หวานหว่านได้ยินคำของอวิ๋นซีก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาตกตะลึง นางพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของมารดา ยิ้มพูดว่า “เ้าค่ะ หวานหว่านฟังท่านแม่” แม้ฟ้าจะถล่มลงมาก็ยังมีคนคอยช่วยตนค้ำยัน เมื่อได้ฟังเช่นนี้ นางก็รู้สึกว่าบนโลกนี้ไม่มีอันใดให้ต้องกลัวอีกแล้ว
การมีมารดาเช่นนี้เรียกได้ว่า ดี ดีมากจริงๆ
อวิ๋นซีมองแม่นางน้อยที่กำลังสวมกอดตน ในสายตามีแววขบคิดลึกซึ้งวาบผ่าน นางตบหลังหวานหว่านเบาๆ ก่อนจะออกปากสั่งเหล่าองครักษ์ลับให้จัดการศพเ่าั้เสีย อย่าให้กลิ่นคาวเืดึงดูดบรรดาสัตว์กินเนื้อดังเช่นหมาป่าดุร้ายมา
เมื่อจัดการเสร็จสรรพ อวิ๋นซีก็พาลูกสาวไปจับกระต่ายน้อยสองตัวที่บริเวณรอบนอก ก่อนจะพากันกลับไป แม้จะรู้ว่าตอนนี้ในใจของแม่นางน้อยจะยังไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะกลับ แต่นางก็ยังคงพาคนออกมาได้ในที่สุด และทันทีที่กลับถึงเรือน นางก็แวะไปดูเชี่ยนเอ๋อร์และหว่านหรงก่อน เมื่อได้รู้ว่าทั้งสองได้รับาเ็แค่เล็กน้อย นางถึงได้วางใจลง
อันที่จริงใจนางยังเป็ห่วงกังวลถึงจวินเหยียนอยู่ตลอด ตัวนางที่อยู่แค่เขตรอบนอกยังจะถูกคนลอบสังหาร แล้วเขาที่เข้าลึกไปในป่าทึบเล่า? ตอนนี้เป็เช่นไรแล้ว? เขาต้องโดยลอบฆ่าเป็แน่ ทว่า คนที่จะสังหารเขามีวรยุทธ์สูงส่งหรือไม่นะ? เขาจะได้รับาเ็หรือไม่?
ในตอนที่นางกำลังเงียบขรึมอยู่นี้ จู่ๆ เว่ยหลานก็ปรากฏกายขึ้น นางมองอวิ๋นซี ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วพูด “พระชายาเพคะ...”
อวิ๋นซีมองไปยังเว่ยหลาน ขมวดคิ้ว “มีอะไรก็พูดมา” นางไม่ชอบอากัปกิริยาอ้ำๆ อึ้งๆ เช่นนี้เป็ที่สุด
เว่ยหลานขบคิดจนในที่สุดก็ยอมปริปากพูดเื่ที่ไปได้ยินมาจากพวกองครักษ์ลับที่อยู่ข้างกายจวิ้นจู่น้อย เมื่อพูดจบ เว่ยหลานก็หายตัวไป ตอนนี้อวิ๋นซียังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ทั้งร่างของนางสุขุมเงียบขรึม
เหตุการณ์ตอนอยู่ในป่าเป็หวานหว่านที่สั่งให้องครักษ์ลับเ่าั้นำศพบรรดานักฆ่าไปส่งให้องค์ชายห้าและฮองเฮา ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงมักจะรู้สึกว่าลูกสาวคนนี้เฉลียวฉลาดจนน่ากลัว แม้เื่นี้นางจะค้นพบอยู่นานแล้ว แต่ก็ยังหาข้อแก้ตัวมาแก้ต่างให้เด็กน้อยคนนี้ทุกครั้งไป
ชั่วขณะนั้นนางก็หวนนึกถึงตอนที่ทุกคนเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงใหม่ๆ หวานหว่านถูกฮองเฮาเรียกตัวไป สุดท้ายเด็กคนนั้นก็ทำให้ฮ่องเต้กริ้วฮองเฮาได้ ถึงขนาดที่ไม่แม้แต่จะย่างกรายเข้าตำหนักเฟิ่งอี้ของฮองเฮาอยู่นาน
่ก่อนหน้านี้เด็กน้อยก็ใช้อุบายที่เป็เหตุให้หลินหลานถิงต้องถูกหวด ทั้งยังได้เจิ้นหนานอ๋องเป็ผู้ลงมือลงโทษเองอีกด้วย นี่ไม่ใช่เื่ล้อเล่นเลย แส้เส้นนั้น ต่อให้เป็บุรุษก็ยังยากจะทนรับไหว แล้วนับประสาอะไรกับสตรีบอบบางเช่นหลินหลานถิง อีกทั้ง หลังจากนั้นที่หวานหว่านได้เข้าวัง ไม่ว่าใครก็ไม่รู้เลยว่าเ้าเด็กน้อยคนนี้ไปพูดอย่างไรกับไทเฮาจนทำให้จางเหวินเหมยถึงกับต้องสูญเสียสถานะจวิ้นจู่ไป ซ้ำร้ายยังต้องย้ายออกไปจากจวนอ๋องอีกด้วย
ยิ่งกว่านั้น เื่ที่เกิดขึ้นวันนี้ คนถึงกับรู้วิธีหลอกให้เหล่านักฆ่าเผยพิรุธว่าใครเป็คนส่งมาได้ มิหนำซ้ำยังคิดแผนจะส่งศพกลับไปให้ฮองเฮาอีก หากส่งไปให้แค่ฮองเฮาก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียคนเ่าั้ก็เป็ฮองเฮาที่ส่งมา แต่เหตุใดหวานหว่านจึง้าให้ส่งไปให้องค์ชายห้า?
