Chapter thirty-seven: Simon’s precious
‘มันสำคัญที่คุณมาแตะคนของผมทำไมครับ อย่ามายุ่งกับคนของคนอื่นถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตสิ’
‘มันสำคัญที่คุณมาแตะคนของผมทำไม’
‘คุณมาแตะคนของผม’
‘คนของผม’
โอเมก้าตัวขาวนั่งนิ่งอยู่ที่เบาะหลังของรถคันหรูพร้อมกับเสียงที่ดังก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทที่เขาไม่สามารถที่จะเอาออกจากหัวได้เลยสักนิด ความเงียบในห้องโดยสารที่ปราศจากเสียงของไซม่อนที่มักจะบ่นอุบอิบเถียงกับอัลฟ่าเ้าของดวงตาสองสีที่อยู่ข้างหน้า ความตึงเครียดที่มีอยู่หลังจากที่พวกเขาทั้งสามคนได้ปะทะกับลุค อีแวนส์นั้นมันมีมากจนแพทริเซียไม่กล้าเอื้อนเอ่ยอะไรออกไปสักคำ ใครจะไปรู้กันล่ะว่าคนที่เพิ่งเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวอย่างหมอนั่นจะกล้าทักเขาต่อหน้าคนอื่นแบบนั้น แถมอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีใครรู้จักสักหน่อย หากสังเกตดูดี ๆ แล้ว คนที่อยู่รอบข้างนั้นก็ดูเหมือนจะรู้จักและคุ้นหน้าเขาจนต้องแอบซุบซิบพร้อมกับสายตาที่มองมาแบบเห็นได้ชัด
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องสืบประวัติลุค อีแวนส์สักหน่อยแล้วละ
แต่ก็ยังโชคดีหน่อยที่ในตอนนั้นเป็เจซที่เข้ามาทันเวลาก่อนที่อัลฟ่าสองคนที่กำลังนั่งปล่อยฟีโรโมนออกมาข่มกันจนเขาอยากจะอาเจียนออกมาให้รู้แล้วรู้รอด เขาน่ะเกลียดการข่มกันของอัลฟ่าแบบนี้ที่สุด ถึงพอจะเข้าใจเหตุผลของไซม่อนแล้วก็เถอะ แต่การที่ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ดี ยิ่งสายตาของลุคที่จ้องไซม่อนเหมือนกับคนที่เกลียดกันมาั้แ่ชาติที่แล้วนั้นยิ่งทำให้เขาตัวแข็งทื่อเขาไปใหญ่ ในตอนแรกที่เขาไม่แน่ใจว่าพวกอีแวนส์นั้นจะเคยได้เห็นหน้าของไซม่อนหรือเปล่าเพราะการที่คนของควินท์เรลพยายามปกปิดตัวตนไซม่อนมาตลอดทั้งชีวิตนั้นก็คงไม่เป็การสูญเปล่า แต่มาในวันนี้ที่เขาได้เห็นสายตาของลุค อีแวนส์ นั้นก็ทำให้ความมั่นใจของเขาสั่นคลอนทันที มีวูบนึงที่อีกฝ่ายชำเลืองมามองแหวนประดับมรกตสีเขียวบนนิ้วของเขาแล้วชะงักไป มีหรือที่คนระดับทายาทอีแวนส์จะไม่รู้เื่แหวนประจำตระกูลของศัตรูตัวเอง และการแสยะยิ้มพร้อมกับสายตาในตอนที่เขาเงยหน้าจ้องมองมาก็ทำให้หัวใจของแพทริเซียแทบตกลงไปอยู่ที่พื้น หากในตอนนั้นไซม่อนไม่คว้ามือของเขาให้ลุกออกมาจากที่ตรงนั้น มีหวังเขาได้ร้องไห้ออกมาแน่ ๆ
