท่านก่อนจะประสานมือขึ้นต้อนรับ หลังจากนั้นหวงฝู๋เฉิงก็เปลี่ยนเื่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าคุณอู๋และคุณต่างก็มีเื่ที่เข้าใจผิดกันซึ่งในเวลานี้คุณทั้งสองก็อยู่กันคนละฝ่าย และพบว่ามีเพียงโจวกังเท่านั้นที่เห็นทุกอย่าง ดังนั้นผมอยากให้โจวกังอธิบายทุกอย่างอีกครั้งในเวลานี้ จะได้รู้ว่าใครผิด ใครไม่ผิดกันแน่ไม่ทราบว่าคุณมีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”
“มันก็ควรจะเป็เช่นนั้น” ฉินโจ้วตอบกลับไปอย่างไม่กระตือรือร้นดูเหมือนว่าเขาเริ่มจะเบื่อสาวงามที่ชื่อคุณอู๋อะไรนี่มากจนเกินจะทน ทั้งไร้เหตุผลชอบใช้อำนาจข่มขู่ เขาคิดว่าควรจะจบเื่ไร้สาระนี้ลงเสียที
"น้องโจว ไม่ต้องเครียดแค่พูดในสิ่งที่คุณเห็น ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครตำหนิคุณอย่างแน่นอน"หวงฝู๋เฉิงหันไป ที่โจวกังก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวฉินโจ้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักใจ และรู้สึกว่าเื่นี้คงจะไม่จบลงง่ายๆ เป็แน่
"ผ... ผม..."หลังจากที่เห็นสายตาของหวงฝู๋เฉิงโจวกังก็เข้าใจความหมายที่หวงฝู๋เฉิง้าจะสื่อได้ทันที นี่หมายความว่าให้เขาพูดในสิ่งที่จะเป็ประโยชน์กับคุณอู๋ทำให้โจวกังรู้สึกละอายใจต่อฉินโจ้ว แต่เขามีทางเลือกอื่นอย่างนั้นหรือ? ด้านหนึ่งก็เป็ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี อีกด้านหนึ่งก็คือหัวหน้าผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินงานของเขา หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งโจวกังก็ตัดสินใจได้
"รีบพูดมาเร็วๆ เลย อย่ามัวแต่อืดอาดยืดยาด ฉันมีอย่างอื่นต้องไปทำอีกนี่ก็เสียเวลาไปมากโขแล้ว ใครจะรับผิดชอบกันหา... หญิงงามเริ่มอารมณ์ไม่ดีก่อนจะเริ่มบ่นออกมา
สีหน้าเคร่งเครียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโจวกังทันทีเขาหันไปมองฉินโจ้วด้วยความรู้สึกผิด และพูดออกมาด้วยเสียงราวกับกระซิบว่า"ตอนนั้น... เมื่อคุณอู๋ออกมาจากลิฟต์ สุภาพบุรุษท่านนี้รีบร้อนเดินจึงเกิดอุบัติเหตุชนเข้ากับคุณอู๋ และคุณอู๋ก็ล้มลงกับพื้นตอนนั้นผมยืนอยู่และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจนครับ"