ตอนที่ชาวยุทธจากพรรคต่างๆ ที่ชั้นสี่กำลังคุยกันด้วยสีหน้ามัวหมองนั้น เ่ิูและหลิวจงหยวนก็มาถึงห้องอันตระการตาที่ชั้นแปดเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
“ไอ้เด็กเวร วันนี้เล่นเยอะไปหน่อยแล้วมั้ง อวดเบ่งเรอะ? ปล่อยผู้าุโกว่าสองคนอย่างพวกข้ารอในนี้นานขนาดนี้” เวินหว่านได้ทีทิ่มแทงเ่ิูทันทีที่เห็นเขา ถลึงตาและเป่าหนวดตัวเองขู่ซ้ำอีก
เ่ิูยิ้มให้ เขาว่า “หากข้าจำไม่ผิด เวลาที่เรานัดเจอกันคือเที่ยงตรงพอดีนี่ เ้าดูนาฬิกาแดดนั่นเสียก่อนสิ”
เวินหว่านผินหน้ามองเงาที่เข็มนาฬิกาแดดบอกเวลา มันยังห่างจากเที่ยงตรงตกนิ้วมือหนึ่งได้
ยังไม่เที่ยงตรงเลย
ไม่ได้มาสายจริงหรือ?
เสือบ้าเวินกะพริบตาปริบๆ
ทำไมรู้สึกว่าเขามารอที่นี่นานแท้หนอ?
เวลายังไม่ถึงคราวที่นัดเลยด้วยซ้ำ
เขานิ่ง ฉับพลันก็บ่นกระปอดกระแปดออกมาอย่างไม่ยอมรามือ “แล้วอย่างไรล่ะวะ? เด็กอย่างเ้าเกิดทีหลัง กลับไม่มาก่อนเวลาเพื่อรอพวกเรา แต่ให้คนโตกว่าอย่างพวกเราต้องมารอเ้าที่นี่เรอะ? ตรรกะไหนกันหา!”
เอาเถอะ
เ่ิูยกมือยอมแพ้
เื่แถไม่ยึดเหตุผล เขาสู้เวินหว่านไม่ได้จริงๆ
“ฮ่าๆ เวลากำลังเหมาะเลย ทุกคนนั่งลงเถอะ มาคุยสังสรรค์กัน วันนี้ไม่เมาไม่เลิก” หลิวจงหยวนหัวเราะร่า เขาพาเ่ิูไปนั่งที่ประธานของห้อง
นักรบเกราะทั้งสี่ด้านหลังเขาล้วนแล้วแต่เป็คนหนุ่ม อายุไม่เกินยี่สิบกว่าปี เป็ทหารเอกผู้แกร่งกล้าที่ติดตามเขาในการกรำศึกในสมรภูมิมาร้อยศึก ล้วนเป็คนที่หลิวจงหยวนวาดหวัง และชุบเลี้ยงเป็พิเศษ อาจมีพัฒนาการอย่างมากในภายภาคหน้า อย่างน้อยก็สามารถเป็นักรบตำแหน่งแม่ทัพกองโจร มีชื่อเสียงในหมู่ทหารไม่ใช่น้อยๆ
บัดนี้ ทั้งสี่และไป๋หย่วนสิงนั่งอยู่บนโต๊ะเสริมนอกห้อง
ห้าบุรุษอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน จึงพูดคุยกันได้อย่างรื่นรมย์
แรกทีเดียวไป๋หย่วนสิงนั้นค่อนข้างเก็บตัว เพราะพลังของเขาเป็ที่ตั้ง โดยทั่วไปย่อมไม่มีคุณสมบัติพอมานั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับยอดฝีมือนักรบเหล่านี้ แต่ด้านหลังเขา มีโหวเหย่หนุ่มน้อยผู้ชื่อสะพัดไปทั่วด่านโยวเยี่ยน กระทั่งหลิวจงหยวนยังเคารพเ่ิูมากขึ้นไปอีก นักรบหนุ่มทั้งสี่จึงไม่อาจดูเบาหรือละเลยไป๋หย่วนสิงแน่นอนอยู่แล้ว
บรรยากาศเข้าสู่สภาวะกลมเกลียวกันดีในเวลาไม่นาน
เวินหว่านและอีกสองคนกำลังนั่งประจำที่
“ทำไมไปชั้นสี่เสียเล่าฮึ?” เวินหว่านรินเหล้าให้เ่ิูและหลิวจงหยวนจนเต็มแก้วพลางหัวเราะฮี่ๆ พลาง
เ่ิูผุดยิ้ม เขาตอบ “เจอผู้คนจากพรรคกลุ่มหนึ่ง ข้านึกสงสัยจึงลองตามไปดูบารมีชายชาญยุทธภพที่เขาร่ำลือว่าสูงล้ำเสียหน่อย”
เวินหว่านะเิหัวเราะชอบใจ “ผลเป็ไง? บารมีของชายชาญยุทธภพ พอใจเ้าไหม?”
เ่ิูไม่ทันได้ตอบ หลิวจงหยวนก็ชิงตอบกลั้วยิ้มเย็นเสียก่อน “ชายชาญยุทธภพอะไรกัน แค่ฝูงกามาอยู่รวมกันเท่านั้นเอง คำสั่งประกาศเกณฑ์คนของกองทัพคราวนี้มีรางวัลมากมาย พวกชั่วอยากได้ดีแต่ทีเหลวของยุทธภพเห็นโอกาสเหมาะ ประจวบเหมาะกับมีคนกลุ่มหนึ่งถือโอกาสสร้างสถานการณ์ พวกมันจึงดั้นด้นมายังด่านโยวเยี่ยนเป็ระยะไกลหลายหมื่นลี้ อยากจะดื่มด่ำความโอชะ คนพวกนี้มาเพื่อเงินและผลประโยชน์ หลายวันมานี้พวกที่ปรากฏตัวในด่านล้วนแต่เป็พวกที่พลังไม่ถึงขั้น ไม่รู้อะไรควรอะไรไม่ควร ก่อเื่ในด่านมากจนกองทัพจับไปหลายคนแล้ว”
เมื่อครู่ที่ชั้นสี่ หลิวจงหยวนรู้นานแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ความคิดของเขาก็เหมือนเช่นเ่ิู ไม่อยากก่อเื่ราวใหญ่โต ถูกคนเอาไปเป็เครื่องมือทำลายความร่วมมือระหว่างกองทัพกับพรรค ดังนั้นจึงเก็บหวงหร่านนั่นเสียด้วยวิธีละมุนละม่อม ให้เ่ิูรอดตัวไป
เ่ิูเป็คนฉลาด เขาล่วงรู้เท่าทันได้โดยธรรมชาติ
เมื่อฟังหลิวจงหยวนเอ่ยถึงตรงนี้แล้ว เ่ิูจึงพยักหน้าสนับสนุน “ถูกแล้ว ชาวยุทธจากพรรคพวกนี้ พลังแม้จะไม่ได้แย่ แต่ขาดระเบียบวินัย ไม่ชอบการบังคับหรือผูกขาด แล้วยังนิสัยเหลาะแหละมาก มิตรจิตมิตรใจชาวยุทธที่เขาว่ากัน เห็นจะเป็มิตรในหมู่โจรไม่รู้เดียงสาเสียมากกว่า หากปล่อยพวกมันเข้าาไป น่ากลัวว่าจะไม่มีประโยชน์อะไร”
“พวกผู้าุโกองทัพพวกนั้น สมองโดนล่อจนกระทบเลอะเลือนหมดแล้ว ถึงสั่งเกณฑ์คนโง่เง่าพรรค์นี้มาได้” เวินหว่านนั้นสมแล้วที่เป็เสือบ้า เขากล้าพูดทุกอย่างที่คิด เขายกแก้วขึ้นแล้วว่า “ช่างมันไปเถอะ มาๆๆ ดื่มแก้วหนึ่งค่อยว่าต่อ”
ทั้งสามยกแก้วขึ้นชน
เ่ิูเมื่อได้ลิ้มรสสุราชั้นยอดอึกแรก ก็รู้สึกได้ว่าอกอุ่นร้อนรุ่ม ทั่วร่างรู้สึกโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก เขาอดโพล่งออกมาไม่ได้ “เหล้าชั้นยอด”
เวินหว่านหัวเราะฮึๆ “เหล้าลมกับเหล้าฝนปรอยของหอลมฝนปรอยนั้น เป็สิ่งที่องค์จักรพรรดิประทานให้ มีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นที่มีโอกาสได้ดื่มมัน ตอนนี้แม้จะหาซื้อได้ แต่ราคาไหหนึ่งก็ตกพันตำลึงทองได้”
เ่ิูเหลือบมองเขาทีหนึ่ง เขาแซวอย่างประหลาดใจ “จริงหรือ? หรือว่าเสือบ้าเวินจะใจกว้างนัก”
เวินหว่านเถียงอย่างประหลาดใจ “หมายความว่าไง? วันนี้ข้าไม่ได้เลี้ยงนะ!”