คำถามมากมายที่ออกมาจากปากของไซม่อนก่อนที่ทั้งห้องโดยสารจะเงียบลงนั้นยังไร้ซึ่งคำตอบ ถึงแม้เขาและเจซจะอยากบอกอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าเื่นี้เป็เื่ที่พวกเขาไม่สามารถก้าวเข้าไปยุ่งได้ ทุกคำถามที่ไซม่อนเอ่ยถามพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและหวังคำตอบจากพวกเขานั้นพวกเขาสามารถตอบได้ทั้งหมด หากจะเรียกสถานการณ์นี้ได้ว่าเหมือนน้ำท่วมปากนั้นก็คงจะไม่เกินจริงเลยสักนิด เพราะพวกเขาไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เลยสักคำ และสิ่งนี้ก็ทำให้ไซม่อนหัวเสียจนปกปิดไว้ไม่มิด แม้เขาจะเอื้อมมือไปแตะที่แขนอีกฝ่ายเหมือนที่เคยทำอยู่ทุกครั้งและเ้าของแขนแกร่งนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธััของเขา แต่ความเมินเฉยนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องนั่งเม้มปากเงียบอยู่แบบนี้
ไซม่อนไม่แม้แต่จะหันมามองเขาเลยสักนิด
ความอึดอัดที่มีอยู่ในใจถูกกลั่นกรองเป็มวลก้อนความเสียใจมาจุกอยู่ที่อกทันที แพทริเซียละมือจากแขนแกร่งมาจับที่หน้าอกของตัวเองก่อนจะขยับลูบเบา ๆ หวังคลายความอึดอัดที่มีอยู่ เขาไม่อยากจะร้องไห้เพราะเื่เล็กน้อยพวกนี้เลยสักนิด แต่พอเห็นท่าทางที่เฉยชาจากอีกฝ่ายที่เขาแทบจะไม่ได้รับมันมาหลายเดือนก็อดไม่ได้เลยที่จะน้อยใจ ทั้งที่เขาเองก็เก็บทุกอย่างเพราะความเป็ห่วงที่มีให้อีกฝ่ายนั่นแหละ เขาเองก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าการที่ไม่รู้อะไรเลยนั้นมันทำให้อีกฝ่ายอึดอัดอยู่เหมือนกัน แต่จะให้เขาทำยังไงล่ะ ในเมื่อทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของไซม่อนทั้งนั้น
พวกเขาใช้เวลาไม่นานนักในการที่เดินทางกลับมาคฤหาสน์ควินท์เรล และยังไม่ทันที่เจซจะได้เอ่ยบอกอะไรกับคนที่เอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงเลยสักคำ อัลฟ่าตัวโตที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังก็รีบลงจากรถทันทีที่ยังไม่เห็นสาวใช้สักคนมารอรับ เจซถอนหายใจยาวก่อนจะหันกลับมามองเขาด้วยสายตาที่เป็อันรู้กันและนั่นก็เรียกน้ำตาที่เขาเก็บซ่อนไว้มาตลอดทั้งทางได้ทันที หยาดน้ำตาสีใสไหลลงมาอาบแก้ม ไร้ซึ่งเสียงสะอื้นและฟูมฟายจากแพทริเซีย โอเมก้าตัวขาวปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาช้า ๆ โดยที่ไม่ได้ไปเช็ดหรือบังคับให้มันหยุด เจซเองก็ไม่ได้เอ่ยปลอบและห้ามอะไร อัลฟ่าเ้าของดวงตาสองสียื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ปักชื่อของเขาด้วยด้ายสีทองมาให้ ในตอนแรกแพทริเซียก็ไม่ได้อยากจะรับมันมาหรอกแต่พออีกฝ่ายยัดเยียดผ้าผืนเล็กมาใส่มือมาให้เขานั่นแหละ เขาจึงต้องจำใจรับมันมาซับน้ำตาที่ไหลต่อเนื่องไม่ยอมหยุด
“เดี๋ยวมันก็คงเข้าใจ อย่าน้อยใจไปเลย”
“มันไม่ใช่แค่น้อยใจหรอกเจซ เราสงสารไซม่อน”
“เข้าใจ”
“เขาคงอึดอัดมากที่ไม่รู้อะไรเลย”
“ทั้งชีวิต”
“..”
“หมอนั่นไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับความเป็ความตายของตัวเองมาตลอดทั้งชีวิต”
“อื้อ”
“อีกไม่นานมันก็คงจะจบ ก่อนที่จะถึงพิธีสืบทอดทายาท.. ฉันหวังว่าเธอจะอยู่กับมันนะ”
“เราอยู่อยู่แล้ว”
“อย่างน้อยเธอก็สำคัญกับไซม่อนมาก ๆ”
“ไม่หรอ-”
“อย่าลดคุณค่าตัวเองเพราะถ้าเธอมองแววตาของไซม่อนสักนิด เธอจะรู้ดีว่าเธอมีค่ากับมันแค่ไหน เธอเป็คนสำคัญของไซม่อนนะแพทริเซีย”
ประโยคยาวเหยียดของเจซวนเวียนอยู่ในหัวของเขาั้แ่ลงจากรถจนในตอนที่เขาเอนกายลงเตียงกว้างด้วยความเหนื่อยล้า ฝ่ามือเล็กยกนิ้วเรียวที่มีแหวนประดับอยู่ที่นิ้วกลางด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องรู้สึกยังไงกับสิ่งที่เจซบอกมา เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองนั้นสำคัญกับไซม่อนมากแค่ไหน สิ่งเดียวที่เขา้าคือเป็คนที่อยู่ข้างไซม่อนในวันที่อีกฝ่ายอ่อนแอที่สุดหรือ้าใครสักคนที่จะอยู่ด้วยก็แค่นั้น เพราะอย่างนั้นเขาเลยไม่คิดถึงเื่การได้เป็คนสำคัญของไซม่อนเลยสักนิด แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาก็ไม่เคยได้มองไซม่อนในมุมที่อีกฝ่ายจะมองเขาและเขาก็ไม่เคยได้ยินอะไรแบบนั้นจากปากไซม่อนเลยสักหน่อย
คนสำคัญของไซม่อนเหรอ
ใครจะกล้าไปคิดเข้าข้างตัวเองขนาดนั้นล่ะ
– Simon’s theory -
สุดท้ายก็เป็แพทริเซียนั่นแหละที่มายืนหยุดที่หน้าห้องนอนของไซม่อนในตอนกลางดึก โอเมก้าตัวเล็กยืนทำใจอยู่นานสองนานแต่ในที่สุดก็ยอมยกมือขาวแต้มปานขึ้นเคาะประตูบานใหญ่ เสียงยวบจากเตียงมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าของคนในห้องดังสะท้อนออกมาชวนให้ใจสั่น แพทริเซียยืนเม้มปากรอไม่นานนัก ประตูบานใหญ่ตรงหน้าก็ถูกเปิดออกให้เห็นภาพที่ทำให้เขาชะงักไปครู่นึง อัลฟ่าร่างสูงที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำที่ดูจะทำหน้าที่ของมันได้ไม่ดีนักทำแพทริเซียยืนนิ่งจนทำอะไรไม่ถูก สาบเสื้อถูกแหวกออกจนเห็นอกกว้างนั้นได้อย่างชัดเจน เชือกที่คอยผูกรั้งเอวสอบเอาไว้ก็ดูิ่เหม่เหมือนใกล้จะหลุดยังไงอย่างนั้น แต่แล้วเสียงกระแอมในลำคอก็ทำให้คนที่ยื่นจ้องเ้าของห้องอยู่นานสองนานต้องสะดุ้งเงยหน้าขึ้นไปมองพร้อมใบหน้าที่เห่อร้อน
แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขากำลังสนใจอยู่จะขัดกับอารมณ์ของคนตรงหน้าเหลือเกิน ไซม่อนมองเขาเพียงไม่นานแล้วอีกฝ่ายก็เมินหน้าไปอีกทางจนทำให้คนที่ยืนกุมมืออยู่ที่หน้าประตูทำตัวไม่ถูก แพทริเซียคิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกดีขึ้นในตอนที่เจอหน้ากันเหมือนที่เขาเคยเป็บ่อย ๆ ด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินสถานการณ์ของวันนี้ต่ำไปกว่าที่คิด ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะง้ำงออยู่ตลอดเมื่อเจอเื่ที่ไม่พอใจกลับกลายเป็ใบหน้าเรียบตึงที่ดูไร้ซึ่งอารมณ์ ถ้าหากจะบอกว่าแพทริเซียคิดมากมันก็คงจะเป็อย่างนั้นได้อยู่บ้างแหละ แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ทำหน้าแบบนี้ใส่เขามานานน่ะสิถึงทำให้เขาสั่นกลัวอยู่อย่างนี้
“มาทำอะไร?” ไซม่อนเอ่ยถามเสียงแข็ง
“..”
“เข้ามาในห้องก่อน เดี๋ยวมีคนเห็น”
และถึงแพทริเซียจะพยายามขืนแรงอีกฝ่ายมากแค่ไหน สุดท้ายโอเมก้าอย่างเขาก็สู้แรงอัลฟ่าอย่างไซม่อนไม่ได้อยู่ดี แพทริเซียถูกดึงเข้าไปกลางห้องทันทีหลังจากที่อีกฝ่ายปิดประตูจนสนิท ดวงตากลมโตช้อนขึ้นสบตาเ้าของั์ตาคมในไฟมืดสลัว แต่ยังไม่ทันที่แพทริเซียจะได้เอ่ยอะไรออกไป เ้าของฝ่ามือใหญ่ที่เคยกอบกุมมือของเขาเอาไว้ก็ปล่อยมือมือออกพร้อมกับละสายตาจากเขาไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกน้อยใจที่เคยมีเมื่อกลางวันกลับตีตื้นกลับมาอีกครั้งให้โอเมก้าตัวเล็กต้องยืนกำชายเสื้อนอนของตัวเองไว้ ซี่ฟันขาวขบลงที่ริมฝีปากสีสวยด้วยความอดกลั้นนั้นออกแรงขบกัดจนความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นเข้ามาให้น้ำตารื้น
“มีอะไรหรือเปล่า?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดผมที่ยังไม่แห้งสนิท
“เรา”
“ว่าไง?”
“เราแค่อยากมาขอโทษ”
“ขอโทษเื่อะไรล่ะ?”
“ก็.. ก็เื่ที่เราไม่ยอมตอบอะไรคุณเลย”
อัลฟ่าหนุ่มชะงักเมื่อเหลือบมองเ้าของใบหน้าหวานแล้วพบว่าดวงตากลมโตที่เขาชอบแอบมองนั้นกำลังมีน้ำใส ๆ คลออยู่ แต่ความรู้สึกแย่ที่มีอยู่เต็มอกมันก็ทำให้เขามีทิฐิจนไม่สามารถเอื้อมมือไปรั้งคนตรงหน้ามากอดได้อย่างเคยเหมือนกัน
“ไม่เป็ไร”
“แต่คุณโกรธ”
“เราไม่ได้โกรธ”
“คุณโกรธเราไซม่อน ทำไมเราจะไม่รู้หล่-”
“เราเสียใจ”
เ้าของเสียงทุ้มตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ประโยคสั้น ๆ นั้นกลับทำให้แพทริเซียชาไปทั้งตัว สิ่งที่แพทไม่เคยอยากให้เกิดขึ้นที่สุดก็คือการที่อีกฝ่ายเสียใจเพราะตัวเอง และพอเขาได้เจอกับมันเข้าจริง ๆ โอเมก้าตัวเล็กก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองยิ่งอยากจะร้องไห้ออกมาต่อหน้าอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอด ความรู้สึกผิดจุกอยู่เต็มอกของคนที่ยืนกำชายเสื้อแน่น ในตอนนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองคนตรงหน้าด้วยซ้ำ สุดท้ายก็กลายเป็ไซม่อนนั่นแหละที่หันหลังใส่เขาทันทีที่ได้เห็นลาดไหล่เล็กของโอเมก้าที่เขาหวงแหนนักกำลังสั่นอยู่
“แต่ไม่เป็ไรหรอก”
“..”
“คุณคงมีเหตุผลนั่นแหละ แต่ที่เราเสียใจก็เพราะเราคิดว่าในตอนที่คนทั้งชีวิตเราปกปิดทุกอย่างให้เรากลายเป็เหมือนคนหูหนวกตาบอดที่ไม่สามารถรู้อะไรเื่ตัวเองได้สักอย่าง”
“ไซม่อน..”
“เราแค่คิดว่าคุณกับเจซจะไม่ทำเหมือนคนพวกนั้น”
ทันทีที่ไซม่อนพูดจบ เ้าของเรียวแขนขาวก็โอบกอดเอวสอบจากด้านหลังพร้อมซุกใบหน้าเปียกน้ำหน้าที่แผ่นหลังกว้างอย่างหาที่พึ่ง แรงสะอื้นน้อย ๆ จากคนด้านหลังทำคนที่กำลังยืนหันหลังอยู่ต้องชะงัก ความคิดกับความรู้สึกของอัลฟ่าหนุ่มตีกันผสมปนเปจนเขาเองก็ไม่รู้ต้องทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้า
สิ่งที่เขาพูดออกไปมันก็จริงทุกอย่างนั้นแหละ เพราะทั้งชีวิตของเขา หากไม่นับเ้าแซมมี่ที่คอยรับฟังเขามาตลอดก็คงจะมีแค่เจซและแพทริเซียนี่แหละที่เขาเห็นเหมือนเป็แสงให้ชีวิตที่ถูกปิดทุกทางของเขานั้นสว่างได้เห็นทางที่จะเดินต่อไปอยู่บ้าง เขารู้ดีว่าแพทและเจซจะมีเหตุผลมากพอถึงจำเป็ต้องเก็บเื่เ่าั้เอาไว้ แต่ความอดทนที่เขามีมาทั้งชีวิตมันก็กำลังหมดสิ้นลงทีละนิดเหมือนกัน สุดท้ายมันก็เลยะเิออกมาเป็ความรู้สึกของวันนี้นั่นแหละ
“ฮึก.. เราขอโทษ” แต่เสียงอู้อี้ของคนด้านหลังนั่นแหละที่ทำให้หัวใจของไซม่อนอ่อนยวบทันทีที่ได้ยิน
“ไม่ต้องขอโทษแล้ว”
“ร..เราขอโทษ”
“แพท หยุดขอโทษเราได้แล้ว”
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร
เขาก็ไม่ควรจะเอาความผิดหวังทั้งหมดไปไว้ที่แพทริเซียสักหน่อย
อัลฟ่าหนุ่มถอนหายใจกับตัวเองก่อนจะหันกลับไปสวมกอดคนที่กำลังสะอื้นหนักขึ้นเรื่อย ๆ ไซม่อนยกมือเชยคางคนในอ้อมกอดให้ขึ้นมาสบตากับตัวเองพร้อมใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาที่อาบแก้มขาวอย่างนุ่มนวล
ทั้งที่ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะยอมใครง่าย ๆ ด้วยซ้ำ แต่พอเห็นน้ำตาของคนที่เป็เหมือนรักแรก จะเรียกว่ารักแรกก็ได้ละมั้งเพราะแพทริเซียเองก็เป็คนเดียวเลยด้วยซ้ำที่ได้รับทุกอย่างที่เป็เหมือนครั้งแรกจากเขา และเขาก็ยินดีที่จะให้อีกฝ่าย ไม่ใช่เพียงเพราะแค่เขาไม่มีตัวเลือกอื่น สำหรับไซม่อนแล้ว การที่จะได้เจอคนที่เข้าใจและจริงใจกับเขาอย่างแพทริเซียนั้นไม่ง่ายเลย เขารู้ดีว่าเขาเกิดมาในตระกูลที่มีคนรับใช้นับร้อยคนและั้แ่เกิดมานั้นเขาแทบจะไม่เคยได้ทำอะไรนอกเหนือจากที่ถูกกำหนดไว้ ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะถกเถียง หรือไม่มีใครสักคนด้วยซ้ำที่จะคอยรับฟังเขา เพราะอย่างนั้น การได้เจอแพทริเซียและมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันนั้นมันมีความหมายกับไซม่อนมากกว่าเป็แค่รักครั้งแรก
เพราะเขาอยากให้แพทริเซียเป็เหมือนทั้งเพื่อนคู่คิด คนที่คอยเตือนเขาในวันที่ผิดพลาด คนที่คอยรับฟังเขาในวันที่เขา้าที่สุด และสุดท้ายก็คงเป็คนที่จะได้อยู่กับเขาไปจนแก่เฒ่าเหมือนอย่างที่คุณพ่อหวังให้คุณแม่ได้อยู่ด้วย
ตอนนี้แพทริเซียกลายเเป็ทุกอย่างของเขาอย่างสมบูรณ์แบบแล้วจริง ๆ
“ไม่ต้องขอโทษแล้วนะ”
“แต่เรา..”