ด้วยเื่นี้คงเป็เพราะหวานหว่านเดาได้ว่า ฮองเฮาละทิ้งความตั้งใจที่จะสนับสนุนโอรสของตน และคิดจะไปช่วยองค์ชายห้าแทน การกระทำในครั้งนี้จะหมายความว่า นางกำลังช่วยบิดาแสดงออกถึงความอยุติธรรมที่ได้รับมาหรือ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ อวิ๋นซีก็สูดลมหายใจเข้าลึก หากเป็เช่นที่นางคิด ลูกสาวของตนก็คงจะมองข้ามไม่ได้เลยจริงๆ
เมื่อใคร่ครวญดีแล้ว นางก็มุ่งหน้าออกไปนอกประตู และได้เห็นหวานหว่านกำลังหยอกเล่นกับกระต่ายน้อยอยู่ รอยยิ้มบริสุทธิ์ที่อยู่บนใบหน้าของเด็กน้อย ทำให้นางอดคิดในใจไม่ได้ว่า เื่ราวเป็ไปดังที่ตนคิดเช่นนั้นจริงๆ น่ะหรือ? บางทีอาจไม่ใช่ และคงเป็เพียงตัวนางเองที่ห่วงกังวลมากเกินไปก็เท่านั้น
ทว่า ตอนที่นางกำลังหยุดยืนขบคิดอยู่นั้น หวานหว่านก็หมุนกายมา สบสายตาเข้ากับมารดาที่กำลังเหม่อมองตนด้วยท่าทีที่คล้ายกำลังขบคิดอยู่พอดี นางยิ้มพูด “ท่านแม่ ท่านรีบมาดูกระต่ายน้อยเถิดเ้าค่ะ มันน่ารักมากเลย พวกเราพามันกลับไปจวนอ๋องด้วยดีหรือไม่เ้าคะ? ”
อวิ๋นซีอมยิ้มพยักหน้า นางตอบ “ดี”
ต้นยามเซิน จวินเหยียนที่เพิ่งกลับมาถึงเรือนก็ถูกเสี้ยวเหวินตี้เรียกไปพบยังที่ประทับของพระองค์ในทันที เมื่ออวิ๋นซีรู้เข้าก็ขมวดคิ้วแน่น “รู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น? ”
เว่ยหลงส่ายหน้า “เพียงแต่ ก่อนที่นายท่านจะกลับมา กระหม่อมสืบทราบมาว่า มีข่าวด่วนมาจากอวี่โจวพ่ะย่ะค่ะ”
“อวี่โจว? ” อวิ๋นซีพูดเสียงต่ำ นางจำได้ว่า อวี่โจวและเมืองเฟิงต่างก็อยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกล และระหว่างสองเมืองนี้ก็อยู่ห่างกันแค่ร้อยลี้ อย่างไรก็ตาม พี่รองเพิ่งจะไปเมืองเฟิง หากพบเื่อันใดเข้าจริงๆ พี่รองจักต้องส่งข่าวมาแน่
แม้จะคิดเช่นนี้ แต่ในใจนางกลับรู้สึกไม่สงบเป็อย่างมาก
“รู้หรือไม่ว่าที่อวี่โจวและเมืองเฟิงเกิดอะไรขึ้น? ”
เว่ยหลงคิดอยู่เป็นานถึงได้พูดขึ้น “กระหม่อมเองก็เพิ่งจะได้รับข่าวเมื่อเช้านี้พ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าอำเภอหนึ่งของเมืองเฟิงที่เป็ทางผ่านไปอวี่โจวเกิดโรคระบาด โรคระบาดนี้เพิ่งถูกคนตรวจพบเมื่อวาน ทว่า ในอำเภอนั้นมีคนตายั้แ่หลายวันก่อนแล้ว เพียงแต่ตอนแรกคนที่ตายล้วนไม่ได้มาจากที่เดียวกัน ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของคน จนกระทั่งเมื่อวาน แค่วันเดียวก็มีคนตายไปหลายสิบคน ผู้ดูแลในอำเภอนั้นถึงได้สนใจขึ้นมา และรายงานเื่ไปที่ศาลาว่าการในอำเภอ”
อวิ๋นซีลุกขึ้นยืนทันที นางสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยถาม “อำเภอนั้นเป็อำเภอที่หากจะมาเมืองหลวง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องผ่านใช่หรือไม่? ”
เว่ยหลงพยักหน้า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็คล้ายจะใจเย็นลงจากตอนแรกที่ตกตะลึง “หากเป็โรคระบาดจริง และยังต้องใช้อำเภอนั้นเป็ทางผ่านหากจะเดินทางเข้าเมืองหลวง เช่นนั้นโรคระบาดนี้ก็คงแพร่ออกไปแล้ว เพียงแต่ที่อำเภออื่นๆ ยังไม่พบก็เท่านั้น กว่าจะตรวจพบ ตอนนั้นคงแพร่กระจายเป็วงกว้าง...”