“เ้าไม่ได้เลี้ยง หรือว่าจะ... ” เ่ิูชะงักแล้วมองไปทางหลิวจงหยวน
หลิวจงหยวนกลับกระดกเหล้าทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาว่า “เสี่ยวโหวเหย่อย่ามองข้าเลย ข้าเป็แค่แม่ทัพกองโจรธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เบี้ยหวัดน้อยเหลือใจ รายได้เดือนหนึ่งยังไม่พอซื้อเหล้าไหนี้เลย”
เ่ิูนิ่งค้าง ฉับพลันก็ร่าเริงเพราะความไร้ยางอายของแม่ทัพกองโจรทั้งสอง “อุตส่าห์ซาบซึ้งที่พวกเ้าสองคนนัดข้ามา กลับกลายเป็ว่าข้าต้องเลี้ยงงั้นหรือ? แล้วยังเลือกที่แพงถึงเพียงนี้เสียด้วย นี่คงวางแผนขูดรีดข้ามาดิบดีแล้วล่ะสินะ”
เวินหว่านหัวเราะแหยๆ เขาตอบ “เ้าได้รับแต่งตั้งเป็โหวเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่ ได้ทองคำเป็ของกำนัลมาตั้งเยอะ จะขี้เหนียวอะไรนักหนา”
เ่ิูไม่รู้จะพูดคำไหนแล้วจริงๆ
ที่แท้ก็เพราะเวินหว่านหน้าด้าน หลิวจงหยวนยังตามน้ำไหลลื่นอีก ที่เขาว่าคนใกล้ชาดแดง คนไกลหมึกดำ คบคนเช่นไรก็เป็คนเช่นนี้ แม้แต่หลิวจงหยวนยังเข้าด้านมืดไปด้วย ช่างคบสหายอย่างที่ไม่ไตร่ตรองเสียเลย
“จะว่าไปแล้ว คำสั่งเกณฑ์ไพร่พลของกองทัพ พวกเขาต้องคิดพิจารณามากกว่าที่เราคิด พวกเสมียนของกองทัพพวกนั้นปัญญาปราดเปรื่อง เค้นสมองออกมาเล็กน้อยก็ดึงคนตกหลุมพรางได้แล้วนะ” หลิวจงหยวนเปลี่ยนเื่กลับไปเป็หัวข้อหลัก “ตัดสินใจเช่นนี้ ต้องมีแผนการอย่างอื่นคอยท่าไว้ก่อนแล้ว อาณาจักร้ารับมือไม่เพียงแต่เผ่าปีศาจ แต่เป็พรรคทั้งหมดในรั้วอาณาจักรนี้ด้วย”
“พรรคหรือ?” เ่ิูอึ้ง
หลิวจงหยวนพยักหน้า เขาว่าต่อ “นี่เป็เื่ที่พวกเราคาดเดาเอา เ้าลองคิดสิ นับแต่สถาปนาอาณาจักรเป็ต้นมา พวกพรรคก็เป็พวกนอกกฎหมายมาโดยตลอด กฎหมายบังคับใช้ของอาณาจักรไม่อาจใช้ได้ทั้งหมดกับพวกสามพรรคสามกลุ่มใหญ่ จอมยุทธละเมิดกฎหมายบ้านเมือง ในพรรคนั้นมีผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดที่แท้จริงออกมาไม่ขาดสาย สำหรับราชสำนักอาณาจักรเสวี่ยแล้วเป็ปัญหาเรื้อรังมาโดยตลอด คำกล่าวที่ว่าเื่ของยุทธภพ ยกให้ยุทธภพจัดการนั้น ฟังดูสวยหรู บรรดาสาวกพรรคมากมายภาคภูมิในตัวเอง แต่สำหรับอาณาจักรแล้ว เป็ความอัปยศอดสูที่ไม่เล็กไม่ใหญ่เท่านั้น ใต้หล้านี้ หากมิใช่แผ่นดินของราชัน ไพร่ฟ้าของกษัตริย์แล้ว มีเหตุอะไรให้จักรพรรดิไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับคนในอาณัติตัวเองเล่า?”
หลิวจงหยวนร่ายยาว
เ่ิูฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจ
เวินหว่านแค่นหัวเราะ เขาเสริมบ้าง “แต่หากอยากจะฆ่าล้างพรรคให้สิ้นไป จะไปง่ายได้อย่างไรกัน ปฐมจักรพรรดิสถาปนาอาณาจักร เรืองอำนาจและพลังขนาดไหนยังทำได้แค่ประนีประนอมกับพรรคทั้งหกเท่านั้นเอง ตอนนี้อาณาจักรเสวี่ยถูกเผ่าปีศาจผลาญพลังไปเยอะแล้ว แล้วก็ไม่มีผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดที่จะไปรับมือพรรคพวกนั้นได้ คำสั่งเกณฑ์พลคราวนี้ก็เพื่อยืมหมาป่าฆ่าพยัคฆ์ จากนั้นจึงหน่วงเหนี่ยวเวลาไม่ไปสมทบให้สู้กันจนตายไปเอง แต่พวกที่มาตามคำสั่งมีแต่หนูทั้งนั้น นับเป็หมาป่าไม่ได้ แล้วเราจะเก็บแหจับปลาได้อย่างไรกัน?”
เ่ิูมองเวินหว่านอย่างคาดไม่ถึง
เสือบ้าตัวนี้ ดูเหมือนบุ่มบ่ามไม่ค่อยใช้ปัญญา แต่ความจริงแล้วก็ปราดเปรื่องนี่ มองปัญหาทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้
หลิวจงหยวนฟังแล้วก็พยักหน้า เขาเสริม “เื่นี้ก็พูดยาก ราชสำนักมีอำนาจปกครองเป็ที่รู้จัก พรรคทั้งหลายต้องไว้หน้าราชสำนัก กลุ่มที่มาถึงด่านหลายวันมานี้แม้จะเป็แค่ไก่อ่อน แต่ยอดฝีมือและอัจฉริยะที่แท้จริงของพรรคนั้นก็จะค่อยๆ รุดมาเอง ถึงเวลานั้น ทุกอย่างจะกระจ่างเอง”
“ยอดฝีมือที่แท้จริง?” เวินหว่านแค่นหัวเราะ “พวกแก่ประหลาดนั่นไม่มาหรอก หากเป็หนึ่งดาบ กระบี่คู่ หนึ่งแส้ สามัสามหงส์ ัที่แท้จริงพวกนี้มาเอง นั่นสิถึงจะน่าสนุก พอถึงเวลาเ้าเย่น้อยก็อาจได้ลองวิชาผู้สืบทอดของพรรคทั้งหกแล้วกระมัง”
“ทำไมโยงมาที่ข้าอีกแล้ว” เ่ิูเบิกตามองเสือบ้าเวิน
สามร่างหัวเราะกันเฮฮา แล้วกระดกเหล้าอีกแก้ว
เมื่อร่ำสุราครบสามครา สารพัดอาหารกลิ่นหอมเย้ายวนก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะ
ฝีไม้ลายมือการทำครัวของหอลมฝนปรอยแห่งนี้ มีชื่อในด่านโยวเยี่ยนเป็อย่างมาก รสชาติจึงหอมหวานขั้นสุดอย่างเป็ปกติ เ่ิูไม่เพียงน้ำลายสอเท่านั้น เขายังกินล้างกินผลาญ ในเมื่อพวกห้าวสองคนนี้อยากเล่นแง่เขานัก เขาก็จะกินมันให้สะเด็ด เอาคืนเสียบ้าง