“เราไม่ได้โกรธคุณสักนิด ไม่ต้องร้องแล้ว”
“จริง ๆ นะ”
“อย่าร้องไห้อีกเลย”
ริมฝีปากอุ่นร้อนของไซม่อนจูบซับน้ำตาที่แก้มขาวอย่างแ่เบา ปลายนิ้วโป้งของเขายังคงไล้วนอยู่ที่สันกรามสวยอยู่อย่างนั้นซ้ำ ๆ อัลฟ่าหนุ่มทรุดลงนั่งบนเตียงขนาดคิงไซส์ก่อนจะรั้งเอวบางให้ลงมานั่งที่ตักแกร่ง คนตัวเล็กที่ยังอยู่ในอ้อมกอดยังคงสะอื้นอยู่ไม่หยุด ทำให้คนที่เป็ต้นเหตุทำได้เพียงแค่จูบตามลาดไหล่เล็กหวังจะปลอบโยนให้อีกฝ่ายดีขึ้นได้บ้าง หากจะให้พูดจริง ๆ ไซม่อนก็ไม่ได้เก่งเื่การปลอบคนเท่าไหร่นักหรอก เพราะทั้งชีวิตของเขานั้นเขาแทบจะไม่เคยได้เป็ฝ่ายปลอบใครเลยสักครั้ง พอได้เป็ฝ่ายปลอบบ้างก็ทำเอาเขาทำตัวแทบไม่ถูกแต่ถึงยังไงเขาก็ยังพยายามที่จะปลอบคนที่กำลังร้องไห้อยู่ตอนนี้ให้จนได้
และก็มีเพียงแค่ััทางกายเท่านั้นแหละที่เขาพอจะทำได้
อย่างน้อยให้ััจากเขาได้สื่อความในใจให้อีกฝ่ายรับรู้เท่านั้นก็พอ
ดูเหมือนว่าคนบนตักเขาก็้าอย่างนั้นเหมือนกัน
“รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม?” เ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมจับมือของแพทริเซียขึ้นมาจูบที่หลังมืออย่างแ่เบา
“ไม่”
“เราต้องทำยังไงให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง?”
“ไซม่อน”
“ว่าไง?”
“จูบเราได้ไหม?” เ้าของแพขนตาชุ่มน้ำช้อนมองคนที่กำลังโอบกอดเขาด้วยแววตาอ้อนวอน ถึงแม้เขาจะพยายามไม่คิดเข้าข้างตัวเองก็เถอะ แต่เมื่ออีกฝ่ายค่อย ๆ ขบกัดริมฝีปากพร้อมกับมองหน้าเขาแบบนี้ยิ่งทำให้ไซม่อนหวนนึกถึงคืนในห้องนอนของคนบนตักซะอย่างนั้น อัลฟ่าหนุ่มลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อเ้าของปลายจมูกสวยเคลื่อนเข้ามาใกล้ช้า ๆ
“แพท”
“เรามีสติดี”
“เรารู้ แต่ว่า-”
“นะ จูบเราเหมือนวันนั้น อื้ม..”
