หลานเซียวสวมชุดสีเขียวแกมน้ำเงิน รวบผมและสวมกวาน ถือเป็บุคคลที่สง่างามหาได้ยาก เขาไม่โกรธที่อูิโยวแสดงท่าทีเป็ปรปักษ์ ใบหน้ายังสงบนิ่งเช่นเคย
“ไม่เป็ไร ทั้งสามท่านอย่ายืนคุยกันอยู่ตรงนี้อีกเลย”
อูิหลิงก้าวไปข้างหน้า ทำความเคารพและเอ่ยขอโทษ “น้องชายข้าดื้อรั้นนัก ท่านผู้นำตระกูลหลานโปรดอย่าถือโทษเลยเ้าค่ะ”
หลานเซียวโบกมือแล้วพาคนทั้งสามเข้าไป เมื่อถึงด้านในหลานฟูเหริน [1] ก็รินชาให้ผู้น้อยอย่างพวกเขา ช่างน่าประหลาดใจยิ่ง
นางมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ข้าอยู่แต่ผาตั้วเซียนมาตลอด กว่าจะมีโอกาสออกมาไม่ใช่เื่ง่ายเลย การได้เห็นเหล่าผู้งดงามเช่นนี้ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”
ไม่เพียงเท่านั้น นางยังจ้องทั้งสามคนสลับไปมาอยู่นาน แววตาโชติ่ราวกับเปลวเพลิง หลิ่วไป๋เจ๋อน่ะไม่เท่าไรหรอก เพราะนอกจากมีใบหน้าเฉยชาแล้ว ยังสามารถ ‘หลีกเลี่ยงการมองสิ่งที่ไม่อยากมอง’ ได้ แต่ ‘ความกระตือรือร้น’ ของหลานฟูเหรินนั้นกลับสร้างความรู้สึกทรมานให้อูิโยวและอูิหลิงมากจริงๆ
เมื่อทนดูไม่ได้ หลานเซียวจึงกระแอมไอเบาๆ เพื่อให้ภรรยาสงบสติอารมณ์สักครู่ ทว่าหลานฟูเหรินกลับเมินใส่ ทั้งยังนำทารกน้อยมาอุ้มไว้ก่อนจะยัดใส่อ้อมแขนของหลิ่วไป๋เจ๋อและอูิหลิง
หลิ่วไป๋เจ๋อที่เมื่อครู่ยังสงบนิ่ง จู่ๆ ก็กระวนกระวายขึ้นมาอย่างไม่ค่อยได้เห็น
“ให้ลูกน้อยทั้งสองของข้าััลมหายใจของพวกเ้า บางทีพอเติบใหญ่อาจจะงดงามเหมือนกันก็เป็ได้”
หลานเซียวทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงเอ่ยปากขึ้น “ฟูเหริน เ้าล้อเล่นอะไรกัน รูปร่างหน้าตาของลูกย่อมได้มาจากบิดามารดา การให้พวกเขาอุ้มเพียงนิดหน่อยเพื่อให้หน้าตาเหมือนกันนั้นสมเหตุสมผลหรือ”
ปกติยามอยู่เรือน หลานฟูเหรินเอ่ยคำไหนก็ต้องเป็คำนั้น ยามนี้นางก็ทำเช่นเคย
“ข้าบอกว่าได้ก็ต้องได้!”
หลานเซียวปิดปากสนิท บนหน้าผากเหมือนมีคำว่า ‘จนใจ’ แปะไว้
นอกจากรอยเส้นตรงกลางหน้าผากสีขาวและสีดำที่เป็สัญลักษณ์ในการแยกเด็กทั้งสอง ส่วนอื่นๆ ของร่างกายก็เหมือนกันทุกประการ ยามอยู่ในอ้อมแขนของทั้งคู่ ทารกน้อยไม่ร้องกระจองอแง น่ารักน่าชังเป็อย่างมาก หลิ่วไป๋เจ๋อมองไม่เห็นหน้าของเด็กน้อยจึงััใบหน้าเล็กๆ นั่นด้วยปลายนิ้ว ให้ความรู้สึกทั้งนุ่มนิ่มและลื่นมือ หัวใจพลันเหมือนน้ำแข็งที่ละลายกลายเป็น้ำ อ่อนปวกเปียกในทันที
อูิโยวก้าวไปเบื้องหน้าเพื่อหยอกเย้าทารกในอ้อมแขนอูิหลิง แต่เมื่อััโดนผิวกาย เด็กน้อยกลับร้องไห้จ้า พอชักมือออกก็หยุดร้องทันที
ไม่เพียงแค่นั้น นางยังยื่นมือเล็กๆ ไปหาหลิ่วไป๋เจ๋ออีกด้วย
“แหม มองไม่ออกเลยนะว่าเด็กๆ ถูกชะตาพี่หลิ่ว”
อูิโยวยื่นมือออกไปหวังจะัันางอีกครั้ง ทว่าก่อนจะได้เฉียดใกล้ ดวงตาของเด็กน้อยก็เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาเสียแล้ว เขามองไปยังหลิ่วไป๋เจ๋อด้วยท่าทีไม่พอใจ
“ทำไมเด็กคนนี้ไม่ยอมให้ข้าแตะเลย ไม่ได้มีหนามขึ้นบนตัวข้าสักหน่อย”
ดวงตาทั้งสามคู่ถูกทารกน้อยดึงดูดไปอีกครั้ง โดยไม่ได้สังเกตเห็นถึงความจริงจังบนใบหน้างามสง่าของสองสามีภรรยาตระกูลหลาน
หลานฟูเหรินเก็บรอยยิ้ม ก้าวไปข้างหน้าและอุ้มลูกกลับจากอ้อมแขนของอูิหลิง แล้ววางลงในอ้อมแขนอีกข้างของหลิ่วไป๋เจ๋อ
ทารกทั้งสองเพียงนอนนิ่งๆ ไม่นานก็ผล็อยหลับไป ผู้คนรอบข้างต่างประหลาดใจอย่างมาก
“ฟูเหริน นี่หมายความว่าอย่างไรขอรับ” หลิ่วไป๋เจ๋อไม่เข้าใจ อูิโยวและอูิหลิงก็สับสนเช่นกัน
หลานฟูเหรินรับเด็กแฝดจากหลิ่วไป๋เจ๋อ แล้วให้สาวใช้อุ้มพวกนางไป จากนั้นก็มองไปที่หลานเซียวและพูดว่า
“ดูเหมือนพวกเขาช่วยเราไว้มากเชียวล่ะ ข้าขอตัวก่อน เื่ต่อจากนี้เ้าก็พูดเองแล้วกัน”
นางหันหลังเดินออกไป ทั้งยังคว้ามืออูิหลิงให้ตามมาด้วย
“หากแม่นางอูไม่รังเกียจ ออกไปพูดคุยกับข้าที่ลานบ้านได้หรือไม่”
อูิหลิงมองไปยังคนที่เหลือ ก่อนจะพยักหน้าและเดินตามนางไป
หลานเซียวพิศดูสองคนเบื้องหน้าโดยไม่เอ่ยอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าปรากฏความหม่นหมอง
“ท่านผู้นำตระกูลหลาน หากมีสิ่งใดโปรดเอ่ยเถิดขอรับ” หลิ่วไป๋เจ๋อเป็ฝ่ายพูดก่อน
หลานเซียวจิบชา ไม่ได้เงียบเฉยอีก
“ตระกูลหลานซ่อนตัวจากโลกภายนอกและอาศัยอยู่ที่ผาตั้วเซียนมานาน คุณชายทั้งสองคงรู้เื่นี้”
อูิโยวพยักหน้า “แน่นอน มิฉะนั้นตระกูลใหญ่หลายตระกูลคงไม่เดินทางเป็พันลี้ เพียงเพราะ้าฟังคำพูดสักประโยคของตระกูลหลานหรอก ที่พวกท่านปรากฏตัวอยู่ตอนนี้ก็เกี่ยวกับการทำนายมิใช่หรือ!”