ตอนกำลังสวาปามอยู่นั้นเอง ด้านนอกก็มีเสียงเอะอะดังเข้ามา
ไม่นานนัก เ้าของหอรายย่อยสวมผ้าไหมทองก็ก้าวยาวๆ เข้ามา เขายิ้มอย่างขออภัย “นายท่านทั้งสาม รบกวนท่านแล้ว เมื่อครู่ไม่รู้มีลูกหมาประหลาดสีขาวออกมาจากไหน มันขี่งูสีเงินบินได้เข้ามาขโมยของในหอกิน ไวเหมือนผีเลยขอรับ พวกเราตามจับกี่ครั้งก็จับไม่ได้ เมื่อครู่มาขโมยเหล้าลมไปสามไห ทางหอเชิญยอดฝีมือไปตามจับ ถึงได้มีเสียงเอะอะโวยวายไปบ้าง นายท่านทั้งสามโปรดอย่าถือโทษ!”
ลูกหมาสีขาว?
งูสีเงินบินได้?
เ่ิูนิ่ง ฉับพลันก็นึกออก เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างหนักแน่น “ไอ้หัวขโมยตัวนี้ ชั่วร้ายนัก ข้าจะจับมันมาตีให้ตาย!”
เ้าของหอนำเหล้ามาให้อีกไหแล้วถึงเดินกลับไป
เวินหว่านยิ้มมีเลศนัย เขามองเ่ิู จะเอ่ยปากพูดบางอย่าง แต่กลับได้ยินเสียงอุทานจากโต๊ะของทหารทัพหน้าทั้งสี่ จากนั้นทั้งสี่คนก็รีบยืนขึ้น เกราะสั่นสะท้าน แล้วทำความเคารพเช่นทหาร...
เมื่อมองไปทางนั้น กลับเห็นชายกลางคนรูปร่างเตี้ยอ้วนค่อยๆ เดินเข้ามาจากภายนอก
ชายกลางคนเตี้ยอ้วนผู้นี้อายุน่าจะสามสิบกว่าๆ ผิวขาวสะอาด ใบหน้าสงบมีรอยยิ้มอบอุ่น ราวกับเศรษฐีมีเงินท่าทางไม่กัดแก่งแย่งชิงกับโลก ใบหน้าไร้หนวด สวมอาภรณ์ไหมสีดำ ไม่มีกลิ่นอาย หรือความน่าเกรงขาม มือขวากำลูกเหล็กสีเงินสองลูกที่เคลื่อนไหวไปมา...
หากเห็นชายอ้วนดูธรรมดาจนจืดชืดคนนี้ข้างถนนในวันปกติ คงไม่จับจ้องอะไรมาก...
แต่ตอนนี้ เวินหว่านกลับเด้งตัวขึ้นยืนดังผึงเหมือนถูกมีดตัดก้น
หลิวจงหยวนที่หนักแน่นมั่นคงมาตลอด ยังแอบซ่อนความใบนใบหน้าไม่ได้ เขารีบลุกขึ้นยืน
เ่ิูก็ใ เขายืนขึ้นแล้วคำนับ “แม่ทัพใหญ่หลิว!”
ชายอ้วนที่ดูจืดชืดผู้นี้ กลับมีเื้ัอย่างมาก เป็หนึ่งในั์ใหญ่ทั้งหกของด่านโยวเยี่ยน
แม่ทัพใหญ่แห่งทัพหน้า
หลิวสุยเฟิง!