ฝ่ามืออุ่นร้อนยกประคองใบหน้าหวานก่อนจะก้มประกบริมฝีปากให้โอเมก้าช่างจ้อนั้นรับััอุ่นของตัวเองทันที เสียงของริมฝีปากสีสวยที่ถูกดูดดึงดังก้องอยู่ในหูแพทริเซียที่กำลังรับััของไซม่อนที่เขากำลังป้อนให้ด้วยความละเมียดละไม อัลฟ่าหนุ่มไล่งับชิมความอ่อนนุ่มก่อนจะสอดลิ้นเข้าไปกวาดชิมรสหวานทั่วโพรงปากเล็ก สองลิ้นชื้นเกี่ยวพันกันไปมาเรียกเสียงครางหวานในลำคอลื่นหูจนไซม่อนข่มอารมณ์ไว้ไม่ไหวอีกต่อไป เขาสอดมือเข้าที่ขาพับของคนที่กำลังนั่งตัวสั่นอยู่ให้มานั่งคร่อมตักของเขาเอาไว้แต่ริมฝีปากของเขาก็ไม่ได้หยุดทำงานเลยสักนิด อัลฟ่าหนุ่มยังคงไล่งับสลับกับดูดดึงริมฝีปากสีสวยนั้นจนแดงเจ่อ ก่อนเขาจะกดจูบย้ำอีกครั้งและผละออกมาสบตากับดวงตากลมโตที่เขาหลงใหลเหลือเกิน
“ไซม่อน” เสียงเรียกชื่อพร้อมหอบหายใจจากแพทริเซียปลุกเร้าอารมณ์ของเขาได้เป็อย่างดี
“ครับ”
“เรา..”
“แพทริเซีย”
“อื้อ”
ไซม่อนเชยคางมนของคนที่กำลังก้มหน้าจนคางชิดกับอกให้เงยหน้าขึ้นมามองกัน
“มองเรา”
“เรา.. อาย”
“รู้ใช่ไหมว่าเรารัก”
“ตอนนี้เนี่ยนะไซม่อน”
“ก็ตอนนี้แหละที่เราอยากบอกที่สุด”
“ไอ้บ้า”
“รู้ไว้นะว่าเรารักและหวงแหนคุณมากกว่าที่คุณจะนึกออกเลย”
ประโยคสารภาพรักที่ออกมาจากไซม่อนทำแพทริเซียแทบจะหยุดหายใจ ความรู้สึกที่เหมือนเป็กล่องสุดท้ายของเขาและไซม่อน กล่องที่เก็บความสับสนและสิ่งที่แพทริเซียอยากได้จากอีกฝ่ายมานาน สุดท้ายก็ไขกุญแจและถูกเปิดมันออกมาแล้ว
“เราก็รักคุณ” ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงจัดทันทีที่เอ่ยตอบกลับอีกฝ่ายไป
“ทำไมหน้าแดงขนาดนี้? คืนนั้นไม่เห็นอายเลย”
“หยุดพูดนะ มันคนละเื่กันต่างหาก” แพทริเซียขึ้นเสียงพร้อมยกมือขึ้นปิดปากของคนขี้แกล้งไว้ทันที
อัลฟ่าหนุ่มหัวเราะในลำคอก่อนจะลดมือลงมาใช้นิ้วชี้แตะที่กระดุมเม็ดแรกของคนบนตัก ั์ตาคมจดจ้องจนคนที่กำลังถูกร้องขอผ่านสายตาต้องเม้มปากแน่นด้วยความประหม่า
เพราะแพทริเซียรู้ดีว่าครั้งนี้ไซม่อนคงไม่ได้แค่ใจดีช่วยเขาเหมือนอย่างเคย
แต่เป็เขาเองนั่นแหละที่ต้องช่วยอีกฝ่าย
โอเมก้าตัวขาวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะพยักหน้าตอบรับเ้าของปลายนิ้วที่เอาแต่วนเวียนอยู่กับกระดุมเม็ดแรกของเขาไม่หยุด และหลังจากนั้นเพียงแค่ครู่เดียว กระดุมของเขาก็หลุดออกจากรังดุมทีละเม็ดจนสุดท้ายสาบเสื้อที่ถูกปกคลุมกายขาวอยู่ก็หลุดออกไปกองที่พื้นให้สมกับความตั้งใจของคนที่อยากจะปลดเปลื้องมัน