หลานเซียวพยักหน้าและกล่าวว่า “คุณชายรองอูพูดถูก ก่อนออกจากผาตั้วเซียนข้ายังบอกไว้อีกว่า จะทำนายให้สามคนที่ถูกลิขิตไว้”
อูิโยวพลันเอ่ย “แล้วอย่างไร”
หลิ่วไป๋เจ๋อกล่าว “ท่านผู้นำหลานหมายความว่า ข้าและิโยวเป็สองในสามคนที่ถูกลิขิตไว้อย่างนั้นหรือ”
หลานเซียวพยักหน้า
“ตัดสินจากสิ่งใด” หลิ่วไป๋เจ๋อถาม
“ทารกน้อยคือผู้ตัดสิน!” ผู้นำตระกูลหลานตอบ
อูิโยวกระเด้งตัวขึ้นจากที่นั่งด้วยความตะลึง “เป็ไปได้อย่างไร! ตระกูลหลานทำกันส่งเดชเช่นนี้เชียวหรือ เด็กแรกเกิดสองคนยังพูดไม่ได้สักคำด้วยซ้ำ แล้วจะให้พวกเขาตัดสินใจเลือกได้อย่างไร”
“์มีหนทางของ์ มนุษย์ก็มีโชคชะตาของตน คำว่า ‘โชคชะตา’ คือสิ่งที่์ลิขิต”
อูิโยวบุ้ยปาก ไม่เข้าใจที่หลานเซียวเอ่ย
“หมายความว่าท่านจะทำการทำนายชะตาให้พวกเราที่นี่หรือขอรับ”
ผู้นำตระกูลหลานส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่ใช่ข้าทำนาย แต่เป็บุตรสาวทั้งสองคนของข้าต่างหาก”
“ท่านพูดเื่น่าขันอะไร ตระกูลหลานไม่มีผู้อื่นแล้วหรือถึงจะให้ทารกที่ยังพูดไม่ได้มาทำนายดวงชะตาให้พวกข้า”
หลิ่วไป๋เจ๋อตบหลังศีรษะอูิโยวทีหนึ่งเพื่อให้หยุดพูดอะไรที่ไม่ควร อีกฝ่ายจึงหลบไปอยู่ข้างหลังเขาและพึมพำออกมาว่า “ข้าไม่ได้พูดผิดสักหน่อย…”
หลิ่วไป๋เจ๋อลุกยืนเผชิญหน้ากับหลานเซียวด้วยท่าทีนิ่งสงบ
“ท่านผู้นำหลาน ข้าสามารถปฏิเสธการทำนายนี้ได้หรือไม่ขอรับ”
ผู้นำตระกูลหลานตะลึง ฝั่งอูิโยวใยิ่งกว่า อันที่จริงมีคนไม่น้อยร้องขอการทำนายจากตระกูลหลาน ไม่ใช่เื่ง่ายที่จะได้รับโอกาสนั้น แต่หลิ่วไป๋เจ๋อกลับปฏิเสธโดยไม่ลังเล
“คุณชายหลิ่ว้าปฏิเสธอย่างนั้นหรือ เพราะเหตุใดกัน”
หลิ่วไป๋เจ๋อครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “แค่ไม่้าก็เท่านั้น”
เขารู้ว่านี่เป็โอกาสที่หาได้ยาก ทว่ามีลางสังหรณ์ว่าหากได้รับการทำนายครั้งนี้ จะมีบางสิ่งบางอย่างที่คลุมเครือมารบกวนความสงบสุขที่เป็อยู่ จึงไม่อยากทนรับและยิ่งไม่้า
“คุณชายอูล่ะ”
หลานเซียวไม่ได้เกลี้ยกล่อมหลิ่วไป๋เจ๋อ แต่หันไปถามอูิโยวแทน
อีกฝ่ายไม่มั่นใจในตัวเด็กน้อยทั้งสองอยู่แล้ว จึงตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดว่า “ข้าก็ขอปฏิเสธเหมือนกัน!”