คิดถึงตรงนี้ นางก็ไม่อาจพูดต่อได้ หากเกิดการระบาดเป็วงกว้างก็นับเป็เื่ใหญ่แล้ว เพราะทุกวันมีคนตั้งเท่าไรที่ต้องเดินทางผ่านอำเภอนั้น ซึ่งคงไม่มีใครกล้ารับประกันว่า หลายวันมานี้ไม่มีใครนำเชื้อนี้ติดตัวออกมาด้วย แล้วหลังจากนี้ล่ะ จะมีคนอีกเท่าไรที่ต้องติดเชื้อจากคนที่รับเชื้อมาแล้วเ่าั้
นางไม่แม้แต่จะคิดก็มุ่งหน้าออกไปด้านนอก แต่เมื่อเดินออกไปนอกประตูกลับได้เจอจวินเหยียนที่กำลังกลับมาด้วยสีหน้าหนักใจ นางขึ้นหน้าไปรับเขา ถามเสียงขรึม “เกิดโรคระบาดขึ้นใช่หรือไม่”
จวินเหยียนมองภรรยา อืมเบาๆ ไปเสียงหนึ่ง “มีข่าวด่วนมาจากอวี่โจว ตอนนี้อวี่โจว เมืองเฟิง และเมืองที่อยู่ใกล้เคียงอีกจำนวนหนึ่งได้ปิดกั้นทางเข้าออกแล้ว”
อวิ๋นซีพยักหน้า “ปิดกั้นทางเข้าออกถือเป็เื่ดี แล้วเสด็จพ่อจะทรงจัดการกับเื่นี้เช่นไร? ”
“ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่หมอหลวงที่ตามเสด็จมาด้วยมีคนที่ค่อนข้างชำนาญในโรคระบาดอยู่ เสด็จพ่อจึงมีรับสั่งให้เขาเตรียมตัวแล้ว ภายในครึ่งชั่วยามจักต้องเดินทางไปอำเภออานอวิ๋น” จวินเหยียนจูงมืออวิ๋นซีเดินเข้าไปยังเรือนด้านใน เขารู้อยู่แล้วว่า วันนี้นางได้เจอกับการลอบสังหาร เมื่อกลับมาถึงห้องแล้วจึงไม่อยากปล่อยเวลาไป รีบตรวจดูร่างกายของภรรยาโดยละเอียด ก่อนจะพบว่านางได้รับาเ็ที่แขน ชั่วขณะนั้นสายตาเขาก็คล้ำขึ้นหลายส่วน ทั้งยังส่องประกายกระหายเืและจิตสังหารออกมาด้วย
อวิ๋นซีปล่อยให้เขาช่วยจัดการาแ อย่างไรเสีย เื่ในวันนี้นางก็ไม่ได้อธิบาย ส่วนเื่ที่ว่าเขาจะได้เจอเข้ากับนักฆ่าหรือไม่ นางก็ไม่ได้ถาม เพราะในใจนางตอนนี้ ขอแค่เขากลับมาอย่างปลอดภัยก็นับว่าเพียงพอแล้ว
“ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ” นางรอจนเขาทำแผลเสร็จ จึงได้มองเขาแล้วพูดอย่างจริงจัง
จวินเหยียนหลับตาลงทันที สูดลมหายใจเข้าลึก “อาซี เป็เด็กดีนะ เื่นี้เ้าอย่าเข้าไปเกี่ยวด้วยเลย ราชสำนักเรามีหมอมากมาย ไม่จำเป็ต้องให้สตรีเช่นเ้าไปยังสถานที่เช่นนั้น”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็ยังมีท่าทีราวกับคิดจะพูดอะไร จวินเหยียนจึงประกบปิดปากนางไว้ เขาไม่อยากให้นางต้องพบเจอกับอันตรายใดๆ เขายังจำได้ เมื่อสิบกว่าปีก่อน หนานเย่าเองก็เคยเกิดโรคระบาดใหญ่ครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นมีคนตายไปเกือบแสนคน
หมอหลวงที่ราชสำนักส่งไปก็ยังล้มตายในเขตโรคระบาดตั้งหลายคน ดังนั้น เขาไม่กล้าพนัน พนันไม่ไหวแน่...