“อื้อ.. ไซม่อน” ทันทีที่ยอดอกสีสวยปรากฏขึ้นตรงหน้า มีหรือที่อัลฟ่าอย่างเขาจะทนไหว ไซม่อนก้มความสวยงามนั้นด้วยริมฝีปากอุ่นของตัวเองทันที เสียงครางหวานหูจากแพทริเซียนั้นเป็อะไรที่เขาหวงแหนเหลือเกิน ั้แ่ครั้งแรกที่ได้ยินตอนที่จูบกันจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาจะไม่อยากฟังมัน มีแต่อยากจะฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกทั้งคืน
ปลายลิ้นร้อนลากเลียวนรอบฐานอกที่กำลังนูนเต่งของโอเมก้าวัยผสมพันธุ์ กลิ่นหอมของกายขาวปะทะจมูกมอมเมาคนที่กำลังลิ้มรสมันอย่างตั้งใจจนแทบจะถอนริมฝีปากออกไม่ได้ ไซม่อนเอาแต่ดูดดึงยอดอกสีสวยสลับกันทั้งสองข้างอยู่อย่างนั้นจนโอเมก้าตัวขาวต้องเลื่อนมือขึ้นขยำผมดำสนิทเพื่อระบายความเสียวซ่านที่ตัวเองมีอยู่ อกบางแอ่นขึ้นจนชิดริมฝีปากอุ่นจนไซม่อนยิ่งได้ใจ
“ฮื่อ!” เสียงครางฮือดังออกมาทันทีที่ซี่ฟันขาวของไซม่อนขบกัดยอดอกที่แข็งตึงอยู่ตรงหน้าด้วยความมันเขี้ยว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากถอดถอนริมฝีปากจากความหอมหวานตรงหน้าเลยสักนิด แต่สิ่งล่อตาล่อใจอย่างบั้นทายกลมกลึงที่กำลังบดเบียดบนความเป็ชายของเขาอยู่นั้นทำให้เขาจำเป็ต้องผละออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ไวกว่าความคิด ฝ่ามือใหญ่จับเอวบางของคนบนตักยกขึ้นจนลอยหวือและถอดกางเกงนอนที่เป็ปราการชิ้นสุดท้ายของคนตัวเล็กออกไปจนหมดสิ้น
ตอนนี้ลูกแมวของเขาเปลือยเปล่าไร้ซึ่งผ้ามาปกปิดความงามซะแล้ว
แต่ยังไม่ทันที่ไซม่อนจะได้ทำอะไร อัลฟ่าหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความใเมื่อโอเมก้าตัวขาวที่เขากำลังเชยชมความงามนั้นก้าวลงจากตักของเขาและเปลี่ยนเป็มายืนแทรกที่ระหว่างขา ภาพตรงหน้าทำเขาหายใจไม่ทั่วท้องเหมือนกับเด็กอ่อนหัด และสิ่งที่ทำให้ไซม่อนแทบจะสบถออกมาก็เป็ในตอนที่ฝ่ามือขาวเอื้อมมาดึงเชือกคลุมอาบน้ำที่กำลังจะหลุดออกจากเอวสอบให้หลุดออกจากกัน เ้าของดวงตากลมโตยังคงจ้องตาของเขาก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้เขาต้องหลุดยิ้มออกมา
“เรา”
“..”
“ทำให้เราเป็ของคุณที”
แพทริเซียไม่รู้หรอกว่าหลังจากพูดแบบนั้นออกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาอีกบ้าง และหลังจากนี้เขากับไซม่อนนั้นจะต้องเดินไปในทางไหนด้วยกัน แต่ในตอนนี้ััและทุกอย่างที่ไซม่อนได้มอบให้มันได้ตอบคำถามที่เขาได้สงสัยแล้วว่าเขาสำคัญกับอีกฝ่ายมากเพียงใด และเขาเองก็ขอเพียงแค่ให้ค่ำคืนนี้ได้เป็คืนที่เขาได้ตกเป็ของอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์แบบ
มีเพียงแค่นั้นแหละที่เขาอยากจะร้องขอ
และเขาก็ทำได้เพียงแค่วิงวอนกับพระเ้าซ้ำ ๆ
ได้โปรดให้ลูกและเขาได้รักกันเหมือนที่ท่านส่งเขาลงมาด้วยเถิด
– Simon’s theory -