ผู้นำตระกูลหลานไม่โกรธ เพียงแต่มองทั้งสองคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและไม่เอ่ยอะไรอีก
…หลานฟูเหรินพาอูิหลิงเดินไปเฟิ่งจูไห่ สองข้างทางมีต้นไม้ขึ้นเรียงราย นางเห็นกล้วยไม้ฝนผีเสื้อเหมือนที่เคยเจอก่อนหน้า จึงหยุดเดินและเผยอปากเหมือนจะพูดอะไรด้วยความลังเล
“หลานฟูเหริน อภัยให้ด้วยหากข้าเสียมารยาท แต่ิหลิงแปลกใจเ้าค่ะ ปกติดอกกล้วยไม้ฝนผีเสื้อจะเบ่งบาน่ปลายฤดูใบไม้ผลิ เหตุใดถึง…”
หลานฟูเหรินมองไปทางที่อูิหลิงชี้นิ้ว ป่าไผ่เขียวขจีมีสีม่วงอันน่าหลงใหลแซมอยู่ หลานฟูเหรินเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
“มีดอกกล้วยไม้ฝนผีเสื้อขึ้นอยู่ั้แ่เมื่อไร”
“ฟูเหรินก็ไม่รู้หรือเ้าคะ”
หลานฟูเหรินส่ายหัว ท่าทีไม่เหมือนหลอกลวง
“ข้าและสามีพาคนอื่นๆ เดินทางมายังเฟิ่งจูไห่เมื่อสองเดือนก่อน ่ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นดอกกล้วยไม้เหล่านี้เลย ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกมันเติบโตขึ้นมาได้อย่างไรและไม่คิดว่าจะมีจำนวนมากเช่นนี้”
เมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลของอูิหลิง หลานฟูเหรินจึงเอ่ยปลอบ
“ในโลกนี้มีดอกไม้แลพันธุ์พืชมากมาย มีหลายสิ่งน่าประหลาดใจไม่น้อย แค่ดอกไม้ที่ผลิบานก่อนเวลา เ้าไม่ต้องกังวลถึงเพียงนั้น”
หากบังเอิญแค่ครั้งเดียวอูิหลิงคงไม่ใส่ใจ แต่นี่เป็หนที่สองแล้วที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ทั้งยังปรากฏในสถานที่ต่างกัน ไม่แปลกที่นางจะกระวนกระวายใจ แต่เื่ที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุชัดเจน ไม่พูดให้มากความจะดีกว่า
“ท่านพาิหลิงออกมาคนเดียวเช่นนี้ มีสิ่งใดไม่สะดวกจะเอ่ยหรือไม่เ้าคะ”
หลานฟูเหรินเดินไปใกล้กล้วยไม้ฝนผีเสื้อ นั่งยองลงแล้วเอื้อมเด็ดมาดอกหนึ่ง ก่อนจะเสียบเข้าที่ผมของอูิหลิง นิ้วก็ลูบไล้กลีบดอกเปราะบาง ดวงตาเต็มไปด้วยความรักความห่วงใย
“แม่นางอูช่างงดงาม ไม่ทราบว่ามีคนที่ชอบพอหรือยัง”
อูิหลิงเงียบไปครู่หนึ่งไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่ท่าทีเขินอายของนางได้บอกทุกอย่างแก่อีกฝ่ายแล้ว
หลานฟูเหรินยิ้ม ไม่ได้จี้ถาม “ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน ไม่รู้ว่าเ้าจะยินดีฟังคำของข้าหรือไม่”
“ท่านโปรดกล่าวเถิดเ้าค่ะ”
“…หญิงสาวนั้นเปรียบเสมือนสายน้ำ ไม่ว่าจะมีความสามารถเพียงใด ต่างก็้าชายหนุ่มที่มีความอดทนและเอาใจใส่มาเคียงข้างกาย ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน บางครั้งการไม่ทำตัวแข็งแกร่งเกินไปจะดีกว่า”
อูิหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “หลานฟูเหรินอย่าตำหนิเด็กอย่างข้าว่าโง่เขลาเลยนะเ้าคะ แต่ข้าไม่เข้าใจว่านั่นหมายถึงสิ่งใด”
คนฟังเพียงแค่ยิ้มและส่ายหัว “ไม่เป็ไร เมื่อถึงเวลาเ้าจะเข้าใจเอง ข้าเพียงอยากให้รู้ไว้ว่า เมื่อจำเป็ต้องเลือกเส้นทางในอนาคตพึงต้องมองความตั้งใจของตนเอง”
“หากเป็เื่ที่ยังไม่จำเป็ต้องรู้ ิหลิงผู้นี้ก็ไม่ฝืน”
หลานฟูเหรินชมชอบอูิหลิงมาก แต่ต้องทนอึดอัดใจเพราะไม่สามารถเผยความลับได้ นางพยายามเต็มที่แล้วเพื่อเอ่ยสิ่งเ่าั้อย่างตรงไปตรงมา
เมื่อทั้งสองกลับมายังเรือนไม้ก็เห็นหลิ่วไป๋เจ๋อ อูิโยว รวมไปถึงผู้นำตระกูลหลานเดินออกมา
หลิ่วไป๋เจ๋อหันไปร่ำลาเ้าบ้านทั้งสอง
“เื่ในวันนี้ต้องขอบคุณท่านผู้นำหลานอย่างยิ่ง พวกข้าขอตัวลาก่อน”
หลานเซียวคลี่ยิ้มและเอ่ยตอบ “หากเ้าสองคนเปลี่ยนใจก็กลับมาได้ทุกเมื่อ ก่อนสิ้นฤดูใบไม้ผลิ ข้า ภรรยา และลูกๆ ยังปักหลักอยู่เฟิ่งจูไห่ชั่วคราว หวังว่าทั้งสามคนจะไม่นำเื่นี้ไปบอกใคร เมื่อพ้นฤดูใบไม้ผลิข้าจะไปปรากฏตัวที่เมืองหลวงเฟิ่งเทียน”
จู่ๆ อูิโยวก็ถามขึ้น “แล้วผู้ดูแลตระกูลของท่านคนนั้นล่ะ ให้เขาอยู่ชิงหลิ่วถังต่อไปหรือ”
หลานฟูเหรินกล่าว “คุณชายรองอูไม่ต้องกังวล ข้าส่งคนไปแจ้งหลานหุ่ยแล้วว่าจะไปที่ใด จากนี้พวกเราจะจัดการเอง เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนต้องขอบใจที่ช่วยเหลือ”
นางรับกล่องผ้าจากคนรับใช้ แล้วส่งให้หลิ่วไป๋เจ๋อพร้อมเอ่ยว่า
“คุณชายจิ่วฟางได้รับาเ็เพราะตระกูลของข้า หวังว่าคุณชายหลิ่วจะนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ นี้กลับไปให้เขาแทนข้าด้วย”
ทั้งสามอยู่ต่ออีกไม่นานก็เดินทางออกจากเฟิ่งจูไห่
หลานฟูเหรินประคองแขนหลานเซียว มองแผ่นหลังคนทั้งสามด้วยความละอายใจ
“ข้าหวังจริงๆ ว่าพวกเขาจะไม่กลับมาอีก”
หลานเซียวยกมือปาดหยาดน้ำจากหางตาของนางและกล่าวว่า “เป็ประสงค์ของ์ ตระกูลเรามีหน้าที่เพียงส่งสาร ไม่อาจเปลี่ยนแปลงลิขิตฟ้าได้”
“คงต้องเฝ้าดูพวกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้สินะ...”
หลานเซียวถอนหายใจ “นี่คือวิถีแห่ง์และเป็หนทางที่พวกเขาเลือกด้วยตนเอง”
ร่างทั้งสามหายลึกเข้าไปในป่าไผ่ หลานเซียวโอบหลานฟูเหริน “ลมแรงแล้ว กลับเข้าไปกันเถอะ”
———————————————
[1] ฟูเหริน หมายถึง หญิงที่แต่งงานแล้ว อาจเคยได้ยินกันในคำว่า ‘ฮูหยิน’ นั่นเอง